เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้หลาย ๆ คนที่เล่นแอพถ่ายแต่งภาพชื่อดังอย่าง Instagram คงได้รับประสบการณ์ครั้งแรกกับการทำโฆษณาผ่าน Instagram ในครั้งนี้ ซึ่งมีประเด็นหรือเรื่องราวที่น่าสนใจ ที่ทำให้คนที่สนใจจะทำโฆษณาผ่าน Instagram นั้นได้เรียนรู้ และทำอย่างไรที่จะทำให้ instagram advertising ของนักการตลาดนั้นได้ผล พร้อมข้อควรระวังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
จากการเปิดเผยของ Instagram ประเทศไทยมี Active users ต่อเดือนมากกว่า 7.8 ล้านคน มี 74 ล้านไลค์ต่อวัน และมีรูปอัพผ่าน Instagram กว่า 1.8 ล้านรูปต่อวันกับวิดีโออีก 45,000 คลิปต่อวัน ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้หญิงกว่า 67% และชาย 33% โดยมีคนใช้ในช่วงอายุ 18-34 นั้นประมาณ 72% ทำให้ Instagram นั้นเป็นเครื่องมือที่น่าสนใจลองลงมาจาก Facebook และ Line ที่มี Active User ต่อเดือนที่สูง และเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่อีกด้วย
ด้วยจำนวนตัวเลขการใช้งานที่เยอะเช่นนี้ทั่วทั้งโลก และ Platform Instagram นี้ต้องเริ่ม Monetize หรือสร้างกระบวนการหารายได้ด้วยตัวเองหลังจาก Facebook นั้นได้เข้าซื้อไปแล้ว ทำให้การหารายได้จากการมียอดใช้งานของคนที่มีจำนวนมากผ่านโฆษณานั้นเป็นเรื่องปกติ คนที่เล่น Instagram ที่ไม่ต้องเสียค่าสมาชิกหรือเสียค่าแอพต้องยอมรับในกระบวนการมีโฆษณานี้เพื่อแลกในการเข้าใช้งานได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องเสียเงิน
ซึ่งการมาถึงของ Instagram Advertising นั้นมีประกาศมาล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้น โดยทำให้นักการตลาดสามารถส่งภาพหรือเนื้อหาที่จะทำให้คนนั้นเข้ามาปฏิสัมพันธ์หรือรับรู้ตัวตนของแบรนด์ได้ผ่านโฆษณานี้ โดยมีรูปแบบโฆษณาที่แตกต่างกันเช่น เป็นภาพโฆษณา, วิดีโอโฆษณาหรือ โฆษณาแบบหมุน ซึ่งสามารถใช้งานรูปแบบโฆษณาทั้งหมดนั้นเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ได้ดังนี้คือ ลิงก์กลับไปยังเว็บไซต์หรือหน้ารองรับลิงก์นั้น ๆ, เพิ่มยอดการชมวิดีโอ, สร้างกระแสการรับรู้ หรือ เชิญชวนให้ลง Application ต่าง ๆ
และด้วยรูปแบบโฆษณา Instagram แบบนี้ทาง Instagram นั้นได้ทดลองกับแบรนด์และนักการตลาดต่างประเทศมามากมายและพบว่าเกิดการตอบรับที่ได้ ทำให้เกิด Brand Recall ผ่านโฆษณาที่ลงไปกว่า 2.9 เท่าจากโฆษณาออนไลน์ปกติ แต่ด้วยความที่โฆษณา Instagram ที่ได้ลองที่ต่างประเทศเท่านั้น และยังไม่เคยได้ลองในแถบภูมิภาคนี้ที่มีพฤติกรรมการใช้งานและรูปแบบการใช้งานที่ต่างออกไป ทำให้แบรนด์ต่าง ๆ ที่ได้ลองใช้นั้นต้องเจอกับเรื่องที่คาดที่ไม่ถึง เพราะพฤติกรรมของคนไทยที่มีการใช้ Social Media ต่าง ๆ ที่แตกต่างจากต่างประเทศในการใช้เป็น C2C Platform ในการขายของ เช่น การขายของผ่าน Facebook หรือ Instagram แล้วให้ไปติดต่อผ่าน Messenger Platform ต่าง ๆ เช่น Line หรือ Facebook messenger โดยรูปแบบการใช้งานเช่นนี้เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย และเป็น Case Study ที่ทั่วโลกต่างมีความสนใจในการสร้าง S-Commerce แบบนี้
ซึ่งการที่ประเทศไทยมีพฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้การมาถึงของ Instagram Ad นั้นกลายเป็นบทเรียนรู้ให้คนที่อยากทำนั้นได้เรียนรู้ทันทีว่าถ้ามีโฆษณาใน Instagram มานั้นจะเกิดอะไรขึ้น โดยในครั้งนี้ก็ได้มีแบรนด์ที่เป็น Facebook Partner ในประเทศไทยได้ลองการใช้โฆษณา Instagram ก่อนใครที่จะเปิดให้ได้ซื้อชายจริงในสิ้นเดือนนี้ ทั้งนี้แบรนด์ที่ได้ลองได้แก่ DTAC, Lazada และ Airasia โดยทั้ง 3 แบบต่างใช้ รูปแบบในการลงโฆษณาที่แตกต่างกันพอดี คือ DTAC ลงแบบ Video, Lazada ลงแบบหมุน (Carousel) และ Airasia ลงแบบภาพธรรมดา แต่ทั้งหมดนั้นต่างได้ผลที่คล้ายกัน ๆ ทั้งนี้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคือ
- ผู้บริโภคยังไม่เข้าใจเรื่องรูปแบบโฆษณา ทำให้การทำโฆษณาขึ้นมาแบบยัดเยียดผลิตภัณฑ์และบริการต่าง ๆ นั้นกลับทำให้ผู้บริโภคหรือคนใช้ Instagram ต่อต้านขึ้นมา
- แบรนด์ที่มีปัญหาในเรื่อง Service/Product นั้นจะถูกเข้ามาถล่มด้วยความเห็นต่าง ๆ มากมาย ว่าไม่ได้ดีจริงอย่างที่ทำโฆษณาไว้ ทำให้ผู้บริโภคหรือลูกค้าที่มีปัญหาต่าง ๆ ของแบรนด์นั้น ๆ เข้ามาถล่มเรื่องบริการหรือสินค้าต่าง ๆ กันเพียบ
- แบรนด์ต่าง ๆ ที่ทำโฆษณาผ่าน Instagram นั้นต่างโดนฝากร้านจากพ่อค้าแม่ค้ากันมากมาย ทำให้โฆษณาที่ลงไปแทนที่จะโปรโมทหรือสร้างแบรนด์ตัวเอง กลับทำให้กลายเป็นการโปรโมทสินค้าและบริการของพ่อค้าแม่ค้าทั่วไปด้วย
ทั้งนี้การมีตัวอย่างการทำจากแบรนด์ต่าง ๆ ที่ได้ลองทำไปแล้ว ทำให้นักการตลาดที่จะทำการตลาดผ่าน Instagram ได้เรียนรู้จากตัวอย่างนี้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพื่อจะแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น
- การทำโฆษณาผ่าน Instagram นั้นต้องคิดถึงในรูปแบบ Native Advertising และต้องมีภาพและการถ่ายที่ดี สวยงาม พร้อมมีเรื่องราวให้ติดตามหรือเข้าใจได้ทันที หรือเป็นเรื่องราวที่เค้าจะมีความรู้สึกร่วมไปด้วย เพื่อให้เกิดการแชร์หรือส่งต่อมากขึ้น
- ระมัดระวังเรื่องปัญหาและบริการของตัวเอง ในการทำโฆษณารูปแบบนี้ในช่วงลงโฆษณา ซึ่งต้องหลีกเลี่ยงการ Overclaim หรือขายสินค้าที่ไม่สามารถทำได้จริง หรือขัดกับความรู้สึกกับผู้บริโภคหรือลูกค้าที่ใช้งานจริง ซึ่งอาจจะเลี่ยงมาทำเรื่องที่ Emotional แทนมากกว่า Functional ในแบรนด์ที่มีปัญหาอยู่
- ส่วนสุดท้ายเป็นเรื่องที่ต้องมาหาทางออกกันว่า จะสามารถทำอย่างไรที่จะไม่ให้พ่อค้าแม่ค้ามาฝากร้านได้ และทำให้เราไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาต่าง ๆ เพื่อพ่อค้าแม่ค้าแบบนี้ ซึ่งในอนาคตหาก Instagram คิดค่าการลงตาม Engagement ที่เกิดขึ้นอย่าง Like และ Comment นั้นจะทำอย่างไรต่อไป
ทั้งนี้ตอนนี้มีหลาย ๆ แบรนด์ในต่างประเทศที่มี Case Study ที่ดีในการทำ Instagram Brand Account ต่าง ๆ ซึ่งทำให้เราสามารถเรียนรู้ได้ว่า ภาพหรือแคมเปญโฆษณาแบบไหนที่จะได้ผลบน Instagram นี้แทน ส่วนในตอนนี้ใครที่ยังไม่สามารถลงโฆษณาได้ ก็เรียนรู้และเก็บความรู้จากเจ้าต่าง ๆ ที่ลงไปก่อน เพื่อถึงวันที่ลงโฆษณาตัวเองได้จะได้หลีกเลี่ยงในข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น