ผลวิจัยจาก TNS กำลังบอกกับเราว่าคนไทยใช้ Social network เฉลี่ย 7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งนับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึง 2.5 ชั่วโมง O_o!
ผลวิจัยด้านดิจิตอลขนาดใหญ่ที่สุดในโลกเผยพฤติกรรมออนไลน์ทั่วโลกเปลี่ยนแปลง ผู้บริโภคในกลุ่มตลาดใหม่ ‘อิน’ กับกิจกรรมออนไลน์มากกว่าในประเทศพัฒนาแล้ว
TNS Group กลุ่มบริษัทวิจัยการตลาดตามวัตถุประสงค์ของลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกเปิดตัวการวิจัย ดิจิตอลไลฟ์ พร้อมกันทั่วโลกเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2553 เวลา 10.10 น. ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสวันที่สิบเดือนสิบซึ่งหัวข้อวิจัยนี้เป็นการศึกษาระดับทั่วโลกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการออนไลน์และกิจกรรมออนไลน์ของผู้บริโภค โดยครอบคลุมกลุ่มตัวอย่างออนไลน์ทั่วโลกจำนวน 50,000 คนจาก 46 ประเทศหรือคิดเป็น 90% ของประชากรออนไลน์ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยได้ทำการสำรวจในกลุ่มตัวอย่างออนไลน์จำนวน 1,000 คนทั่วประเทศ ผลการศึกษาบ่งถึงสัญญาณเกี่ยวกับพฤติกรรมออนไลน์ทั่วโลกในอนาคต
ข้อมูลหลักๆที่ได้จากการศึกษานี้สามารถดูได้จากทางเว็บไซต์ www.discoverdigitallife.com
“การวิจัยนี้ครอบคลุมตลาดกว่าสองเท่าของการวิจัยใดๆที่เคยมีมาเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“การวิจัยครั้งนี้นอกจากจะเป็นครั้งแรกของการทำวิจัยเกี่ยวกับกิจกรรมออนไลน์ระดับโลกซึ่งครอบคลุมถึงตลาดใหม่ทั้งในส่วนของบริกส์และอีกหลายๆประเทศในกลุ่มเอ็น11แล้ว ยังเป็นการศึกษาที่มากไปกว่าการศึกษาพฤติกรรมทั่วไปเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับทัศนคติและอารมณ์ความรู้สึกซึ่งเป็นสิ่งผลักดันพฤติกรรมออนไลน์”
“เรามั่นใจว่าดิจิตอลไลฟ์จะกลายเป็นมาตรฐานสำหรับการอ้างอิงในแง่พฤติกรรมออนไลน์ของผู้บริโภค เพราะการเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนแก่สาธารณะเป็นก้าวแรกที่สำคัญสำหรับเราและเรามีข้อมูลอีกมากมายที่จะนำเสนอแก่ลูกค้าเกี่ยวกับโลกดิจิตอล ทัศนคติเกี่ยวกับแบรนด์ และเส้นทางการตัดสินใจซื้อ นอกเหนือไปจากแค่ตัวเลขสถิติที่เห็น” — นายแกรนท์ เบอร์โทลี กรรมการผู้จัดการบริษัท ทีเอ็นเอส รีเสิร์ช อินเตอร์เนชั่นแนล ในประเทศไทย
ผลการวิจัยหลักๆ มีดังต่อไปนี้
- >> โดยเฉลี่ยแล้วกลุ่มตัวอย่างชาวไทยใช้เวลาออนไลน์ 18 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นจำนวนที่เท่ากับเวลาที่กลุ่มตัวอย่างในออสเตรเลียและฮ่องกง แต่น้อยกว่ากลุ่มตัวอย่างในญี่ปุ่นและมาเลเซียซึ่งใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ย 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และน้อยกว่ากลุ่มต้วอย่างในสิงคโปร์และจีนซึ่งใช้เวลาออนไลน์เฉลี่ย 23 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
- >> ชาวออนไลน์ในประเทศไทยมีความ “อิน” กับกิจกรรมในโลกดิจิตอลมากกว่ากลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว 46% ของกลุ่มตัวอย่างในประเทศไทย มีระดับการใช้สื่อดิจิตอลสูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วเช่น ญี่ปุ่น (20%) เดนมาร์ก (25%) หรือฟินแลนด์ (26%) ทั้งๆที่กลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วนั้นมีเทคโนโลยีด้านอินเตอร์เน็ทที่ก้าวหน้ากว่า
- >> กิจกรรมออนไลน์ เช่น การแชร์รูปภาพและโซเชียลเน็ทเวิร์คกิ้ง มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในกลุ่มชาวไทยออนไลน์ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าจำนวนของผู้บริโภคออนไลน์ที่เคยอัพโหลดรูปขึ้นโซเชียลเน็ทเวิร์คหรือเว็บไซต์สำหรับแชร์รูปนั้นสูงถึง 92% สำหรับประเทศไทย 88% ในมาเลเซีย และ 87% ในเวียดนาม ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วกลับมีการโพสต์รูปขึ้นเว็บไซต์น้อยกว่า โดยในญี่ปุ่นมีไม่ถึงหนึ่งในสาม (28%) และต่ำกว่าครึ่งของกลุ่มตัวอย่างในเยอรมนี (48%) ที่มีการอัพโหลดรูปขึ้นเว็บไซต์เหล่านี้ ส่วนในด้านของการเขียนบล็อกหรือฟอรั่มพบว่าสี่ในห้า (88%) ของชาวออนไลน์ในประเทศจีน และกว่าครึ่งของชาวออนไลน์ในบราซิล (51%) มีการเขียนบล็อกหรือฟอรั่มของตนเองเปรียบเทียบกับชาวออนไลน์ในสหรัฐอเมริกาที่มีเพียง 32% ที่ทำกิจกรรมนี้ อีกทั้งอินเตอร์เน็ทได้กลายมาเป็นช่องทางหลักในการแบ่งปันรูปภาพในหมู่ผู้บริโภคออนไลน์ในกลุ่มประเทศที่กำลังเติบโตโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย
- >> การเติบโตของโซเชียลเน็ทเวิร์คกิ้งมีแรงผลักดันมาจากการเข้าเว็บบนมือถือมากกว่าจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นที่น่าสนใจว่ากลุ่มตัวอย่างที่ใช้โทรศัพท์มือถือในประเทศไทยมีการเข้าเว็บไซต์โซเชียลเน็ทเวิร์คกิ้งโดยเฉลี่ยสูงถึง 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และมีการใช้อีเมล์โดยเฉลี่ย 5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้โทรศัพท์มือถือมีการเข้าเว็บไซต์โซเชียลเน็ทเวิร์คกิ้งโดยเฉลี่ย 3.1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และมีการใช้อีเมล์โดยเฉลี่ย 2.2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งการใช้อินเตอร์เน็ทบนมือถือนี้มีแรงขับมาจากความต้องการตอบสนองอย่างทันใจและจากการที่โซเชียลเน็ทเวิร์คเอื้อต่อการส่งข้อความได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นข้อความสั้นๆหรือการอัพเดทสถานะ เมื่อพิจารณาว่าโลกดิจิตอลจะเปลี่ยนแปลงไปในแง่ใดในอนาคต ผลการสำรวจพบว่าผู้บริโภคคาดว่าจะเปลี่ยนจากการใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คกิ้งผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์ไปเป็นบนมือถือเพิ่มมากขึ้น ดังเห็นได้จากในสหรัฐอเมริกาที่มีหนึ่งในสี่ของกลุ่มตัวอย่างออนไลน์ (26%) คาดว่าในอีก 12 เดือนข้างหน้าตนจะมีการใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คกิ้งผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์มากกว่าจะใช้บนมือถือ เปรียบเทียบกับหนึ่งในสาม (36%) ของกลุ่มตัวอย่างที่คาดว่าจะมีการใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คกิ้งบนมือถือมากกว่าจากเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือจากการที่ 44%ของกลุ่มตัวอย่างในออสเตรเลียคาดว่าตนจะใช้โซเชียลเน็ทเวิร์คกิ้งบนมือถือมากกว่าผ่านทางเครื่องคอมพิวเตอร์ และ 53% ของกลุ่มตัวอย่างในสวีเดนที่คาดว่าตนจะมีแนวโน้มเช่นเดียวกัน
คนไทยติดโผมีเพื่อนออนไลน์มากที่สุด
เมื่อพูดถึงจำนวนเพื่อนในโซเชียลเน็ทเวิร์คกิ้ง พบว่ากลุ่มตัวอย่างในมาเลเซียมีเพื่อนออนไลน์มากที่สุดคือเฉลี่ยที่ 233 คน ตามด้วยกลุ่มตัวอย่างในบราซิลที่มีเพื่อนออนไลน์เฉลี่ย 231 คน ส่วนกลุ่มตัวอย่างในประเทศไทยก็ไม่น้อยหน้าด้วยจำนวนเพื่อนออนไลน์เฉลี่ยที่ 179 คน สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่มีจำนวนเพื่อนออนไลน์เฉลี่ยน้อยที่สุดได้แก่ญี่ปุ่น คืออยู่ที่ 29 คน และแทนซาเนียเฉลี่ยที่ 38 คน เป็นที่น่าแปลกใจว่ากลุ่มตัวอย่างชาวจีนซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่มีการใช้เว็บไซต์โซเชียลเน็ทเวิร์คกิ้งสูงมาก แต่กลับมีจำนวนเพื่อนออนไลน์เฉลี่ยเพียง 68 คน ชี้ให้เห็นถึงวัฒนธรรมของการเปิดรับเพื่อนที่สนิทๆในวงจำกัดเท่านั้น
นายเบอร์โทลี่กล่าวต่อไปว่า อินเตอร์เน็ทได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของผู้คนในศตวรรษที่ 21 แต่ผลกระทบที่มีต่อชีวิตของแต่ละคนนั้นต่างกันไปตามภูมิภาคที่แต่ละคนอาศัยอยู่ เราได้เห็นจากการศึกษานี้ว่ากลุ่มตัวอย่างในประเทศที่พัฒนาแล้วซึ่งอินเตอร์เน็ทมีมาหลายปีแล้วและประชาชนสามารถออนไลน์ได้ทั่วทุกแห่ง ในขณะที่ประเทศที่กำลังเติบโตซึ่งเพิ่งมีการลงทุนด้านโครงสร้างสาธารณูปโภคต่างๆเมื่อไม่นานมานี้ กลุ่มตัวอย่างจึงมีการตอบรับช่องทางใหม่ๆนี้อย่างกระตือรือร้น โลกดิจิตอลได้เปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ การพัฒนาและมีปฏิสัมพันธ์ของประชาชนในกลุ่มประเทศเหล่านี้ อีกทั้งชาวออนไลน์ในกลุ่มประเทศที่กำลังเติบโตยังแซงหน้าชาวออนไลน์ในประเทศที่พัฒนาแล้วในแง่ของความกระตือรือร้นเกี่ยวกับกิจกรรมออนไลน์และปริมาณการใช้ช่องทางการสื่อสารใหม่นี้อีกด้วย
เกี่ยวกับดิจิตอลไลฟ์
www.discoverdigitallife.com ดิจิตอลไลฟ์เป็นการสำรวจระดับโลกที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาเกี่ยวกับพฤติกรรมด้านดิจิตอลและทัศนคติของผู้บริโภค การศึกษานี้เพื่อค้นคว้าข้อมูลที่มากไปกว่าแค่ศึกษาพฤติกรรม ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจถึงแก่นของอารมณ์ซึ่งเป็นสิ่งผลักดันสิ่งต่างๆที่ผู้บริโภคทำออนไลน์
ทีเอ็นเอสได้ทำการสำรวจและวิเคราะห์พฤติกรรมออนไลน์ของกลุ่มตัวอย่างจาก 46 ประเทศทั่วโลกในเดือนกันยายน 2553 โดยมีจำนวนกลุ่มตัวอย่างทั้งสิ้น 48,804 คนซึ่งมีอายุระหว่าง 16 – 60 ปีที่อาศัยอยู่ในประเทศต่างๆดังต่อไปนี้ อาร์เจนติน่า ออสเตรีย เบลเยียม บราซิล แคนาดา จีน เดนมาร์ค อียิปต์ เอสโทเนีย ฟินแลนด์ เยอรมนี กรีซ ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย อิสราเอล อิตาลี ญี่ปุ่น เคนยา ลักซ์เซมเบิร์ก มาเลเซีย เม็กซิโก โมร็อคโค เนเธอร์แลนด์ ไนจีเรีย นอร์เวย์ ฟิลิปปินส์ โปแลนด โปรตุเกส รัสเซีย ซาอุดิอาระเบีย สิงคโปร์ อัฟริกาใต้ เกาหลีใต้ สเปน สวีเดน แทนซาเนีย ไทย ตุรกี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อูกนดา สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม
ข้อมูลส่วนหนึ่งที่ได้จากการศึกษานี้ได้รับการเผยแพร่สู่สาธาณชนผ่านทางเว็บไซต์เชิงปฎิสัมพันธ์ซึ่งสร้างโดย Digit: www.digitlondon.com ซึ่งเป็นหุ้นส่วนในกลุ่ม WPP และมีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและปฏิสัมพันธ์ ชมตัวอย่างข้อมูลเชิงปฎิสัมพันธ์ได้ที่ http://www.discoverdigitallife.com/
เกี่ยวกับทีเอ็นเอส
ทีเอ็นเอสเป็นผู้ให้บริการด้านการวิจัยตามวัตถุประสงค์ของลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่งมอบข้อมูลเชิงลึกที่นำไปใช้ได้จริงและให้คำปรึกษาทางธุรกิจที่อ้างอิงจากข้อมูลที่ได้จากการวิจัยแก่ลูกค้าเพื่อให้สามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทีเอ็นเอสให้ความกระจ่างด้านข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจสินค้าอุปโภค-บริโภค เทคโนโลยี การเงิน ยานยนต์ สังคมและการเมือง นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ทางการวิจัยตลาดอันเป็นเอกลักษณ์ที่ครอบคลุมประเด็นทางธุรกิจและการตลาด อีกทั้งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสื่อสารแบรนด์ การบริหารจัดการผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร การค้าปลีก และการวิจัยเชิงคุณภาพ ทีเอ็นเอสให้บริการระดับแนวหน้าในกว่า 75 ประเทศและเป็นส่วนหนึ่งของกันตาร์กรุ๊ป ซึ่งเป็นเครือข่ายบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาที่ใหญ่ที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเชิญแวะไปที่ http://www.tnsglobal.com/
เกี่ยวกับกันตาร์
กันตาร์เป็นหนึ่งในเครือข่ายผู้ให้บริการด้านข้อมูลเชิงลึกและคำปรึกษาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยการผนึกกำลังระหว่างผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจนี้ถึง 13 บริษัท กันตาร์กรุ๊ปได้กลายเป็นผู้ให้บริการระดับแนวหน้าด้านข้อมูลที่ลึกล้ำ และเป็นแรงบันดาลใจสำหรับธุรกิจทั่วโลก กันตาร์กรุ๊ปมีพนักงานที่มีความรู้ความสามารถและชำนาญการวิจัยและการให้คำปรึกษาในแขนงต่างๆจำนวน 26,500 คนใน 95 ประเทศทั่วโลก จึงเอื้อให้สามารถให้บริการแก่ลูกค้าได้ในทุกขั้นของวงจรการบริโภค กันตาร์กรุ๊ปให้บริการแก่บริษัทต่างๆกว่าครึ่งของบริษัทที่อยู่ในกลุ่มฟอร์จูน 500
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกันตาร์กรุ๊ป กรุณาเข้าไปที่ www.kantar.com