เวลาไปสัมภาษณ์งาน คุณเป็นแคนดิเดทแบบหมา หรือเป็นแคนดิเดทแบบแมว?

  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  

dog-cat-approach3

ที่มา: Shutter Stock

เวลาไปสัมภาษณ์งาน คุณเป็นแคนดิเดทแบบหมา หรือเป็นแคนดิเดทแบบแมว? Are You A Dog or A Cat Candidate?

เมื่อไม่นานมานี้ มีผู้สมัครงานท่านหนึ่ง ชื่อพี่สิทธิ์ เป็นผู้สมัครงาน (แคนดิเดท) ที่ผมเคยช่วยให้แกได้งานที่บริษัทข้ามชาติทำเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานเมื่อประมาณสองปีกว่าๆที่แล้ว พี่ท่านนี้ติดต่อผมมาหลังจากไม่ได้คุยกันมานานเพื่อที่จะให้ผมช่วยหางานที่ใหม่ให้เพราะคิดว่าผมยังทำงานเป็น ‘เฮดฮันเตอร์’ อยู่ ซึ่งผมก็บอกกับพี่ท่านนี้ไปว่าทุกวันนี้ผมได้ผันตัวเองมาเป็นโค้ชเรื่องการวางแผนอาชีพแล้วครับ แต่ด้วยความที่แกเป็นแคนดิเดทเก่าของผมมาก่อน ผมก็รับปากพี่ท่านนี้ไปว่าเดี๋ยวจะแนะนำไปให้ HR Director ของบริษัทหนึ่งที่ เป็นลูกค้าของผมที่รู้จักกันมานาน ซึ่งเป็นอุตสหกรรมใกล้เคียงกันกับประสบการณ์ของพี่สิทธิ์ เผื่อทางนั้นเค้าจะสนใจ

หลังจากที่ผมแนะนำให้พี่สิทธิ์แกไปรู้จักกับลูกค้าของผม คุณเดือน ในเวลาต่อมาคุณเดือนได้มีการนัดสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กันกับพี่สิทธิ์ สรุปแล้ว ผลคือ ไม่ผ่าน คุณเดือนไม่ได้เรียกพี่สิทธิ์เข้าไปสัมภาษณ์งานต่อแบบ Face to Face ในรอบที่สอง และเมื่อผมทราบและโทรไปหาคุณเดือนเพื่อสอบถาม คุณเดือนได้ให้เหตุผลกับผมว่า จริงๆแคนดิเดทท่านนี้ดูจากเรซูเม่แล้ว ถือว่าไม่ขี้เหร่ และมีประสบการณ์ที่ตรงกับที่ทางบริษัทต้องการหลายอย่างอยู่เหมือนกัน แต่พอคุยด้วยแล้วรู้สึกว่า คุณสิทธิ์ดูเป็นแคนดิเดทที่ Desperate (Desperate แปลตรงตัวเป็นภาษาไทยจะยาก แต่ความหมายที่ใกล้เคียงที่สุดน่าจะเป็นความเข้าตาจน ความอยากได้งานอะไรก็ได้ที่ดีกว่างานปัจจุบันเพราะตอนนี้ไม่ชอบหรือมีปัญหาอะไรสักอย่างที่ทำให้อยากออกจากงาน หรือ ความอยากได้งานที่ใหม่เพื่อให้ได้เงินเดือนเพราะตอนนี้เริ่มจะสู้รายจ่ายส่วนตัวหรือทางบ้านไม่ค่อยจะไหวแล้ว) ถึงแม้ว่าคุณสิทธิ์จะโชว์ให้เห็นว่าเค้าอยากได้งานที่นี่มาก จนรู้สึกว่ามากไปด้วยซ้ำ แต่พอถามว่าทำไม พี่แกตอบว่าเพราะตอนนี้เค้าออกจากงานมาได้สามเดือนแล้ว เพราะงานเก่าไม่ค่อยท้าทาย เริ่มเป็นรูทีน และไม่ค่อยชอบทิศทางของบริษัทเก่าในการบริหารธุรกิจ และทุกวันนี้เค้ามีภาระต้องดูแลครอบครัวมีลูก 4 คนที่ต้องเลี้ยงดู เลยอยากได้งานใหม่เร็วๆ

dog-cat-approach4

ที่มา: Shutter Stock

ผมไม่แปลกใจที่คุณเดือนจะปฏิเสธ เพราะในโลกของการหางาน การสมัครงาน ไม่ค่อยมีบริษัทที่ไหนที่กล้าเสี่ยงที่จะจ้างคนให้เข้ามาทำงาน ถ้าแคนดิเดทท่านนั้นทำให้ทางองค์กรรู้สึกว่าเค้าเป็นบุคคลที่ Desperate เพราะมันมีความเป็นไปได้สูงว่า แคนดิเดทท่านนั้นจะสมัครงานไว้หลายๆที่ เพราะอยากได้งานมาก และอาจจะแค่อยากได้งานที่ไหนก่อนก็ได้เพื่อให้มีงานทำและมีรายได้ เกิดรับเข้ามาแล้วเค้าไปได้อีกที่หนึ่งแล้วลาออก ผู้ดูแลฝ่าย Recruitment ก็คงจะงานเข้ากันเลยทีเดียว

อย่างพี่สิทธ์นี่ ถือว่าเสียโอกาสไปเพราะคำตอบของพี่เค้าเองที่ตอบไปตามเรื่องตามราวที่เกิดขึ้นกับพี่เค้าจริงๆ แต่ในบางทีการเล่าเรื่องเกินความจำเป็น มันอาจจะส่งผมเสียมากกว่าผลดีโดยเฉพาะเวลาสัมภาษณ์งาน คำตอบของพี่สิทธิ์ ผมจะเรียกว่า Dog Approach (วิธีแบบน้องหมา) จริงๆผมเสียดายแทนแกเพราะถ้าเค้าเปลี่ยนวิธีสักนิดนึงมาใช้ เทคนิค Cat Approach (วิธีแบบแมวเหมียว) พี่เค้าอาจจะไม่เสียโอกาสที่จะได้งานนี้ไป

มีใครพอจะเดาได้มั้ยครับว่า วิธีแบบหมา และวิธีแบบแมวต่างกันอย่างไร?

ระหว่าง หมากับแมว ถึงมันจะน่ารักน่าเกาพุงทั้งคู่ แต่สัตว์เลี้ยงทั้งสองชนิดนี้มีอุปนิสัย และวิธีในการปฏิบัติต่อคนที่แตกต่างกันเสมือนเป็นขั้วบวกกับขั้วลบเลยทีเดียว อยากให้ผู้อ่านทุกท่านลองนึกภาพตามนะครับ ถ้าใครที่เคยเลี้ยงหมาหรือแมวหรือทั้งสองจะเห็นความแตกต่างได้ยิ่งชัดเจนครับ ส่วนคนที่ไม่เคยเลี้ยงให้นึกถึงในหนัง หรือของบ้านเพื่อนก็ได้ครับ เวลาสุนัข หรือน้องหมาเจอเจ้าของ หรือคนอื่นๆ สิ่งแรกที่พวกมันจะทำเมื่อมันเห็นคุณกลับมาถึงบ้าน คุณคิดว่ามันน่าจะทำอะไร ลองนึกเป็น Action Verb ดูนะครับ คุณก็คงจะเห็นเป็นภาพ หมาขนปุยรีบวิ่งเข้ามาหากระโดดโลดเต้นดีใจ หรือไม่ก็ทำท่าเหมือน ชั้นหิวแล้วนะ ขออาหารหน่อย ลิ้นห้อยมาเลย หรือถ้าเป็นคนแปลกหน้า มันก็คงจะวิ่งเข้าไปเห่า หรือจะเลีย หรือจะพยายามกัดก็แล้วแต่ และลองนึกภาพตามต่อไป พอมันเจออาหารมันก็จะรี่เข้าใส่ และกินแบบมูมมามสุดริดไปเลย

ทีนี้ลองมาดูฝั่งน้องแมว ถ้าให้คุณลองนึกถึงแมวอีกรอบ แบบที่เป็นแมวตามบ้านนะครับ มันก็จะมีวิธีที่แตกต่างจากน้องหมา คือมันจะมีความเล่นตัวหน่อย แบบเห็นแล้วนะว่าคุณกำลังเดินเข้าบ้านมา มันก็จะมองก่อนแล้วค่อยๆเดินเข้ามานั่งบนตักของคุณ หรือถ้าคุณมีอาหารให้มัน มันก็จะค่อยๆเดินไป จิบน้ำเบาๆ และเลียอาหารค่อยๆกินสวยๆตามภาษาแมว

สิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือ บางทีเราไม่จำเป็นต้องไปตอบว่า ผมอยากได้งานนี้มากเพราะอะไร จะด้วยเหตุผมที่ไม่ดีหรือดีอะไรก็สุดแล้วแต่ อย่าเพิ่งไปรีบทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกว่าคุณอยากได้งานนี้มากๆๆ เพราะคุณต้องเชื่อว่าคุณเป็นผู้สมัครหรือแคนดิเดทที่มีความสามารถเช่นกัน และเลือกบริษัททำเหมือนกันนะ ไม่ใช่ทำงานกับใครก็ได้ แบบมีลูกเล่นตัวนิสนึง ถ้าทำแบบนี้ อีกฝ่ายที่เค้าคุยกับคุณ เค้าจะไม่ค่อยรู้สึกว่า คุณ Desperate ต่อให้คุณอยากได้งานนั้นมากๆก็เหอะ คุณควรแสดงออกว่าคุณมีความสนใจนะ แต่ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป เอาแบบพอดีๆ

ตัวอย่างของวิธีการตอบแบบแมว ที่ผมแนะนำให้พี่สิทธิ์นำไปใช้ในการตอบในวันข้างหน้า เช่น

  • “จริงๆแล้วตอนนี้ผมลาออกมาจากที่เก่าแล้วครับ เพราะว่าอยากจะหาเวลาเบรกมาใช้เวลากับครอบครัวให้มากขึ้น และลูกผมสองคนเล็กก็ยังเด็กมากๆ ก็เลยออกมาช่วยภรรยาดูแล และถือว่าเป็นการออกมาชาร์จพลังก่อนที่จะกลับมาเริ่มงานใหม่อย่างจริงจังด้วยครับ สำหรับงานนี้ คุณ Mark ซึ่งเป็นเฮดฮันเตอร์ที่ผมไว้ใจ ได้แนะนำให้ผมฟังว่าเป็น Job Opportunity ที่น่าสนใจและธุรกิจใกล้เคียงกับที่ผมเคยทำมา และเพราะว่าคุณ Mark แนะนำ ผมเชื่อว่าต้องเป็นบริษัทที่ดีแน่ๆครับ เพราะครั้งที่แล้วคุณ Mark ก็ช่วยให้ผมได้งานที่เก่ามาแล้ว คุณเดือน อยากทราบอะไรเกี่ยวกับ ประสบการณ์ที่ผมเคยทำมาบ้างครับ?”
  • (สมมุติ ตอนนั้น พี่สิทธิ์เค้ายังไม่ได้ลาออก อาจใช้วิธีตอบแบบนี้ก็ได้ครับ)

“สาเหตุที่ผมอยากจะเปลี่ยนงานในตอนนี้ จริงๆต้องบอกก่อนนะครับ ว่าผมยังไม่ได้แบบว่าจะต้องรีบเปลี่ยนงานอะไรขนาดนั้น แต่เพราะว่าพอดูตำแหน่งนี้ จาก Job Description แล้ว ดูจากแต่ละ Bullet Points ผมรู้สึกเลยว่าสิ่งที่ทางบริษัทกำลังหาอยู่มันค่อนข้างตรงกับสิ่งที่ผมทำมา เพราะฉะนั้น วันนี้ผมเลยอยากจะมา พูดคุยกับคุณเดือนเองให้มีความเข้าใจในตัวงานมากขึ้น และดูซิว่าทั้งผมและตัวงานเอง เป็น Good Match กันมั้ยครับ”

สังเกตว่าวิธีแบบแมวจะเน้นตอบประมาณว่า จริงๆแล้วผมไม่ได้ต้องรีบที่จะมีงานที่ใหม่นะ แต่ถ้ามันตรงกับสิ่งที่ผมทำมา และผมสามารถไปทำประใยชน์ (Add Value) ให้ทางบริษัทได้ ผมก็ยินดีมากครับ หรือ พยายาม อ้างอิงถึงบุคคลที่สาม แบบในตัวอย่างมา ก็ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งครับ เห็นมั้ยครับ โทนของการตอบจะรู้สึกว่าแคนดิเดทคนนี้ไม่ใช่แบบงานอะไรก็ได้นะ หรืออยากเปลี่ยนงานบ่อยๆนะ และยังโชว์ให้เห็นว่า ก็เพราะว่างานนี้มันน่าสนใจจริงๆนะ ผมถึงได้สนใจไง

สรุป ลองมาดูแบบเป็น Infographic ดูนะครับว่า วิธีแบบหมากับแมวต่างกันยังไง แล้วทำไม ผู้สัมภาษณ์งานโดยส่วนใหญ่ถึงชอบแคนดิเดทที่พูดจาแบบวิธีแมวมากกว่า ลองไปฝึกวิธีแบบแมวดูนะครับ มันจะช่วยให้บรรยากาศในการสัมภาษณ์งานของคุณดีขึ้น และเพิ่มโอกาสในการทีคุณจะได้งานนั้นด้วยครับ

dog-cat-approach2

ทิ้งท้ายอีกนึดเดียวครับ จริงๆแล้ว เทคนิคแมวนี้สามารถนำไปใช้ได้ในเรื่องอื่นๆของชีวิต เช่นในเรื่องของการทำธุรกิจ ขายของ ขายบริการ หรือแม้แต่ถ้ามีแฟน การที่คุณไปยอมแฟนทุกอย่างเพราะคุณรักเค้า ทำตัว Desperate นั่นก็ยิ่งอาจจะทำให้แฟนคุณดูยิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ ลองใช้เทคนิคแมวดูครับ แสดงให้รู้ว่ารัก แต่ไม่จำเป็นต้องไปยอมทุกอย่าง แล้วนั่นแหละอาจจะทำให้แฟนของคุณเห็นคุณค่าในตัวของคุณมากขึ้น

Source: Copyright © MarketingOops.com


  • 1
  •  
  •  
  •  
  •  
Mark Laothavornwong
Mark Laothavornwong เป็น Career Coach ชั้นนำในประเทศไทย และเป็นผู้เขียนหนังสือ “8 มหาคำถามที่มนุษย์สมัครงานทุกคนต้องอ่าน” หาซื้อได้ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ