facebook กำลังครอบครองชีวิตคุณ (รึเปล่า)

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

facebookfacebook ในขณะนี้มียอดสมาชิกถึง 175 ล้านคนทั่วโลก และยังคุยว่า มีสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นสัปดาห์ละ 5 ล้านคน ถ้าเป็นประเทศ facebook ก็ใหญ่เกือบเท่าบราซิล จำนวนผู้ใช้ facebook ยังแซงหน้ายอดผู้ชมการแข่งขัน Super Bowl XLIII ทางโทรทัศน์ ที่เพิ่งทำสถิติผู้ชมสูงสุดใหม่ที่ 152 ล้านคน ทำให้ facebook ดูเนื้อหอมอย่างยิ่ง ในยามที่เศรษฐกิจทั้งของสหรัฐฯ และทั่วโลกกำลังวิกฤต และธุรกิจต่างต้องตะเกียกตะกายเอาตัวรอด

ผู้ใช้ facebook ในวันนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงกลุ่มคนหนุ่มสาวที่คล่องแคล่วเรื่องเทคโนโลยี คือกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยหรือหนุ่มสาวที่เพิ่งเริ่มทำงาน (อายุ 18-24 ปี) เท่านั้น แต่ในวันนี้ กลุ่มเป้าหมายแต่ดั้งเดิมของ facebook ข้างต้น มีสัดส่วนอยู่ไม่ถึง 1 ใน 4 ของผู้ใช้ facebook เท่านั้น ส่วนสมาชิกกลุ่มใหม่ล่าสุด ซึ่งเป็นเบื้องหลังที่แท้จริง ที่ดันยอดผู้ใช้ของ facebook จนพุ่งแตะระดับ 175 ล้านคน กลับกลายเป็นกลุ่มผู้ใหญ่อย่างเช่น Lichtenstein ซึ่งชีวิตนี้อาจไม่เคยนึกฝันมาก่อนเลยว่าตัวเองจะต้องเข้ามาเล่นเว็บที่ครั้งหนึ่งเคยเห็นว่าเป็นเรื่องน่าขันหรือไร้สาระ

ความมหัศจรรย์หนึ่งของ facebook คือ การที่คุณอาจถูกค้นพบโดยใครบางคนที่คุณไม่เคยรู้จักมาก่อน ที่อยู่ดีๆ ก็ส่งรูปสวยๆ มาให้คุณดู ก่อนที่จะพบว่า ใครคนนั้นคือ “เพื่อนของเพื่อน” ของคุณอีกที ข้อมูลจาก ComScore ระบุว่า คุณสมบัตินี้ทำให้ผู้ใช้ติดหนึบอยู่กับ facebook และใช้เวลาอยู่ในเว็บนี้เฉลี่ยเดือนละ 169 ชั่วโมง เทียบกับ Google News ที่ผู้ใช้เฉลี่ยเดือนละ 13 นาที และเว็บ New York Times ที่มีผู้ใช้เฉลี่ยเดือนละ 10 นาทีเท่านั้น

อาการติดหนึบแบบนี้นั่นเอง คือสิ่งที่ Mark Zuckerberg CEO วัย 24 ของ facebook ตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่ต้น เมื่อเขาคิดที่จะยกเอาความสัมพันธ์แบบที่เรามีในชีวิตจริง เข้ามาไว้ในโลกดิจิตอลด้วย ในชีวิตจริง เราอาจเจอเพื่อนโดยบังเอิญ แล้วก็นั่งคุยกันนานเป็นชั่วโมง หรือเราชอบเอารูปเก่าๆ มาเปิดดูกับพ่อแม่ญาติพี่น้อง ในชีวิตจริง เรายังชอบเป็นสมาชิกสโมสรหรือกลุ่มกิจกรรมต่างๆ ทั้งหมดนี้ facebook ทำได้ทุกอย่างในรูปของดิจิตอล แม้กระทั่งการที่เรามีระดับความสัมพันธ์ที่หลากหลายในชีวิตจริง facebook ก็สามารถทำได้เช่นกัน ด้วยคุณสมบัติการควบคุมความเป็นส่วนตัว ซึ่งทำให้คุณสามารถจะอนุญาตให้คนอื่นๆ เห็นข้อมูลในหน้า facebook ของคุณได้ไม่เท่ากัน แล้วแต่ระดับความสัมพันธ์ที่คุณมีกับคนต่างกลุ่มเหมือนในชีวิตจริงของคุณ เช่น ข้อมูลที่คุณแบ่งปันกับเพื่อนสนิทย่อมต่างกับเพื่อนร่วมงาน สิ่งที่คุณคุยเล่นกับเพื่อน อาจไม่ใช่เรื่องเดียวกับที่คุยกับพ่อแม่ญาติพี่น้อง

เป้าหมายสูงสุดของ Zuckerberg คือดันให้ facebook “เป็นมาตรฐานการสื่อสาร(และการตลาด)ของโลก” ที่ใช้กันทั่วไปจนกลายเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนๆ กับที่เราใช้โทรศัพท์ แต่ดียิ่งไปกว่านั้นมากนัก เพราะนี่เป็น “โทรศัพท์” ที่สามารถสื่อสารสองทาง มีหลายมิติ และที่สำคัญ เป็นสิ่งที่ทุกคนจะขาดเสียไม่ได้ Zuckerberg ทำนายว่า Facebook ID ของสมาชิกทุกคน จะเป็นเหมือน “ประตู” ที่จะเปิดเข้าไปสู่ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกดิจิตอล Zuckerberg บอกว่า “เราคิดว่าถ้าสามารถสร้างสิ่งที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ซึ่งคุณสามารถจะพิมพ์ชื่อใครลงไปก็ได้ แล้วค้นพบคนที่คุณกำลังหา และสื่อสารกับเขา นั่นคงจะเป็นระบบที่วิเศษ และมีคุณค่าควรแก่การสร้างอย่างแท้จริง”

แต่ “คุณค่า” ของ facebook เอง กลับยังเป็นหัวข้อถกเถียงกันอยู่ Microsoft ทุ่มเงิน 240 ล้านดอลลาร์ ลงทุนซื้อหุ้น 1.6% ใน facebook เมื่อปี 2007 ซึ่งแสดงว่า f

facebook มีค่าเท่ากับ 15,000 ล้านดอลลาร์ แต่ข้อมูลในเดือนมิถุนายน 2008 พบว่า facebook มีค่าเพียง 3.7 พันล้านดอลลาร์ (ตัว Zuckerberg มีหุ้นใน facebook ราว 20-30% ซึ่งหมายความว่า เขาเป็นมหาเศรษฐีพันล้านที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง ที่อายุน้อยที่สุดในโลก) ปัญหาที่ทำให้ยากจะประเมินค่าของ facebook ก็คือ ผลการดำเนินงานของ facebook ยังสวนทางกับยอดสมาชิกอย่างลิบลับ ในปีที่แล้ว facebook สร้างรายได้เพียง 280 ล้านดอลลาร์ และแหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับบริษัทบอกว่า facebook ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุนด้วยซ้ำ

ดูเหมือนว่าใครๆ ต่างก็ได้ใช้ประโยชน์จาก facebook กันแล้วทั้งนั้น ยกเว้นตัว facebook เอง พรรคเดโมแครตส์ในรัฐ Maine ใช้ facebook เป็นเครื่องมือเรียกประชุมและจัดการประชุมพรรคเป็นประจำ บริษัทบัญชีชื่อดัง Ernst & Young ใช้ facebook เป็นเครื่องมือรับสมัครงาน และ Dell กำลังจะทำตาม ระบบปฏิบัติการใหม่ของ Microsoft มีลูกเล่นใหม่ๆ บางอย่างที่ดูคล้ายๆ ของ facebook

Zuckerberg รู้ดีว่า ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาชี้ชะตา ถ้า “ไม่เจ๋งก็ต้องเจ๊ง” ลูกเดียว สำหรับบริษัทที่เขาก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ 5 ปีก่อน ในหอพักนักศึกษาของ Harvard เขาจะต้องคิดให้ออกว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถเพิ่มสมาชิกใหม่ให้มากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ facebook ดึงดูดผู้ใช้ส่วนใหญ่ได้ โดยที่ไม่ทำให้กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้ยุคแรกๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้ facebook กลายเป็นเว็บยอดนิยม ต้องรู้สึกแปลกแยกไป (เว็บ myspace ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นต้นแบบของเว็บอภิมหาสังคมออนไลน์ ด้วยยอดรวมผู้ใช้ 130 ล้านคน เริ่มไม่มีการเติบโตแล้วในขณะนี้ และอาจจะลงเอยด้วยการเป็นเหมือนสนามเด็กเล่นของคนฟังเพลงเท่านั้น)

นอกจากนี้ Zuckerberg ยังต้องพยายามสกัดคู่แข่งระดับยักษ์ใหญ่อย่าง Google ซึ่งกำลังมีแผนการใหญ่ที่จะสร้างผลกำไรจากเว็บ Social Network ของตัวเอง ทั้งยังต้องพยายามทำความฝันที่จะทำให้ facebook เปลี่ยนแปลงโลก กลายเป็นความจริงให้ได้ หลังจากที่เว็บ Social Network “รุ่นพี่ๆ” ทั้งหลายก่อนหน้านี้ ซึ่งต่างก็เคยชูตัวเองว่า จะเป็นมาตรฐานการสื่อสารที่ยิ่งใหญ่ของโลก พากันล้มเหลวไม่เป็นท่ามาแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ยักษ์ใหญ่อย่าง AOL และ Yahoo

เพื่อช่วยให้ facebook คิดหาวิธีสร้างผลกำไรให้ได้ จากยอดผู้ใช้จำนวนมหาศาลและจากชื่อเสียงที่สั่งสมมา Zuckerberg ระดมสรรพกำลังซึ่งล้วนเป็นมือเก่าโชกโชนเป็นการใหญ่ เขาดึง Sheryl Sandberg ซึ่งเคยสร้างโปรแกรม AdWords ที่ทำเงินให้แก่ Google มาเป็นผู้บริหารสูงสุดสายการปฏิบัติงาน Gideon Yu อดีตผู้บริหารสูงสุดสายการเงินของ YouTube มาดูแลสายการเงิน คณะกรรมการบริหารของ Zuckerberg เต็มไปด้วยมือเก๋าอย่างเช่น Don Graham จาก Washington Post และ Jim Breyer นักลงทุน Venture Capitalist รวมไปถึงอัจฉริยะด้านไฮเทคอย่าง Peter Thiel ผู้ร่วมก่อตั้ง PayPal กับ Marc Andressen ผู้ก่อตั้ง Netscape แม้แต่ตัว Zuckerberg เอง ยังเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากที่เคยใส่แต่เสื้อยืดกางเกงยีนส์มาผูกไท เพราะเขาบอกว่า “ปี 2009 นี้จะเป็นปีที่ซีเรียส”

บางคนอาจจะยังนึกประมาทหน้า CEO วัยละอ่อนแห่ง facebook ผู้นี้ และนึกพิศวงอยู่ในใจว่า “เจ้าหนูมหัศจรรย์” คนนี้กำลังคิดอะไรของเขา ถึงได้มาพูดถึงเป้าหมายที่จะสร้างผลกำไร ในขณะที่บริษัทไฮเทคอื่นๆ เพียงแค่จะดิ้นรนไม่ให้ขาดทุนในยามนี้ ก็ยังยาก หลายคนที่เคยเป็นเจ้าหนูมหัศจรรย์อย่างเขามาก่อน ถ้าไม่โด่งดังจนกลายเป็นตำนานอย่าง Bill Gates ก็เปล่งประกายเพียงชั่วแวบแล้วอับแสงไปชั่วนิรันดร์

อย่างไรก็ตาม Zuckerberg นับเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทไฮเทคอายุน้อย ที่สามารถครองตำแหน่ง CEO ได้นานถึงขนาดนี้ และผลงานของเขาก็ไม่เลวเลย สามารถสร้างเว็บที่จุดกระแสความคลั่งไคล้ในหมู่ผู้ใช้เว็บกระแสหลักได้ แต่อย่าลืมว่า เมื่อก่อนใครต่อใครก็เคยหลงใหลได้ปลื้มที่ได้มีบัญชีของ AOL ไม่ต่างอะไรกับที่คนกำลังหลงใหลการมีบัญชี facebook ในตอนนี้ แต่สุดท้าย AOL ก็เสื่อมความนิยม ตอนนี้ความสนใจของทุกคนเปลี่ยนมาเป็น Zuckerberg แล้วเขาจะทำอย่างไรต่อไปกับโอกาสที่ได้มานี้

ชีวิตจริงในโลกเสมือน

Mark Zuckerberg โปรดปรานการสร้างสิ่งใหม่ๆ เสมอมา “เว็บที่ผมสร้างก่อน facebook เกือบทำให้ถูกไล่ออกจากโรงเรียน” Facemash เว็บที่เขาสร้างให้คนเข้าไปลงคะแนนโหวตรูปที่ชอบ ทำให้เขาถูกกรรมการโรงเรียนเรียกตัวไปสอบสวนถึงวิธีการที่ไปได้รูปมา “พอมาเริ่มทำ facebook พ่อแม่ก็ ประมาณว่า อย่าเชียวนะ ไม่เข็ดหรือไง ทำนองนั้น” แต่บรรดาเพื่อนๆ ทุกคนที่ Harvard รวมไปถึงเพื่อนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั้งหมด ที่จัดอยู่ใน Ivy League ด้วยกัน ต่างก็เฮละโลเข้าร่วมใน facebook เขาเลยเอาเงินที่เตรียมไว้สำหรับค่าเทอมทั้งหมดไปทุ่มให้กับเซิร์ฟเวอร์

ตั้งแต่แรกแล้วที่ Zuckerberg ไม่เคยคิดจะทำ facebook ให้เป็นแค่ของเล่นออนไลน์ธรรมดาๆ อีกอันสำหรับนักศึกษามหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่เขาเรียก facebook ว่า “เว็บอรรถประโยชน์ทางสังคม” ซึ่งเขาอธิบายว่า หมายถึงว่าวันหนึ่งทุกคนจะสามารถใช้ facebook ในการค้นหาคนบนเว็บ หรือพูดง่ายๆ คือเหมือนเป็นสมุดโทรศัพท์ดิจิตอลของโลกอย่างแท้จริง และเขารู้ดีว่า ถ้าเว็บนี้ใช้ง่ายจนมีผู้ใช้มากขึ้นเรื่อยๆ คำว่า “ใครๆ ก็ใช้กันทั้งนั้น” บวกกับสิ่งที่เรียกว่า Network Effect จะกลายเป็นแรงกดดันให้ใครๆ ต้องหันมาใช้ facebook

นับตั้งแต่วันที่เขาเริ่มก่อตั้ง facebook จนถึงบัดนี้ Zuckerberg วัย 24 ได้รับเงินลงทุนแล้วมากกว่า 400 ล้านดอลลาร์จาก Venture Capital และได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมเศรษฐกิจโลก World Economic Forum ที่ Davos สวิตเซอร์แลนด์ กระทบไหล่ผู้นำระดับโลกทั้งการเมืองและเศรษฐกิจมาแล้วหลายครั้ง

มาถึงวันนี้ Zuckerberg ย้ำว่า เขายังคงสนใจที่จะเชื่อมโลกทั้งโลกบน facebook อยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ว่าวิสัยทัศน์แต่แรกเริ่มของเขาที่ต้องการให้ facebook เป็นเหมือนสมุดโทรศัพท์ดิจิตอลของโลกนั้น ได้ขยายไปไกลกว่านั้นแล้ว ตอนนี้ facebook กำลังกลายเป็นตัวโทรศัพท์เสียเอง ไม่ใช่แค่สมุดโทรศัพท์ แต่กำลังกลายเป็นเครื่องมือหลักที่คนทั่วโลกใช้ติดต่อสื่อสารกัน ทั้งเรื่องงานและความเพลิดเพลิน กลายเป็นศูนย์กลางจัดงานปาร์ตี้ เก็บรูป หางาน ดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกม ในที่สุดผู้คนจะพากันใช้ facebook ID ของตัวเอง เป็นเหมือนกุญแจไขเข้าไปสู่โลกออนไลน์ เข้าไปยังเว็บไซต์และบอร์ดสนทนาต่างๆ ที่ต้องการการยืนยันความเป็นบุคคลที่มีตัวตน สรุปคือ facebook จะกลายเป็นที่ที่คนจะใช้ชีวิตจริงๆ เพียงแต่อยู่ในรูปแบบของดิจิตอล ไม่ใช่แค่นามแฝงที่ไร้ตัวตน

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสร้าง facebook ให้เป็นโลกที่คนใช้ชีวิตได้จริงๆ ในรูปแบบของดิจิตอล นอกจาก Zuckerberg จะดึงบรรดามือเก่าที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน อย่างเช่น Sandberg จาก Google แล้ว เขายังแวดล้อมตัวเองไปด้วยหนุ่มสาวไฟแรงอายุน้อยเช่นเดียวกับตัวเขา ซึ่งต้องการจะทำให้ facebook เปลี่ยนแปลงวิธีการใช้ชีวิตและการทำงานของคนทั้งโลกเหมือนที่เขาคิด

อย่างไรก็ตาม บางครั้งเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของ Zuckerberg จะไปกันไม่ได้ กับเนื้อหาบางอย่างที่ผู้ใช้นิยมสร้างใน facebook อย่างเช่น การกลับมาของจดหมายลูกโซ่รูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า 25 Random Things ที่ให้เปิดเผยข้อมูลของตัวเอง 25 ข้อแล้วส่งต่อไปให้เพื่อน 25 คน ซึ่งจะต้องทำอย่างเดียวกัน เกมนี้มีคนเล่นกันมากถึง 37,500 ครั้งภายใน 2 สัปดาห์ ในขณะที่บางคนเห็นว่าเป็นแค่เรื่องเล่นๆ ไปวันๆ ที่ไร้สาระ

แม้แต่กิจกรรมที่ดูเหมือนทำเล่นๆ ไร้สาระไปวันๆ ของผู้ใช้ facebook กลับทำให้ facebook มีค่ายิ่งในสายตาของนักการตลาด ที่กำลังเฝ้าติดตามความเป็นไปบน facebook อย่างไม่คลาดสายตา มันเหมือนกับได้ “แอบฟัง” โทรศัพท์ทุกสายที่คนคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลใดๆ ที่ผู้ใช้ facebook ใส่ลงไปบนหน้า facebook ของพวกเขา ทั้ง Wall Post, Status Update ไปจนถึงจดหมายลูกโซ่ 25 Random Things และรูปภาพต่างๆ บน facebook เท่ากับเป็นการบอกว่า พวกเขากำลังสนใจเรื่องอะไร กำลังทำอะไร หรือชอบซื้ออะไร ข้อมูลทุกอย่างที่คุณใส่ลงไปในหน้า facebook ส่วนตัวนี้ เรียกว่า “Feed” และเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ facebook แตกต่างไปจากเว็บ Social Network อื่นๆ ซึ่งทำให้บรรดาบริษัทต่างๆ ล้วนแต่กำลังจ้อง facebook ตาเป็นมัน

Stream

ผู้ใช้ facebook ทุกคนจะมี Feed 2 ประเภท คือ Personal Feed ซึ่งจะอยู่ในหน้าประวัติส่วนตัวหรือ Profile Page ซึ่งเป็นหน้าสำหรับใส่รูปของคุณและรายการสิ่งที่คุณสนใจ ทุกครั้งที่คุณเข้าไปในหน้า facebook ของตัว และใส่ข้อมูล เขียนความเห็นหรือเอาวิดีโอมาลงไว้ ทุกอย่างที่คุณทำจะไปปรากฏใน Feed อันที่ 2 ใน facebook ของคุณด้วย ซึ่งเรียกว่า News Feed จะอยู่ที่หน้า Home Page ของคุณ หรือหน้าแรกที่คุณจะเห็นเมื่อเข้าไปใน facebook

News Feed นี้จะเก็บบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำในหน้า facebook ของคุณ และยังคอยติดตามทุกสิ่งทุกอย่างที่เพื่อนๆ ทุกคนของคุณทำ บนหน้า facebook ของพวกเขาด้วย (และแจ้งเตือนให้เพื่อนๆ ของคุณรู้ทุกครั้งที่คุณเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Personal Feed) เช่น ถ้าพี่ชายคุณตอบรับคำเชิญไปงานปาร์ตี้ คุณก็จะได้รู้ด้วย แม้ว่าตัวคุณเองจะไม่ได้รับเชิญก็ตาม และถ้าคุณเปลี่ยนรูปในหน้า facebook ของคุณ พี่ชายคุณก็จะรู้เช่นกัน (ถ้าคุณได้กำหนดค่าอนุญาตเอาไว้) Feed ก็เหมือนกับตัวเว็บ facebook คือ จะได้รับผลจากสิ่งที่เรียกว่า Network Effect กล่าวคือ ยิ่งคุณใส่ข้อมูลหรือทำสิ่งใหม่ๆ มากเท่าใด News Feed ของคุณก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Zuckerberg เรียกผลรวมของการกระทำทุกอย่างที่คุณทำบนหน้า facebook ของตัวเองว่า “Stream” ซึ่งเขากำลังให้ความสำคัญมากที่สุดในตอนนี้ ในขณะที่ Google จะ เสนอโฆษณาที่สอดคล้องกับสิ่งที่คุณกำลังค้นหาบนเน็ต แต่ facebook ให้คุณ “ดูแล” Feed ของคุณเองได้ ข้อมูลที่จะปรากฏขึ้นได้นั้น คุณสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง ด้วยการตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

นอกจากนี้ ปฏิกิริยาของคุณที่แสดงออกต่อข้อมูลแต่ละชิ้นบน facebook จะเท่ากับทำให้ระบบของ facebook ได้รับรู้ด้วย และจะบันทึกปฏิกิริยาของคุณเอาไว้ และถ้า facebook สังเกตพบว่า คุณใช้เวลามากๆ บนเว็บของดาราคนไหน ก็จะส่งข้อมูลเกี่ยวกับดาราคนนั้นมาเพิ่มให้อีก

ไม่ต้องสงสัยเลยว่านักการตลาดจะตาเป็นมัน อยากเข้ามามีส่วนในการส่งข้อมูลในลักษณะนี้มากเพียงใด Narinder Singh ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายผลิตภัณฑ์ของ Appirio ซึ่งช่วยบริษัทใหญ่ๆ อย่าง Dell และ Starbucks หาวิธีเหมาะๆ ในการติดต่อกับผู้ใช้เว็บชี้ว่า facebook ก็เหมือนกับห้องที่มีคนอยู่ตั้ง 150 ล้านคน นั่นเป็นจำนวนที่มากเกินกว่าที่คุณจะละเลยไม่เข้าไปในห้องนั้นได้

อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะธุรกิจยังไม่ได้แทรกซึมเข้าไปใน facebook มากนัก ทำให้ผู้ใช้ facebook หลายคนไม่รู้สึกตัวว่ากำลังถูกธุรกิจจับตามองอย่างสนใจ หลายคนรู้สึกเป็นส่วนตัวในการใช้ facebook เพราะไม่ต้องถูกระดมเข้าใส่ด้วยโฆษณา จึงช่วยไม่ได้ที่ผู้ใช้หลายคน จะรู้สึกเหมือนถูกทรยศหรือไม่ชอบใจ หากเห็นโฆษณาโผล่เข้ามาใน Feed ของตัวเอง ระหว่างที่คุยเล่นกับเพื่อนๆ บน facebook ในปี 2007 facebook เคยถูกผู้ใช้ประท้วงอย่างรุนแรง หลังจากเริ่มนำ Feature ที่เรียกว่า Beacon มาใช้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ทำให้สมาชิกเห็นเว็บไซต์ที่เพื่อนๆ บน facebook เข้าไปเยือนได้ และมีการโชว์สินค้าที่อยู่บนเว็บขายของออนไลน์หรือ e-Commerce ด้วย ผู้ใช้ facebook คนหนึ่งถึงกับฟ้องศาลว่า facebook ละเมิดความเป็นส่วนตัว จน facebook ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ

บทเรียนดังกล่าวทำให้ facebook ต้องพยายามใช้วิธีที่แตกต่างออกไป Feature ใหม่ที่เรียกว่า facebook connect ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าไปในเว็บไซต์ของบริษัทต่างๆ โดยผ่านทางหน้า facebook ของพวกเขาเอง ระบบใหม่นี้ค่อนข้างสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของ Zuckerberg ที่อยากเห็นบัญชีผู้ใช้ facebook เป็นเหมือนกับบัตรประชาชนบนโลกออนไลน์ บรรดาธุรกิจก็สนใจ facebook connect มาก เพราะเมื่อผู้ใช้ facebook เข้าไปยังเว็บอื่นๆ ผ่าน facebook connect ระบบจะรายงานความเคลื่อนไหวนี้ ไปที่ News Feed ของเพื่อนๆ ทุกคนด้วย ทำให้คนอื่นๆ สนใจอยากเข้าไปในเว็บของบริษัทที่เพื่อนเข้าไปบ้าง โดยไม่รู้สึกว่าเป็นการถูกยัดเยียดโฆษณา การใช้ facebook connect ยังทำให้ง่ายกว่า ที่ผู้ใช้จะเชิญชวนเพื่อนๆ บน facebook ให้ลองเข้าไปในเว็บอื่นๆ

Starbucks นำ facebook connect ไปใช้บนเว็บที่มีชื่อว่า Pledge5 ของตัวเอง เชิญชวนให้อุทิศเวลา 5 ชั่วโมงในการทำงานอาสาสมัคร เมื่อคุณเข้าไปในเว็บ Pledge5 นี้โดยผ่าน facebook จะปรากฏหน้าจอใหม่ขึ้นมา ซึ่งเป็นหน้าจอที่ผสมระหว่าง facebook กับหน้า Home Page ของ Pledge5

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้องค์กรที่ใช้ facebook connect ส่วนใหญ่ ยังเป็นองค์กรด้านสังคม อย่างเช่น Pledge5 ของ Starbucks ดังกล่าว หรือสำนักข่าวอย่าง CNN ซึ่งเพียงแต่เชิญชวนให้ผู้ใช้เข้าไปคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเท่านั้น แต่ใครจะรู้ว่า ผู้ใช้ facebook จะมีปฏิกิริยาเหมือนเมื่อปี 2007 หรือไม่ ถ้าหากว่าเกิดมีบริษัทโบรกเกอร์เข้าไปเชิญชวนสมาชิก facebook ให้ชวนเพื่อนๆ ไปใช้บริการของบริษัท แม้ว่าผู้ใช้ facebook จะมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะปฏิเสธ เหมือนที่สามารถปฏิเสธไม่เล่นจดหมายลูกโซ่ 25 Random Things ได้ก็ตาม

Zuckerberg เองก็ยืนยันว่า จะไม่ใช้วิธียัดเยียดโฆษณาใน facebook และผู้ใช้สามารถควบคุมได้ว่า ต้องการจะเห็นหรือไม่เห็นโฆษณาอะไร ด้วยการกดปุ่มปฏิเสธ ซึ่งก็จะทำให้ระบบของเว็บ facebook รับรู้ความไม่พอใจของคุณไปพร้อมกันด้วย และโฆษณาที่คุณไม่ชอบก็จะหายไปในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจะไม่มีเวลาใดที่จะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว สำหรับการเพิ่งจะเริ่มต้นคิดสร้างรายได้อย่างจริงจัง เพราะคาดกันว่าการเติบโตของโฆษณาบนเว็บในปีนี้ จะลดลงจาก 17.5% ในปีที่แล้ว เหลือเพียง 8.9% เท่านั้นในปีนี้ และเท่าที่ผ่านมา โฆษณาบนเว็บก็มักจะเทไปให้เว็บท่า (Portal) และเว็บใหญ่ๆ มากกว่าเว็บทดลองหรือเว็บ Social Network อย่าง facebook ซึ่งรายได้ก้อนใหญ่ที่สุดที่ facebook มีในขณะนี้ ยังคงมาจากข้อตกลงกับ Microsoft เมื่อปี 2006 ซึ่ง Microsoft ตกลงติดป้ายโฆษณาแบบ banner บน facebook และแบ่งรายได้กันระหว่าง Microsoft กับ facebook

แต่การขายโฆษณาแบบนี้บนเว็บอย่าง facebook และ Social Network อื่นๆ ไม่ค่อยได้ผลนัก เพราะ Banner Ad สามารถสร้างรายได้เพียง 15 เซ็นต์ต่อการคลิก 1,000 ครั้ง (เทียบกับ 8 ดอลลาร์ต่อ 1,000 คลิก ในเว็บใหญ่ๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจนอย่างเช่น Yahoo Auto)

Sandberg ยอมรับว่า facebook ยังต้องพยายามอีกมากในการหาโฆษณา ตอนนี้เธอให้ความสำคัญกับการหาโฆษณาที่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ใช้ทำบน facebook และเน้นการเพิ่มจำนวนผู้ใช้และเพิ่มจำนวนโฆษณา

facebook เริ่มตั้งเป้าหมายอย่างจริงจัง ที่จะเพิ่มผู้ใช้ให้ได้ถึง 200 ล้านคน มาตั้งแต่เดือนมกราคม 2008 ซึ่งเป็นเวลาที่ facebook เริ่มนำเครื่องมือแปลภาษามาใช้ เนื่องจากขณะนี้ผู้ใช้ facebook มากกว่า 70% อยู่นอกสหรัฐฯ และส่วนใหญ่ชอบอ่าน facebook ในภาษาของตัวเองมากกว่า

สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ คนอเมริกันที่มีอายุ กำลังค้นพบวิธีใช้ facebook แบบใหม่ที่น่าสนใจ อย่างเช่น Steve Ballmer CEO ของ Microsoft ใช้ facebook เพื่อคอยดูว่า ลูกๆ ของเขากำลังทำอะไรอยู่บน Internet ทำให้ตอนนี้กลุ่มผู้ใช้ facebook รายใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นเร็วที่สุดคือ กลุ่มผู้หญิงที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 175% ตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่แล้ว (2008) facebook จึงถูกเยาะเย้ยว่า เมื่อบรรดาคุณย่าคุณยายแห่กันเข้าไปใน facebook ก็คงเป็นสัญญาณที่แสดงว่า ถึงคราวที่ facebook จะจบเห่แล้ว
แต่ Zuckerberg กลับเห็นตรงกันข้าม การมีกลุ่มผู้ใช้ที่กว้างขวางและแตกต่างกันหลายกลุ่ม เป็นความต้องการของ Zuckerberg อยู่แล้ว เขาเชื่อว่า การได้กลุ่มผู้ใช้ที่มีอายุมากและมีนิสัยติดเว็บน้อยกว่า แสดงว่า เขาประสบความสำเร็จในการทำให้ facebook เป็นเว็บที่ใช้ง่าย เพราะ facebook คงไม่อาจจะกลายเป็นมาตรฐานการสื่อสารของโลกอย่างที่เขามุ่งมาดปรารถนาได้ ถ้าหากว่ามีแต่เพียงกลุ่มเด็กๆ ที่เก่งไฮเทคสามารถใช้ได้เท่านั้น อีกทั้ง facebook ยังไม่มีคู่แข่งที่น่ากลัวใดๆ ปรากฏขึ้นมา ที่จะสามารถแย่งเอากลุ่มผู้ใช้อายุน้อยๆ ไปจาก facebook ได้ในตอนนี้

อย่างไรก็ตาม facebook จะประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว ถ้าใครยังจำ Instant Messenger ของ AOL ได้ ซึ่งเคยทำวัยรุ่นติดกันมาก และธุรกิจก็เริ่มใช้มันแทน e-mail แต่ AOL ไม่เคยสามารถหาวิธีทำเงินจากมันได้เลย และ facebook ก็อาจประสบชะตากรรมเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าทั้ง Zuckerberg และ Sandberg ต่างก็มิได้นำพา ว่าจะต้องรีบเร่งทำให้ facebook มีกำไรโดยเร็ว

Zuckerberg ยกเรื่องการหารายได้เป็นหน้าที่ของ Sandberg ซึ่งเสไปให้ความสำคัญกับการขยายสมาชิกมากกว่า แม้กระทั่งนายทุนของ Zuckerberg เอง ก็ดูเหมือนจะใจเย็นอยู่มาก Jim Breyer ซึ่งลงทุนใน facebook ด้วยเงินส่วนตัว 1 ล้านดอลลาร์ บวกกับอีก 12.7 ล้านดอลลาร์จาก Accel Partners กองทุน Venture Capital ยังบอกว่า การสร้างผลกำไรในตอนนี้ ยังเป็น “เป้าหมายรอง” สำหรับการเติบโตในขั้นนี้ของ facebook

ส่วน Microsoft ซึ่งค่อนข้างจะมีความสัมพันธ์ที่แปลกประหลาดกับ facebook เพราะเป็นทั้งเจ้าของ หุ้นส่วน และคู่แข่ง (ผ่าน Windows Live ซึ่งเป็น Social Network ของ Microsoft เอง) นับตั้งแต่ได้ซื้อหุ้นใน facebook แล้ว Microsoft ก็สร้าง Link ต่างๆ ที่เชื่อมระหว่าง facebook กับ Windows Live เมื่อผู้ใช้ใส่ข้อมูลหรือรูปลงบน facebook ข้อมูลเหล่านั้นก็จะไปปรากฏบนเว็บ Windows Live ด้วย

facebook ยังมีอิทธิพลต่อ Microsoft อีกอย่าง เมื่อระบบปฏิบัติการใหม่ของ Microsoft คือ OS 7 นั้น มีคุณสมบัติที่คล้ายกับถอดออกไปจาก facebook ทั้ง Feed ข่าว และข้อมูลที่คล้ายกับที่ปรากฏอยู่ใน News Feed ของ facebook เป็นไปได้หรือไม่ที่ Microsoft จะซื้อ facebook ในที่สุด เพราะต่างก็จะได้ประโยชน์ทั้งคู่ นายทุนของ facebook จะได้เงินคืนเสียที ส่วน Microsoft ซึ่งกำลังพยายามหาทางจะเสนอขายซอฟต์แวร์ใหม่ๆ ผ่าน Internet ให้มากขึ้น ก็จะได้เป็นเจ้าของเว็บที่แข็งแกร่ง ซึ่งสามารถจะใช้เป็นฐานในการขายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของตัวเองได้

แต่ Zuckerberg ก็เหมือนกับเหล่าอดีตนักศึกษาคนดังของ Harvard ทั้งหลายที่เรียนไม่จบเพราะออกมาตั้งบริษัทไฮเทค เขาตั้งใจแน่วแน่ที่จะสร้างอาณาจักรธุรกิจ ที่สามารถจะเข้าถึงผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทุกคนบนโลกใบนี้ Zuckerberg ไม่สนใจจะขาย facebook ให้ Microsoft เพราะเขาต้องการจะเป็น Microsoft เสียเอง และด้วยการมี “เพื่อน” ถึง 175 ล้านคน เขาก็พร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นสร้างอาณาจักรนั้น**

Source: Positioning Magazine โดย เสาวนีย์ พิสิฐานุสรณ์ แปล/เรียบเรียงจากนิตยสาร Fortune


  •  
  •  
  •  
  •  
  •