Social Network 110: ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเม้ง

  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  

โดย ดร. ภิเษก ชัยนิรันดร์
www.facebook.com/Iampisek

ร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ แห่งหนึ่งในเพชรบุรี…เริ่มทำการตลาดเพื่อสร้าง Brand ขึ้นมา คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก หากจะใช้สื่อเดิมๆ เช่น ป้ายโฆษณา โฆษณาวิทยุ หรือลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น  แต่ร้านนี้ กลับใช้ Social Media สร้างชื่อเสียงขึ้นมาจนขจรกระจายไปทั่วประเทศ 

ผมเคยได้รับคำถามว่า “Social Media เหมาะกับธุรกิจเล็กๆหรือเปล่า เพราะการที่จะหาคนมาเป็น Fan สำหรับ Facebook Page หรือเป็น Follower สำหรับ Twitter นั้น กิจการนั้นควรจะชื่อเสียงอยู่แล้ว คนเขาถึงอยากจะติดตาม และรู้สึกปลื้มที่ได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง”  ผมคงไม่ตอบคำถามนี้  และคำเฉลย…คือเรื่องราวของก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเม้ง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี

จากเด็กมัธยม…ใฝ่ฝันอยากเป็นนักธุรกิจ

“ไอซ์” ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ถามตัวเอง ณ ขณะที่เรียนอยู่ชั้น ม. 5 โรงเรียนสวนกุหลาบว่า อยากเป็นอะไร ซึ่งตอนนั้นเขาเป็นประธานชุมนุมวิทยาศาสตร์ ซึ่งแน่ละคนเรียนสายนี้ย่อมอยากจะเป็นหมอหรือวิศวะ แต่สำหรับไอซ์แล้ว เขารู้ว่านั้นไม่ใช่อาชีพที่ต้องการ   ไอซ์เติบโตมากับครอบครัวคนจีนที่ทำธุรกิจมาโดยตลอด และนั้นทำให้อยากสานต่อฝันโดยการทำธุรกิจที่บ้าน จึงตัดสินใจลาออกจากประธานชุมนุม และใช้เวลาที่ว่างตระเวนไปฟังสัมมนาด้านบริหารธุรกิจกับน้องชาย ทั้งนี้จุดมุ่งหมายคือต้องการวิธีคิด เปิดโลกตัวเองให้กว้างขึ้น เรียนรู้วิธีทำงาน วิธีแก้ไขปัญหา และอยากจะรู้ว่าคนที่เคยล้มเหลวทางธุรกิจนั้นจะหวนกลับมายืนใหม่อีกครั้งได้อย่างไร  เมื่อมีเป้าหมายที่แน่วแน่ จากเด็กมัธยมปลาย เขาก็เข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ที่คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร และกำลังศึกษาปริญญาโท บริหารธุรกิจ สาขาผู้ประกอบการ ที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน  ในระหว่างนั้น ไอซ์ได้เข้าช่วยในกิจการของคุณแม่ นั้นคือ น้ำผลไม้สด “คุณศรีรัตน์” ที่มีจุดจำหน่ายหลักที่สถานีรถไฟฟ้า รวมไปถึงการส่งตรงไปขายยังโรงเรียนต่างๆทั่วกรุงเทพฯ รวมไปถึงงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น งานศพ หรืองานประชุมสัมมนา

รับช่วงร้านก๋วยเตี๋ยว Generation 3

ย้อนกลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ทางคุณแม่ ศรีรัตน์ได้เข้ารับช่วงต่อกิจการ ก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเม้ง ที่ดำเนินกิจการมาตั้งแต่ปี 2499 ซึ่งถือเป็นรุ่นที่ 3 ตั้งแต่ อากง อาเจ๊ก และมาที่คุณศรีรัตน์ โดยมีไอซ์เข้ามาช่วยกิจการในด้านการตลาด เขามีความฝันที่อยากพัฒนาธุรกิจของครอบครัวให้ก้าวไปสู่การเติบโต เหมือนอย่างที่ McDonald MK หรือ Sevensen ทำมาก่อน และที่สำคัญต้องการให้คนในพื้นที่ยอมรับ คุณแม่ศรีรัตน์ถือว่าเป็นคนเปิดใจกว้าง รับฟังความคิดเห็นของลูก เมื่อไอซ์บอกแม่ว่า “ก๋วยเตี๋ยวไม่ใช่แค่ยืนลวกๆขาย แต่ต้องมี Brand”

สโลแกนของร้าน “หน้าไม่งอ รอไม่นาน” เป็นเสมือนการเข้าใจในตัวลูกค้าว่า อะไรคือการบริการที่สำคัญต่อความพึงพอใจ ไอซ์ไม่ได้สร้างเพียงสโลแกนสวยหรู เขาได้สร้างบรรยากาศของร้านให้มีชีวิตชีวา โดยจัดให้มีโทรทัศน์ตรงกลางของร้าน แล้วเปิดมิวสิควิดีโอ เพลงเกาหลี ที่เป็นกระแสของวัยรุ่นหนุ่มสาวไทย เพื่อสร้างความเพลิดเพลินระหว่างรอ เป็นวิธีการทางจิตวิทยา ให้ไม่รู้สึกว่ารอนาน นอกจากนี้ยังแสดงรูปอาหารของทางร้านสลับ เพื่อกระตุ้นต่อมอยากให้สั่งเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้จะมีโลโก้ของทางร้านอยู่ด้านล่างตลอด มันเป็นการสร้างการรับรู้ตรา (Brand Awareness) อย่างง่ายๆ แต่ต้องมาด้วยความอุตสาหะของไอซ์ที่จะต้องมานั่งตัดต่อเอง   

และคุณเคยเห็นร้านก๋วยเตี๋ยวไหนไหม ที่จะมีแบบสอบถามวางไว้บนโต๊ะให้กรอกว่ารู้สึกอย่างไรกับรสชาติของอาหาร รู้จักร้านนี้จากช่องทางไหน รวมทั้งข้อมูลพื้นฐาน เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือ e-mail ซึ่งปัจจุบันมีฐานข้อมูลลูกค้าอยู่ถึง 3,700 ราย

จากฐานข้อมูลลูกค้า กิจกรรมทางการตลาดที่สร้างความประทับใจ ก็เริ่มขึ้นนับจากวันที่มากินก๋วยเตี๋ยวเลย นั้นคือ การส่ง SMS ขอบคุณลูกค้าในเย็นวันนั้น จากนั้นในช่วงวันเกิด จะทำการส่ง SMS ไปหา เพื่อให้ส่วนลด 25% หากมารับประทานในช่วงเดือนเกิดนั้น เขาไม่ส่งข้อความพร่ำเพรื่อ เพราะทราบดีว่านั้นกลับจะทำให้เกิดการต่อต้านมากกว่าที่จะชื่นชอบ 

นอกจากนี้การจัดทำโปร์ชัวร์ แต่ผมเห็นว่ามันเป็นเสมือน Newsletter ที่จัดส่งให้แก่ลูกค้าทุกๆเดือนครึ่งทางไปรษณีย์ ซึ่งจะมีการพิมพ์ครั้งละ 10,000 ฉบับ โดยภายในโปร์ชัวร์จะมีเนื้อหา คือ เมนูแนะนำอาหารและบริการใหม่ๆ เรื่องราวหรือรูปของร้านที่ได้ลงในหนังสือหรือนิตยสารต่างๆ ตลอดจนสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดเพชรบุรี 

สิ่งสำคัญอีกประการ คือ ภายในโปร์ชัวร์ จะมีข้อมูลรายละเอียดของ Social Media ที่ทางร้านใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด ซึ่งได้แก่ 

ร้านก๋วยเตี๋ยว…ใช้ Social Media ครบครัน

(1) Facebook

สำหรับไอซ์แล้ว Facebook ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับเขา เพราะได้ทำความรู้จักและใช้ตั้งแต่เมื่อ 7 ปีที่แล้ว เนื่องจากมีเพื่อนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย Wisconsin – Madison และได้นำมาใช้ในการทำตลาดสำหรับร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเม้ง

ผมได้เข้าไปดูรายละเอียดเนื้อหาใน Facebook Page พบว่า นอกจากการให้รายละเอียดเกี่ยวกับชื่อร้าน ที่ตั้งของร้าน แผนที่ รูปภาพของอาหารของร้าน ส่วนที่เป็นกิจกรรมที่สร้างความคึกคักขึ้น ก็คือ ภาพของผู้ที่ได้เข้ามารับประทานอาหารภายในร้านอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งได้มาจากการที่ลูกค้าได้ถ่ายรูป แล้วส่งมาให้ทาง e-mail จากนั้นทางร้านจะนำไปขึ้นไว้ที่ Facebook และส่ง e-mail กลับไปว่าได้นำภาพขึ้นให้แล้ว รวมไปถึงการพิมพ์ภาพออกมา แล้วใส่ลงในอัลบั๊มวางโชว์อยู่ที่ร้านอีกด้วย วิธีการดังกล่าวก็เพื่อต้องการให้เกิดการบอกต่อ เพราะเมื่อลูกค้าทราบว่ารูปของตนอยู่บน Facebook ก็สามารถ Share เพื่อให้เพื่อนๆคนอื่นๆได้ทราบ นอกจากนี้หากลูกค้านำรูปไปโพสต์ใน Facebook เอง สามารถ Tag รูปเพื่อส่งต่อภาพนั้นเข้าสู่อัลบั๊มรูปของเพื่อนๆ อีกด้วย  นั้นคือ การบอกต่ออันทรงพลังของ Facebook…

นอกจากนี้ในช่วงแรกๆ ยังมีการโฆษณาผ่านทาง Facebook Ad อีกด้วย โดยกำหนดให้จ่ายค่าโฆษณาตามคลิ๊ก (Cost Per Click: CPC) โดยตั้งงบไว้ที่ $1 ต่อวัน ซึ่งคำนวณแล้วจะสามารถคลิ๊กได้ 18 ครั้ง แต่ผู้ที่พบเห็นโฆษณามีจำนวนถึง 35,000 คนต่อวันเลยทีเดียว   ที่สร้างความสนุกสนานมากขึ้นก็คือ ได้มีการนำ Music Video ที่เปิดหน้าร้านมาไว้บน Facebook เมื่อผู้เข้ามาได้รับชม ก็จดจำ Brand เจ๊กเม้งไปด้วย 

ด้วยวิธีการดังกล่าว ทำให้มีบรรดาแฟนๆที่เป็นสมาชิกไม่น้อย คือ มีทั้งสิ้น 1,411 คน (ถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2553)

ข้อดีอีกประการหนึ่งของการใช้ Facebook Page นั้นก็คือ เครื่องมือค้นหาอย่าง Google จะทำการชี้มาที่ Page และจะถูกมองว่าเป็นแหล่งข้อมูลที่สำคัญกว่าเว็บไซต์ทั่วๆไป เพราะมีการอัพเดทข้อมูลอยู่อย่างสม่ำเสมอ

(2) Twitter

ถึงแม้ว่าจำนวน Follower ของ www.twitter.com/iczz จะมีเพียง 174 คนเท่านั้น แต่ Twitter นี้และครับ ที่ทำให้ ก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเม้ง ได้มีโอกาสสร้างความรู้จักแก่คนทั่วไปทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์

จุดเริ่มต้นความโด่งดังอยู่ตรงที่ ไอซ์ได้พบว่า ชาลอต โทณวณิก ได้ใช้ Twitter (@Charlotte2500) ในการสื่อสาร จึงได้ส่งรูปสมัยไปฟังสัมมนาที่ ชาลอต เป็นวิทยากร ณ มติชนเมื่อ 4 ปีที่แล้ว จนทำให้ไอซ์เกิดแรงดลใจในการต่อยอดธุรกิจ จากนั้นก็ได้ชวนว่าหากมีโอกาสได้ผ่านมาให้แวะมาชิมก๋วยเตี๋ยว ปรากฏว่าเมื่อชาลอตได้มาท่องเที่ยวที่หัวหิน ก็ไม่พลาดในการแวะตามคำชวน และเกิดความประทับใจที่ร้านแห่งนี้ใช้ Social Media จึงได้มีการแนะนำร้านและรายละเอียดต่างๆผ่านทาง Twitter รวมไปถึงถ่ายรูปทั้งส่วนของอาหาร สภาพของร้าน โปร์ชัวร์และป้ายโฆษณาต่างๆ

ที่สำคัญไปกว่านั้น ชาลอต ซึ่งในขณะนั้นเป็นซีอีโอของมีเดียสตูดิโอ ได้ชวนไอซ์ไปออกรายการ “ทำดีมีรวย” ทางช่อง 7 สี จากนั้นก็มีนิตยสารต่างๆเข้ามาสัมภาษณ์ ไม่ว่าจะเป็น หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ โพสต์ทูเดย์ กรุงเทพธุรกิจ และนิตยสารท้องถิ่นอีกหลายฉบับ

ไม่เพียงแต่เท่านั้น ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ผู้บริหารของ http://www.tarad.com/ เป็นอีกผู้หนึ่งที่สร้างชื่อเสียงให้กับทางร้าน ทั้งนี้ภาวุธได้รู้จักร้านแห่งนี้ผ่านทาง Twitter ของ ชาลอต โทณวณิก ในช่วงเดือนมีนาคม แล้วเกิดความสนใจจากการที่ใช้ Social Media และเมื่อได้โอกาสขับรถไปยังหัวหินเพื่อท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์ ได้ทำการพูดคุยผ่านทาง Twitter กับไอซ์ และเข้าไปรับประทานอาหาร พร้อมกับทวีตข้อความไปทาง Twitter (@pawoot) อีกทั้ง Pawoot เองได้นำกรณีศึกษา ร้านก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเม้งไปบรรยายในเรื่อง Social Media ตามสถานที่ต่างๆ นั้นยิ่งทำให้จำนวนคนรู้จักก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเม้งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

เราถือว่า ทั้ง ชาลอต และ ภาวุธ เป็น Marketing Influencer ที่มีส่วนขับดันให้ ก๋วยเตี๋ยวเจ๊กเม้งรู้จักในระดับประเทศ และคนส่วนใหญ่เมื่อได้รับข้อความจากพวกเขาทั้งสองผ่านทาง Twitter ก็คิดอยากจะลองทาน ด้วยเชื่อถือในชื่อเสียงของผู้แนะนำ  จะเห็นว่าคำแนะนำร้านดังกล่าว ไม่ได้เกิดจากอามิสสินจ้าง แต่เป็นเพราะความชื่นชมในความสามารถของไอซ์และทึ่งกับการใช้เครื่องมือทางการตลาดที่ทันสมัยกับร้านก๋วยเตี๋ยว ซึ่งอาจจะดูไม่ได้เข้ากันเลย แต่นั้นกลับสร้างความประทับใจ

มามองเนื้อหาในส่วนของ www.twitter.com/iczz ซึ่งตัวไอซ์เองพึ่งเข้ามาใช้เพียง 3 เดือน เขาจะเขียนแนะนำเมนูอาหาร โพสต์รูปภาพ ความรู้ในเรื่องของ IT ต่างๆ โดยที่ไอซ์มองว่า Twitter ไม่เหมาะกับการเขียนแต่ข่าว PR เพราะมันดูเป็นการยัดเยียด ทำให้เกิดการ Unfollow ขึ้นได้ง่าย ดังนั้นในส่วน PR จะนำไปลงใน Facebook

นอกจากนี้ ไอซ์จะใช้โปรแกรม Ubertwitter ในโทรศัพท์มือถือ BlackBerry โดยใช้ฟังก์ชั่น Everyone Near ว่ามีใครซึ่งคุณ Follow ที่ใช้ Twitter อยู่ใกล้ๆคุณบ้าง จากนั้นก็จะส่ง ข้อความไปให้เพื่อเชิญชวนมาทานก๋วยเตี๋ยวโดยให้สิทธิประโยชน์พิเศษ คือ ได้รับน้ำผลไม้ คุณศรีรัตน์ฟรีหนึ่งขวด และหากมากัน 4 คน จะได้รับก๋วยเตี๋ยวต้มยำกุ้งฟรี 1 ชาม  เท่านั้นยังไม่พอ หากลูกค้าเข้า Check-in ที่ร้านผ่าน http://www.foursquare.com/ จะได้รับน้ำผลไม้ฟรี 1 ขวด ยิ่งไปกว่านั้น หากเข้า Check-in บ่อยจนกระทั่งเป็น Mayor จะได้รับส่วนลดราคาก๋วยเตี๋ยวถึง 25%

วิธีการนี้ประสบความสำเร็จมาก เพราะร้านอยู่ใกล้ๆกับแหล่งท่องเที่ยวดังของเพชรบุรี อย่าง เขาวัง พระราชวังบ้านปืน เขาหลวง และวัดมหาธาตุ โดยที่นักท่องเที่ยวต่างใช้ Twitter กันอยู่แล้ว ทั้งนี้ ไอซ์บอกผมว่าเท่าที่สังเกต ลูกค้าของร้านเขาจะมีอายุระหว่าง 15-35 ปี และกว่า 70-80% ใช้ BlackBerry??? นั้นหมายถึงการใช้ Twitter เป็นเครื่องมือทางการตลาดนั้นสอดคล้องกับโทรศัพท์มือถือที่กลุ่มลูกค้านิยมใช้ เสริมประสิทธิภาพให้มากยิ่งขึ้น และเมื่อมีการสำรวจว่าลูกค้าประเภท Walk-in ที่เข้ามานั้น ว่ารับทราบความมีอยู่ของร้านจากสื่อไหนมากที่สุด ก็พบว่า ทราบจาก Twitter, Facebook, หนังสือพิมพ์, โทรทัศน์, และสติกเกอร์ที่ติดข้างถุงก๋วยเตี๋ยวตามลำดับ

นอกจาก Social Media หลักทั้งสองตามที่กล่าวมาแล้ว ยังมีการใช้ สื่ออื่นๆที่น่าสนใจอีกเช่น การใช้ QR Code ที่ให้ไว้ในเมนู โปร์ชัวร์ และใน Facebook ซึ่งเราสามารถใช้กับโทรศัพท์มือถือเพื่อเข้าไปยังเว็บไซต์ของเจ๊กเม้งได้ทันที

ผลลัพธ์ของการใช้ Social Media

จากการใช้ Social Media รวมไปถึงการให้สัมภาษณ์ทั้งในส่วนของโทรทัศน์และนิตยสารต่างๆ ดังรายละเอียดที่กล่าวไว้ ผลคือว่า จากเดิมที่ร้านมีเพียง 30 ที่นั่ง ปัจจุบันได้มีการขยายชั้นบน พร้อมติดแอร์ และมีจำนวนทั้งสิ้น 150 นั่ง และในช่วงวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ ที่นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามา สามารถเพิ่มโต๊ะบริเวณด้านข้างร้านออกไป โดยมีจำนวนโต๊ะถึง 400-500 ที่นั่ง  และทั้งหมดของบทความนี้คงตอบแทนได้แล้วนะครับว่า Social Media เหมาะสมกับธุรกิจขนาดเล็กหรือไม่???


  • 1
  •  
  •  
  •  
  •