เตือน! บริษัทของคุณจะเจ๊งไม่เป็นท่าด้วย 2 เหตุผลเท่านั้น

  • 1K
  •  
  •  
  •  
  •  

Facit เป็นบริษัทเยี่ยมยอดที่มีต้นกำเนิดจากป่าลึกในสวีเดน ได้ผลิตเครื่องคิดเลขเชิงกลที่ดีที่สุดในโลก จากนั้นทุกคนก็ใช้มัน แต่พอถึงยุคที่เครื่องคิดเลยอิเลคทรอนิกส์เข้ามา บริษัทก็ยังคงผลิตเครื่องคิดเลขอยู่ ทำซ้ำๆไปเรื่อย อีก 6 เดือนต่อมา รายได้สุดสุดที่บริษัทเคยทำได้กลับหายไปพร้อมกับตัวบริษัท

หายไปเลย!

1

ที่ตลกร้ายก็คือ วิศวกรในบริษัทนี้ซื้อเครื่องคิดเลขอิเลคทรอนิกส์เล็กๆถูกๆจากญี่ปุ่นมาใช้ในบริษัทเพื่อตรวจความถูกต้องของตัวเลขของเครื่องคิดเลขที่บริษัทผลิตขึ้น

Facit แสวงหาผลประโยชน์มากเกินไปแล้ว ทั้งๆที่บริษัทสามารถสำรวจหาทางทำอะไรใหม่ๆได้เรื่อยๆ

และไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทชีวเทคโนโลยีอัจฉริยะของยุโรปอย่าง OncoSearch มีแอบพลิเคชันหลายตัวที่สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งในเลือดได้ ทุกวันนี้บริษัทก็ผลิตนวัฒกรรมใหม่ๆได้อีกเรื่อยๆ ดังคำขวัญของบริษัทที่ว่า “ถ้าคุณจะทำถูก คุณจะทำมันให้เพอร์เฟ็ค” แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ก่อนที่บริษัทนี้จะเพอเฟ็คหรือแค่ดีพอ ของที่เคยคิดเคยทำมาก่อนหน้านั้นก็ล้าสมัยไปแล้ว

 

3

OncoSearch“คิดค้น” มากเกินไปแล้ว

ฉะนั้นเหตุผล 2 ข้อที่ทำให้กิจการของคุณพังลงคงไม่พ้นการทำซ้ำๆกับเรื่องเดิมๆ หรือไม่ก็เอาแต่ทำแต่เรื่องใหม่ๆ และทางแก้ที่แท้จริงคือ หาทางทำให้ “การคิดค้นพบสำรวจ” และ “การแสวงหาผลประโยชน์” สมดุลกันให้ได้

ทั้งสองอย่างสำคัญหมด แต่ถ้ามากไปไม่ดีแน่

4

การค้นพบค้นหาสำรวจทำนวัตกรรมสิ่งใหม่ๆ นั้นมีมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมารี คูรี นีลอาร์มสตรอง เซอร์ เอ็ดมัน ฮิลลารี่ คนพวกนี้เป็นนักค้นพบนักสำรวจหมดเลย คุณรู้ว่าการสำรวจอะไรบางอย่างนั้นเป็นเรื่องเสี่ยง เพราะคุณไม่รู้ว่าคุณจะได้เจออะไรโดยเฉพาะคำตอบที่อยู่ปลายทาง และคุณก็ไม่รู้เลยว่ามันเสี่ยงมากถ้าคุณไม่ได้คำตอบนั้นมา

ส่วนการแสวงหาผลประโยชน์นั้น คนละเรื่องกับการค้นพบสำรวจเลย การแสวงหาผลประโยชน์นั้นไม่ได้เสี่ยงอะไรเลย คุณก็แค่ใช้ความรู้ที่คุณมีทำสินค้าให้เร็วขึ้น ถูกขึ้น แต่ในระยะยาวมันเสี่ยงมาก ลองมองดูพวกนักร้องเพลงป็อบดังๆ ร้องเพลงของตัวเองวนไปเรื่อยๆ จนกว่าพวกนี้จะเชยระเบิดจนน่าสมเพช นั่นแหละคือความเสี่ยงของการแสวงหาผลประโยชน์

ฉะนั้น ถ้ามองกันยาวๆ คุณควรจะค้นพบอะไรสักอย่าง แต่ถ้ามองระยะสั้นๆ คุณก็ควรจะแสวงหาผลประโยชน์ ดูเด็กเล็กๆออกวิ่งค้นพบสำรวจทั้งวัน พออายุมากขึ้น คุณวิ่งเล่นสำรวจน้อยลง เพราะคุณมีความรู้ให้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว จะเสียเวลาสำรวจไปทำไม

บริษัทก็เหมือนกัน มันคิดว่าเก่งขึ้น มันก็เลยคิดอะไรใหม่ๆได้น้อยลงไง

Leader hold meeting with his team

และนั่นเป็นสิ่งที่ซีอีโอระดับบิ๊กๆชอบบ่นว่า “ผมจะให้บริษัททำงานอย่างมีประสิทธิภาพพร้อมกับสร้างนวัตกรรมใหม่ๆได้อย่างไร?” หรือ “แล้วคุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าบริษัทจะเปลี่ยนแปลงก่อนที่มันจะล้าสมัยหรือเจอวิกฤตแย่ๆล่ะ?”

ทำอะไรอย่างเดียวน่ะยาก แต่ถ้าทำอะไรสองอย่างพร้อมกันนั่นคือศิลป์อย่างหนึ่ง และสองอย่างนั่นก็คือการสำรวจค้นพบ และการใช้ประโยชน์

ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มีแค่ 2% ของบริษัททั้งหมดในโลกนี้เท่านั้นที่สามารถทำนวัตกรรมไปพร้อมกับการแสวงหาประโยชน์ได้พร้อมๆกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทพวกนั้นจะต้องเสียสละเยอะมาก แต่ประโยชน์นั้นคุ้มค่าจริงๆ เช่นเนสเปรซโซ่ของเนสท์เล่ บริษัทเลโก้เริ่มเข้าสูวงการภาพยนตร์อนิเมชั่น โตโยต้าออกรถไฮบริต ยูนิลิเวอร์เริ่มทำสินค้าที่ยั่งยืน

แล้วทำไมการสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้มันยากเย็นนัก

ก็เพราะว่ามันมีกับดักอยู่ กับดับที่มันไม่ทำให้คุณได้ไปไหนสักที

 

กับดักแรกคือกับดักทางความคิด เวลาคุณค้นพบอะไรบางอย่าง แต่คุณไม่อดทนพอที่จะทำให้มันใช้งานได้จริง ฉะนั้นแทนที่จะพยายามอยู่กับมันและทำให้สิ่งที่คุณค้นพบใช้งานได้สำเร็จ คุณก็หันไปสร้างอะไรใหม่ๆอีก พอคุณทนกับมันไม่ได้ ก็ทิ้งมันไปทำใหม่อีก

OncoSearch เป็นตัวอย่างที่ดีมาก Xerox ก็เหมือนกัน ไม่ใช่แค่บริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์กรภาครัฐด้วย ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา วิจัย สาธารณสุข พวกนี้ต้องใช้เวลา 5 ปี 10 ปี 20 ปีถึงจะเห็นผล

แต่คุณเปลี่ยนมันไปเรื่อยๆโดยไม่รอให้เห็นผลจากการเปลี่ยนแปลงนั้นเลย

กับดักที่สองเป็นกับดักที่ได้ชื่อว่า “ความสำเร็จ” ที่กำอนาคตของคุณไว้ แต่คุณแค่ไม่เห็นมัน คุณอาจจะทำสิ่งที่คุณชอบทำได้ดีจนคุณไม่คิดจะเปลี่ยนมัน พอคุณรู้จักมันดีคุณก็ไม่เปลี่ยนมันหรอก อย่างที่บิล เกตส์บอกไว้ “ความสำเร็จเป็นครูที่แย่สุดๆ เพราะมันจะทำให้คุณหลงคิดว่าคุณต้องไม่พลาดเลยสักเรื่อง”

Trapped businessman

ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เกิดวิกฤติ ข้อแรก ลุยต่อไปเลย! กิจการไหนที่กล้าคิดนวัตกรรมเป็นกิจการที่ซื้อประกันความเสี่ยงในอนาคต อย่าง Netflix บริษัทให้เช่าหนังและซีรีย์ออนไลน์ที่พอใจกับการให้บริการในแต่ละช่วงอายุคนและมันก็เตรียมพัฒนาสำหรับการแข่งขันกับกิจการเจ้าอื่นๆครั้งต่อไปอีก

สำหรับกิจการที่มองระยะสั้นแค่ปีเดียว มีแค่ 30% ของมูลค้าทั้งหมดของบริษัทจะเทให้กับนวัฒกรรมค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในขณะที่อีก แต่สำหรับบริษัทที่มองไกลไปอีก 10 ปีข้างหน้า ก็จะเท 70% ของมูลค่าของบริษัททั้งหมดให้กับนวัฒนกรรม

 

5

สองหาพวกที่มีพรสวรรค์มาทำงานร่วมกันให้ได้ เพราะคงไม่มีใครสามารถทำให้การค้นพบสำรวจและการใช้ประโยชน์ลงตัวได้ด้วยตัวเองหรอก คุณควรเล่นกันเป็นทีมเผชิญหน้ากับความท้าทายด้วย

และสุดท้าย ตั้งคำถามกับความสำเร็จอยู่เสมอ ลองคิดถึงชัยชนะในองค์กรของคุณดู คุณเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆพร้อมกับขบวนรถสรรเสริญยาวเป็นหางว่าว แต่แล้วก็มีเพื่อนของคุณมากระซิบข้างหูคุณ “จำไว้นะ จริงๆคุณก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง”

ฉะนั้นกลับไปดูกิจการของตัวเองให้ดีว่า กิจการของคุณเสี่ยงติดกับดักที่เรียกว่า “ความสำเร็จ” อยู่หรือเปล่า? แล้วกิจการจะทำอะไรได้บ้าง หรือจะปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ และครั้งสุดท้ายที่คุณค้นพบทำอะไรใหม่ๆคือเมื่อไหร่ มันจะมีผลอะไรกับคุณอย่างไรบ้าง แล้วคุณจะพัฒนามันต่อไปอย่างไร?

ถึงจะทำให้ “การคิดค้นพบสำรวจ” และ “การแสวงหาผลประโยชน์” สมดุลกัน

 

แหล่งที่มา


  • 1K
  •  
  •  
  •  
  •  
Sarunjade
แชร์มุมมองเกี่ยวกับ Digital Marketing, Digital Business และ Technology เท่าที่รู้ สามารถติชมหรืออยากให้เจาะลึกเรื่องไหนเป็นพิเศษ ส่งเมลมาเลยที่ contact@oopsnetwork.co.th