ABAC Real-Time Survey ทำการสำรวจวิธีหาทางออกจากปัญหาหนี้สินและแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงเศรษฐกิจถดถอย กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนใน 17 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร น่าน กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ฉะเชิงเทรา ราชบุรี ปทุมธานี ชลบุรี ยโสธร นครพนม มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ สุรินทร์ กระบี่ และชุมพร จำนวนทั้งสิ้น 1,140 ครัวเรือน ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2552 โดยพบว่า ในช่วง 30 วันที่ผ่านมาประชาชนที่ถูกศึกษาส่วนใหญ่หรือกว่าร้อยละ 80 ติดตามข่าวสารผ่านสื่อมวลชนเป็นประจำทุกสัปดาห์
ที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึง สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยวันนี้ และเปรียบเทียบกับผลสำรวจเดือนเมษายนที่ผ่านมา พบว่า ประชาชนที่ระบุว่าเศรษฐกิจของประเทศวันนี้ดี เริ่มมีสัดส่วนสูงขึ้นจากร้อยละ 5.6 ในเดือนเมษายน มาอยู่ที่ร้อยละ 11.8 ในการสำรวจล่าสุด อย่างไรก็ตาม ในการวิจัยครั้งนี้ยังคงพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่หรือร้อยละ 88.2 ระบุว่าเศรษฐกิจของประเทศวันนี้ยังย่ำแย่อยู่
แต่เมื่อพิจารณาข้อคำถามที่สอบถาม สภาพรายได้วันนี้ของประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามเอง พบว่า คนที่ตอบว่ารายได้ของตนเองวันนี้ดีเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 21.9 ในการสำรวจเดือนเมษายน มาอยู่ที่ร้อยละ 34.4 ในการสำรวจล่าสุด อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 65.6 ยังคงบอกกับผู้วิจัยว่า สภาพรายได้ของตนเองวันนี้ยังไม่ดี
นอกจากนี้ ประชาชนจำนวนมากหรือร้อยละ 42.4 กำลังมีความจำเป็นต้องผ่อนชำระสินค้า และบริการ (เป็นหนี้) ในขณะที่ เกินกว่าครึ่งหรือร้อยละ 57.6 ระบุไม่มีความจำเป็นต้องผ่อนชำระสินค้าและบริการอะไร โดยกลุ่มตัวอย่างที่กำลังมีความจำเป็นต้องผ่อนชำระสินค้าและบริการ ร้อยละ 42.9 ระบุเป็นเงินกู้เพื่อซื้อรถ ในขณะที่ร้อยละ 38.4 ระบุเป็นเงินกู้เพื่อซื้อบ้าน ที่อยู่อาศัย ที่ดิน ร้อยละ 23.0 ระบุเป็นเงินกู้เพื่อซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องเสียง นอกจากนี้ ร้อยละ 20.4 ระบุเป็นหนี้ผ่อนชำระบัตรเครดิต บัตรเงินสด และรองๆ ลงไปคือ เงินกู้เพื่อการประกอบธุรกิจ สร้างรายได้ เงินกู้เพื่อจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน เงินกู้เพื่อการศึกษา เงินกู้เพื่อจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพ ประกันชีวิต อุบัติเหตุ และเงินกู้เพื่อเยียวยาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นต้น
ที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งคือ แนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนที่ถูกศึกษาวิจัยครั้งนี้ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.6 ระบุ ก่อนซื้อสินค้า ถามใจตัวเองก่อนว่า “จำเป็นต้องซื้อ หรือว่า เป็นแค่ความอยากได้” ในขณะที่รองลงมาคือ ร้อยละ 87.1 ระบุใช้เครื่องมือสื่อสารแทนการเดินทาง ร้อยละ 83.8 ระบุ หันมาซื้อสินค้าราคาถูก มีคุณภาพใช้งานแทนกันได้ ร้อยละ 80.6 ระบุ ตากผ้า ด้วยแสงแดด แทนการใช้เครื่องไฟฟ้าปั่นผ้าแห้ง ร้อยละ 76.1 ระบุ ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ พัดลมไฟฟ้า ร้อยละ 60.1 ใช้จักรยานปั่นด้วยเท้า แทนการใช้รถยนต์ ร้อยละ 55.8 ระบุ ใช้วิธีการเดินด้วยเท้าในระยะทางที่ทำได้ แทนการใช้รถยนต์ ในขณะที่รองๆ ลงไปคือ อ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น เวลาไปทานอาหารที่สวนอาหารหรือภัตตาคาร จะซื้อทานเฉพาะอาหารว่าง เพื่อลดความอ้วนได้ด้วย และจะขายของเครื่องใช้ ทรัพย์สินบางส่วน นำเงินไปลงทุนในสถาบันการเงิน ตามลำดับ
และที่น่าสนใจคือ วิธีการบริหารจัดการหนี้สินที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อไม่ให้เดือดร้อนจากภาระหนี้สิน ผลสำรวจพบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 92.3 ระบุใช้ชีวิตพอเพียงตามแนวทางพระราชดำริของในหลวง รองลงมาคือ ร้อยละ 91.5 ระบุลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ในขณะที่ ร้อยละ 89.4 ระบุไม่สร้างหนี้เพิ่ม ร้อยละ 56.9 จดบันทึกรายรับ – รายจ่ายสม่ำเสมอ ร้อยละ 51.3 ทำงานหารายได้พิเศษ รองๆ ลงไปคือ ชำระหนี้สินที่ดอกเบี้ยสูงหรือหนี้ก้อนใหญ่ก่อน ขอเจรจาประนอมหนี้เพื่อให้สามารถผ่อนชำระได้ ขายทรัพย์สินออกไปเพื่อชำระหนี้ และหาคนคุ้มครองและหนีหนี้ ตามลำดับ
ผอ.ศูนย์วิจัยเอแบคฯ กล่าวว่า ผลวิจัยเรื่องสำรวจวิธีหาทางออกจากปัญหาหนี้สินและแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายในช่วงสภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งนี้ พบว่า ประชาชนที่มองว่าเศรษฐกิจของประเทศดีและสภาพรายได้ของตนเองดีเริ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามส่วนใหญ่ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจอยู่ โดยประชาชนจำนวนมากยังคงเป็นหนี้และต้องผ่อนชำระสินค้าบริการอันดับแรกคือ การผ่อนรถ บ้านที่อยู่อาศัย เครื่องใช้ไฟฟ้า และบัตรเครดิต แต่ที่น่าพิจารณาคือ ประชาชนมีทางออกของการเป็นหนี้และลดภาระค่าใช้จ่ายคือ การถามใจตัวเองก่อนซื้อสินค้าว่า มีความจำเป็นต้องซื้อ หรือแค่เป็นความอยากได้ และที่สำคัญที่สุดคือ การนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวงมาประยุกต์ใช้ในชีวิต ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และไม่สร้างหนี้เพิ่ม
ABAC Real-Time Survey คือการสำรวจจากครัวเรือนที่สุ่มตัวอย่างได้ทั่วประเทศตามหลักสถิติแบบแบ่งกลุ่มเชิงชั้นภูมิหลายชั้น (Stratified Multi-Stage Sampling) จากนั้นได้ติดตั้งโทรศัพท์ให้กับครัวเรือนที่เป็นตัวอย่างเพื่อทำการสัมภาษณ์ได้อย่างรวดเร็วฉับไวภายในระยะเวลาประมาณ 8 ชั่วโมง จากนั้นประมวลผลด้วยระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบเรียลไทม์
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์