รายได้สื่อโตต่ำสุดรอบ 6 ปี

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

บริษัทสื่อระดับท็อป 100 ของสหรัฐฯพบการเติบโตของรายได้ในปี 2007 เพียง 4.6% ซึ่งถือเป็นการเติบโตอย่างเชื่องช้าที่สุดตั้งแต่เกิดภาวะถดถอยในปี 2001 หรือในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา

การเติบโตอย่างเชื่องช้าของอุตสาหกรรมสื่อสะท้อนถึงสภาพเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ทั้งนี้ การเติบโตของค่า GDP สหรัฐฯในปีที่แล้วหยุดอยู่ที่เพียง 2% ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดตั้งแต่ปี 2002  ท่ามกลางสัญญาณบ่งชี้ถึงการเข้าสู่ภาวะถดถอย  

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชนะสูงสุดในอุตสาหกรรมได้แก่สื่อดิจิตอล ด้วยรายได้ที่เพิ่มขึ้น 10.8%   เคเบิลเน็ตเวิร์กตามมาติดๆด้วยยอดการเติบโตอยู่ที่ 10.6%  ส่วนผู้แพ้ทิ้งท้ายคือสื่อหนังสือพิมพ์ ด้วยรายได้ที่หดลง 6.8% 

บริษัทสื่อชั้นแนวหน้าทั้ง 100 อันดับของสหรัฐฯทำรายได้สุทธิผ่านสื่อในปี 2007 รวมกันอยู่ที่ 2.991 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงเม็ดเงินจากโฆษณา การสมัครสมาชิก และค่าธรรมเนียมต่างๆ 

ไทม์ วอร์เนอร์ยังครองเบอร์หนึ่ง

ไทม์ วอร์เนอร์ครองอันดับหนึ่งของตารางด้วยรายได้สุทธิด้านสื่อในสหรัฐฯอยู่ที่ 3.56 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบริษัทฯยังคงรักษาตำแหน่งเบอร์หนึ่งไว้ได้ตั้งแต่ปี 1995 และมีรายได้คิดเป็น 11.9%ของรายได้ด้านสื่อทั้งหมดที่มาจากบริษัทท็อป 100  (ทุกๆ 1 ใน 8 ดอลลาร์สหรัฐที่นักโฆษณาและผู้บริโภคใช้จ่ายเพื่อสินค้าและบริการจากบริษัทท็อป 100 ตกเป็นของไทม์ วอร์เนอร์)  

ไทม์ วอร์เนอร์มีแนวโน้มสูญเสียตำแหน่งบริษัทสื่อที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯในเร็ววันนี้  ทั้งนี้ บริษัทฯกำลังเตรียมพร้อมแยกไทม์ วอร์เนอร์ เคเบิล ซึ่งเป็นธุรกิจดำเนินการด้านสื่อที่ใหญ่ที่สุดขององค์กรออกจากอาณาจักร  สำหรับไทม์ วอร์เนอร์ที่ปราศจากธุรกิจระบบเคเบิล รายได้สุทธิด้านสื่อภายในประเทศในปี 2007 จะอยู่ที่ประมาณ 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ  ซึ่งส่งผลให้ตกอันดับลงมาเป็นบริษัทสื่อเบอร์สองของประเทศ ตามหลังคอมคาสต์ คอร์ป (2.69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ )  

Ad Age ตีพิมพ์รายงานบริษัทสื่อชั้นนำท็อป 100 ของสหรัฐฯตั้งแต่ปี 1981  ในรายงานฉบับแรกนั้น บริษัทท็อป 100 มีรายได้ด้านสื่อในสหรัฐฯอยู่ที่ 2.95 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นหนึ่งส่วนสิบของรายได้จากบริษัทสื่อท็อป 100 ในปีนี้  

ผลการจัดอันดับบริษัทท็อป 100 พิจารณาจากรายได้รวมของสินค้าและบริการที่หลากหลายของธุรกิจสื่อต่างๆ  นั่นรวมถึงสื่อแบบดั้งเดิม บริการทางอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการเคเบิล และภาพยนตร์  ส่วนแหล่งที่มาของรายได้ ได้แก่ โฆษณา ยอดสมาชิก ยอดขายตั๋วชมภาพยนตร์และดีวีดี และค่าธรรมเนียมจากโปรดักชันทีวี/ลิขสิทธิ์ เป็นต้น   

เคเบิลมีบทบาทสูง

ระบบเคเบิลและบริการผ่านดาวเทียมทำรายได้คิดเป็น 31%ของรายได้ด้านสื่อทั้งหมดในสหรัฐฯในปี 2007  บริษัทเคเบิล/ดาวเทียม 3 แห่งที่ติดอันดับท็อป 10 บริษัทสื่อ ได้แก่  คอมคาสต์, ไดเร็กทีวี กรุ๊ป และดิช เน็ตเวิร์ก คอร์ป. 

ขนาดและการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของระบบเคเบิลมีความหมายต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม  หากไม่นับรายได้จากระบบเคเบิลและดาวเทียม รายได้ในปีที่แล้วของบริษัทสื่อท็อป 100 เติบโตเพียง 2.4% (เทียบกับ 4.6% เมื่อนับรวมระบบเคเบิล/ดาวเทียมด้วย)

ส่วนเคเบิล เน็ตเวิร์ก ซึ่งตามหลังระบบเคเบิลและดาวเทียม ครองตำแหน่งแหล่งสร้างรายได้ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของกลุ่มบริษัทสื่อท็อป 100 (13.4%) นำหน้าสถานีและเน็ตเวิร์กทีวีบรอดคาสต์ (10.6%)

หนังสือพิมพ์ตามมาเป็นอันดับ 4 โดยทำเงินได้ 10.4% ของรายได้รวมด้านสื่อ  เมื่อ 20 ปีก่อน รายได้จากหนังสือพิมพ์คิดเป็น 35.9% ของรายได้ทั้งหมดในกลุ่มบริษัทท็อป 100  และต่อมาเมื่อ Ad Age ได้ขยายนิยามของสื่อเพื่อครอบคลุมทั้งภาพยนตร์/ความบันเทิงภายในบ้าน (ดีวีดี) และโปรดักชันทีวีและลิขสิทธิ์

หากไม่นับรวมแหล่งทำเงินใหม่ๆที่เพิ่มเข้าไปดังกล่าวมานั้น  ในปีที่แล้ว หนังสือพิมพ์จะทำเงินได้ 11.5% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทสื่อท็อป 100  ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับส่วนแบ่งรายได้ที่เคยได้มาถึง 35.9% เมื่อ 20 ปีก่อน

ในรายงานของ Ad Age ฉบับปี 1988 (ซึ่งระบุรายได้ในปี 1987)  หนังสือพิมพ์เป็นแหล่งสร้างรายได้ขนาดใหญ่ที่สุดของบริษัทสื่อ 37 แห่งในกลุ่มบริษัทท็อป 100  ในรายงานฉบับนั้น ผลการจัดอันดับบริษัทสื่อยักษ์ใหญ่ระดับท็อป 10 ของสหรัฐฯพบว่าประกอบด้วยผู้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์จำนวนถึง 4 แห่ง

หนังสือพิมพ์รายได้หด

แต่จากผลการจัดอันดับบริษัทสื่อท็อป 100 ครั้งใหม่ล่าสุด มีเพียง 22 บริษัทเท่านั้นที่มีหนังสือพิมพ์เป็นแหล่งสร้างรายได้สูงสุด  แกนเน็ทท์ คอมปานี ซึ่งเป็นผู้ตีพิมพ์หนังสือพิมพ์รายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ติดอันดับที่ 14 ในกลุ่มบริษัทสื่อท็อป 100 (เมื่อ 20 ปีก่อน บริษัทเคยติดอันดับ 4)  

รายได้จากสื่อหนังสือพิมพ์ของบริษัทสื่อท็อป 100 ในปีที่แล้วหดลง 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในทางกลับกัน  กูเกิลซึ่งเป็นผู้เล่นระดับท็อปของสื่อดิจิตอลพบรายได้สุทธิด้านสื่อในสหรัฐฯกระโดดขึ้น 47% หรือคิดเป็นมูลค่า 1.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้กูเกิลไต่ขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 12 ในตารางบริษัทสื่อท็อป 100  

อย่างไรก็ดี หนังสือพิมพ์กำลังพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างรายได้ทางดิจิตอล  เช่น CareerBuilder และ Classified Ventures ซึ่งเป็นธุรกิจร่วมลงทุนทางออนไลน์ของกลุ่มบริษัทสื่อหนังสือพิมพ์หลายๆแห่ง พบการเติบโตของรายได้ในปี 2007 และธุรกิจทั้งสองล้วนติดอันดับบริษัทสื่อท็อป 100 

ยอดการเติบโตของรายได้ทางดิจิตอลในรายงานฉบับนี้ (10.8%) จะสูงกว่านี้ถ้าไม่เกิดการหดตัวของรายได้ใน AOL ของไทม์ วอร์เนอร์  รายได้จากการเป็นสมาชิกที่ AOL หดลงทันทีที่ลูกค้ายกเลิกบริการอินเทอร์เน็ตแบบเชื่อมต่อโดยใช้สายโทรศัพท์

ตั้งแต่ต้นปีมานี้ ไทม์ วอร์เนอร์พยายามแยก AOL ออกเป็น 2 ฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบริการอินเทอร์เน็ตแบบ dial-up ที่เสื่อมความนิยมลง และฝ่ายปฏิบัติการผ่านเว็บโดยเน้นโฆษณาซึ่งกำลังมาแรง  ไทม์ วอร์เนอร์ชี้แจงว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการพัฒนาแนวทางปฏิบัติและทางเลือกเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมแก่ธุรกิจทั้งสอง     

ข้อมูลรายได้ทางดิจิตอลของบริษัทสื่อท็อป 100 ไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด ทั้งนี้ หลายๆ บริษัทรายงานรายได้ด้านดิจิตอลในรูปของรายได้ส่วนหนึ่งของหน่วยงานหลักของพวกเขา (หนังสือพิมพ์ หรือทีวีเน็ตเวิร์ก เป็นต้น) 

ดีลมีน้อยลง

ในส่วนของดีลธุรกิจระหว่างบริษัทสื่อด้วยกัน  กิจกรรมการควบรวมและซื้อกิจการในปีนี้ชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ที่ตลาดสินเชื่อและการลงทุนตกอยู่ในภาวะบีบรัด 

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงทุกวันนี้ ในสหรัฐฯมีการประกาศซื้อกิจการด้านสื่อในวงเงินมูลค่าสูงกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพียง 5 ครั้งเท่านั้น  ดีลมูลค่าสูงสุดได้แก่ การขาย Weather Channel ของ Landmark Communications ให้กับ NBC Universal ของบริษัทเจเนอรัล อิเลคทริค และสองผู้เล่นกองทุนส่วนบุคคล Blackstone Group และ Bain Capital ด้วยมูลค่ารวมทั้งสิ้น 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ   

ในทางกลับกัน ภายในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มีการประกาศซื้อกิจการด้านสื่อมูลค่าสูงกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐถึง 14 ครั้ง  ดีลเหล่านั้นรวมถึงการซื้อกิจการทริบูน โค.โดยนายแซม เซลล์, การรวมกิจการระหว่างซิริอุส แซเทิลไลท์ เรดิโอ และเอ็กซ์เอ็ม แซทเทิลไลท์ เรดิโอ โฮลดิ้งส์ และการซื้อกิจการดาวโจนส์ แอนด์โค โดยนิวส์ คอร์ป 

ในขณะที่ไทม์ วอร์เนอร์กำลังรอแยกกิจการเคเบิลในเร็ววันนี้  ผู้เล่นด้านสื่อระดับท็อป 100 หลายรายเริ่มลดและแยกสินทรัพย์ส่วนหนึ่งออกจากธุรกิจหลักเพื่อสร้างกิจการที่มีขนาดเล็กลงแต่สามารถดูแลได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น (ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนเทรนด์จากแนวคิด ‘ยิ่งใหญ่ยิ่งดี’ ที่เคยเป็นที่นิยมในช่วงต้นทศวรรษมานี้)  

เมื่อปีที่แล้วบริษัท วอลท์ดิสนีย์ได้ขายสถานีวิทยุและเครือข่ายวิทยุ ABC แก่ Citadel Broadcasting Corp ในขณะเดียวกัน เดอะนิวยอร์ก ไทม์ ขายสินทรัพย์สถานีทีวีในเครือให้กับบริษัทจัดตั้งใหม่ Local TV LLC  เช่นเดียวกับนิวส์ คอร์ปซึ่งขายสถานทีวีทั้ง 8 แห่งในเครือให้กับองค์กรเดียวกันในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา  

กรณีการแยกธุรกิจอื่นๆ

E.W. Scripps Co. แตกตัวออกเป็น 2 บริษัทในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา  โดย Scripps Networks Interactive เน้นโฟกัสในสื่อเคเบิลเน็ตเวิร์ก (รวมถึง HGTV) และเว็บไซต์ด้านไลฟ์สไตล์ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว  ส่วน E.W. Scripps รับผิดชอบดำเนินการสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นและธุรกิจสื่อหนังสือพิมพ์ที่พบการชะลอตัว      

ในเดือนกุมภาพันธ์ Belo Corp. แยกธุรกิจหนังสือพิมพ์ออกจากเครือและหันมาโฟกัสเฉพาะสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น 

นายแบร์รี ดิลเลอร์แบ่ง IAC/InterActiveCorp ออกเป็น 5 บริษัทในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยยังคงให้ IAC คงความเป็นยักษ์ใหญ่ในอินเทอร์เน็ตด้วยธุรกิจบริการออนไลน์มากมาย  

ในเดือนมีนาคมเคลียร์ แชนแนล คอมมูนิเคชั่นส์  บริษัทวิทยุเบอร์ 1 ของประเทศ ประกาศขายสถานีโทรทัศน์ในเครือ  ไม่เพียงเท่านี้ บริษัทได้ถ่ายสินทรัพย์สถานีวิทยุในตลาดขนาดเล็กออกจากพอร์ต 

อย่างไรก็ดี ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเคลียร์ แชนแนลฯตัดสินใจขายหุ้นกิจการให้กับบริษัทกองทุนส่วนบุคคล Bain Capital และ Thomas H. Lee Partners ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดดีลการควบกิจการซึ่งเริ่มมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ปี 2006

ไม่เพียงเท่านี้ ในปี 2007 กลุ่มนักลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล เช่น Madison Dearborn Partners, Providence Equity Partners, Texas Pacific Group, Saban Capital Group และ Thomas H. Lee ซื้อกิจการบริษัทสื่อภาษาสเปน Univision Communications ตั้งแต่เดือนมีนาคม

ในขณะเดียวกัน Ripplewood Holdings ซื้อกิจการ Reader’s Digest Association  และในเดือนตุลาคม Hellman & Friedman ซื้อกิจการ Catalina Marketing Corp.ซึ่งเป็นบริษัททำการตลาด ณ จุดขาย      

โดยสรุป ผลการสำรวจพบว่า 16 บริษัทในกลุ่มบริษัทสื่อท็อป 100 ได้รับการหนุนหลังโดยกองทุนส่วนบุคคล แต่ท่ามกลางสภาวะความอ่อนแอของตลาดทุน  กองทุนส่วนบุคคลอาจไม่ใช่ดีลที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมสื่ออีกต่อไป

 

Source:  Business Thai


  •  
  •  
  •  
  •  
  •