RS โฟกัส “Digital, In Store Media”

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

logo_rsผ่านพ้นปี 2551 ไปแบบไม่ค่อยสวยงามนักสำหรับ “อาร์เอส” ยักษ์บันเทิงเมืองไทย แม้ว่าจะพยายามปรับโครงสร้างองค์กร แนวทางการทำธุรกิจมาหลายครั้งหลายครา แต่ด้วยภาวะ เศรษฐกิจที่เป็นอยู่ยังส่งผลให้ธุรกิจทั้งหลายยังจำเป็นต้องปรับตัวรับมืออย่างต่อเนื่อง

“เฮียฮ้อ” หรือ “สุรชัย เชษฐ์โชติศักดิ์” ได้ให้สัมภาษณ์ว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมจะยังคงส่งผลกระทบทบต่อทุกกลุ่มธุรกิจ แต่สำหรับอุตสาหกรรมบันเทิงนั้นยังเชื่อว่าหากมีการปรับตัวที่ดี มีกลยุทธ์ที่เหมาะสมก็จะเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบน้อยมาก

สำหรับ “อาร์เอส” มองว่าปีนี้ทุกกลุ่มธุรกิจจะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้ โดยในภาพรวมน่าจะยังมีศักยภาพในการสร้าง รายได้รวมเพิ่มขึ้นประมาณ 10%

ทั้งนี้ ธุรกิจที่น่าจะได้รับผลกระทบนั้นส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุ่มมีเดีย เพราะที่ผ่านมาเม็ดเงินโฆษณาในตลาดได้สะท้อนให้เห็นว่านักการตลาดและเจ้าของสินค้าเริ่มระมัดระวังในการทำโฆษณาและการตลาด โดยหันมาใช้งบฯในระยะเวลาสั้นๆ และพยายามมองหาสื่อและวิธีการใหม่ๆ ในการช่วยผลักดันยอดขาย

และมองว่า ธุรกิจของอาร์เอสที่มีศักยภาพในการขยายตัวสูงในปีนี้ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ Digital, TV และ In Store Media

โดยในส่วนของดิจิทัลนั้นคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกกว่า 30% เนื่องจากนักการตลาดและเจ้าของสินค้าจะมองหาสื่อใหม่ในการเจาะเข้าหาผู้บริโภค โดยเฉพาะสื่อ ออนไลน์ ซึ่งปัจจุบันอาร์เอสมีเว็บไซต์ที่ประสบความสำเร็จ 2 เว็บไซต์ คือ www.zheza.com และ www.pleng.com

“ไซเคิลของธุรกิจเพลงกำลังจะกลับมาสู่ธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูงได้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ทั่วโลกเจอกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์และการถดถอยของแผนวีซีดี ซึ่งตอนนี้รายได้จากดิจิทัลดาวน์โหลดได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเพิ่มขึ้นและคาดหวังว่ารายได้จาก Digital Download จะกลายเป็นรายได้หลักได้”

ส่วน In Store Media หรือสื่อใน Modern Trade เป็นสื่อที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการทำสื่อวิทยุในโมเดิร์นเทรดในปีที่ผ่านมา และยังเป็นสื่อที่มีศักยภาพในการขยายตัวสูง ปีนี้จึงมีแผนที่จะลงทุนอีกประมาณ 60 ล้านบาท สำหรับลงทุน “In Store TV” ติดตั้งจอ LCD Modern Trade ทั้ง 4 แบรนด์ คือ เทสโก้ โลตัส, บิ๊กซี, คาร์ฟูร์ และท็อปส์ รวมกว่า 900 สโตร์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทยอยติดตั้ง คาดว่าน่าจะเสร็จทั้งหมดในช่วงประมาณเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้

และเชื่อว่าน่าจะทำให้นักการตลาดและเจ้าของสินค้าที่มีงบฯไม่มากหันมาใช้บริการสื่อดังกล่าวนี้เพิ่มมากขึ้น โดยคาดว่าในปีนี้อินสโตร์มีเดียจะมีอัตราการขยายตัวของรายได้สูงถึงกว่า 90%

ส่วนธุรกิจทีวีนั้น ปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ กลุ่มวาไรตี้โปรแกรม 4 รายการ กลุ่ม Teen and String Music Program 4 รายการ และกลุ่ม country music program ภายใต้การผลิตงานของอาร์สยาม 5 รายการ ซึ่งจากการโฟกัสกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนของแต่ละกลุ่มรายการนี้น่าจะทำให้ “อาร์เอส” ยังมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นได้อีกกว่า 80%

จากนโยบายดังกล่าวนี้ “สุรชัย” คาดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจโทรทัศน์จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 7% ในปีที่ผ่านมาเป็น 11% ในปีนี้ ขณะที่สัดส่วนรายได้ของอินสโตร์มีเดียปีนี้จะเพิ่มขึ้นจาก 6% เป็น 10% และสัดส่วน รายได้ของธุรกิจดิจิทัลจะเพิ่มขึ้นจาก 13% ในปีที่ผ่านมาเป็น 15% ในปีนี้

นอกจากนี้ยังคาดว่าสัดส่วนรายได้ของธุรกิจวิทยุจะปรับตัวลดลงจาก 15% ในปีที่ผ่านมาเหลือ 13% ในปีนี้ ส่วนธุรกิจเพลงคาดว่าสัดส่วนรายได้จะปรับตัวลดลงจาก 20% ในปีที่ผ่านมาเหลือ 16% ในปีนี้

อย่างไรก็ตาม คาดว่าตัวเลขกำไรสุดท้ายในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาแน่นอน

ไม่เพียงเท่านี้ “เฮียฮ้อ” ยังบอกถึง กลยุทธ์หลักๆ ขององค์กรในปีนี้ด้วยว่า จะมุ่งเน้นทำการงานใกล้ชิดกับลูกค้าและเน้นการตอบโจทย์ลูกค้าแบบเฉพาะมากขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมประชุมผู้บริหารเพื่อประเมินและวิเคราะห์แต่ละกลุ่มธุรกิจทุกเดือนเพื่อให้ปรับแผนการดำเนินงานได้ สอดรับกับสถานการณ์ ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญกับการดูแลรักษาฐานลูกค้าเดิมและเน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว

ส่วนนโยบายด้านการลงทุนนั้นจะยังคงขยายงานด้วยความระมัดระวังสูง โดยใน ปีนี้มีแผนลงทุนเพิ่มเพียง 2 โครงการหลัก คือ ลงทุนอินสโตร์มีเดีย จำนวน 60 ล้านบาท และลงทุนสนาม S-ONE ซึ่งเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จสูงในสาขาแรกที่เปิดให้บริการไปแล้ว ปีนี้จึงมีแผนลงทุนเพิ่มอีก 2 แห่งๆ ละประมาณ 90-100 ล้านบาท ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และปัจจัยทางเศรษฐกิจ

เพราะในภาวะแบบนี้จำเป็นต้องติดตามดูแผนอย่างใกล้ชิดและพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตลอดเวลา

ซีอีโอหนุ่มค่ายอาร์เอสยังบอกด้วยว่าในฐานะผู้บริหาร สถานการณ์ในปีนี้หากมองในมุมของอาร์เอสรู้สึกสบายใจกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างธุรกิจและปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานทุกส่วนเรียบร้อยแล้ว บางส่วนปรับตัวรองรับสถานการณ์ไปแล้วตั้งแต่ 3-4 ปีที่ผ่านมา

ปีนี้จึงไม่มีอะไรน่าห่วง ยกเว้นปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวเนื่องกับเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศเท่านั้น

Source:  ประชาชาติ ธุรกิจ


  •  
  •  
  •  
  •  
  •