Facit เป็นบริษัทเยี่ยมยอดที่มีต้นกำเนิดจากป่าลึกในสวีเดน ได้ผลิตเครื่องคิดเลขเชิงกลที่ดีที่สุดในโลก จากนั้นทุกคนก็ใช้มัน แต่พอถึงยุคที่เครื่องคิดเลยอิเลคทรอนิกส์เข้ามา บริษัทก็ยังคงผลิตเครื่องคิดเลขอยู่ ทำซ้ำๆไปเรื่อย อีก 6 เดือนต่อมา รายได้สุดสุดที่บริษัทเคยทำได้กลับหายไปพร้อมกับตัวบริษัท
หายไปเลย!
ที่ตลกร้ายก็คือ วิศวกรในบริษัทนี้ซื้อเครื่องคิดเลขอิเลคทรอนิกส์เล็กๆถูกๆจากญี่ปุ่นมาใช้ในบริษัทเพื่อตรวจความถูกต้องของตัวเลขของเครื่องคิดเลขที่บริษัทผลิตขึ้น
Facit แสวงหาผลประโยชน์มากเกินไปแล้ว ทั้งๆที่บริษัทสามารถสำรวจหาทางทำอะไรใหม่ๆได้เรื่อยๆ
และไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทชีวเทคโนโลยีอัจฉริยะของยุโรปอย่าง OncoSearch มีแอบพลิเคชันหลายตัวที่สามารถวินิจฉัยและรักษาโรคมะเร็งในเลือดได้ ทุกวันนี้บริษัทก็ผลิตนวัฒกรรมใหม่ๆได้อีกเรื่อยๆ ดังคำขวัญของบริษัทที่ว่า “ถ้าคุณจะทำถูก คุณจะทำมันให้เพอร์เฟ็ค” แต่ที่น่าเศร้าก็คือ ก่อนที่บริษัทนี้จะเพอเฟ็คหรือแค่ดีพอ ของที่เคยคิดเคยทำมาก่อนหน้านั้นก็ล้าสมัยไปแล้ว
OncoSearch“คิดค้น” มากเกินไปแล้ว
ฉะนั้นเหตุผล 2 ข้อที่ทำให้กิจการของคุณพังลงคงไม่พ้นการทำซ้ำๆกับเรื่องเดิมๆ หรือไม่ก็เอาแต่ทำแต่เรื่องใหม่ๆ และทางแก้ที่แท้จริงคือ หาทางทำให้ “การคิดค้นพบสำรวจ” และ “การแสวงหาผลประโยชน์” สมดุลกันให้ได้
ทั้งสองอย่างสำคัญหมด แต่ถ้ามากไปไม่ดีแน่
การค้นพบค้นหาสำรวจทำนวัตกรรมสิ่งใหม่ๆ นั้นมีมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นมารี คูรี นีลอาร์มสตรอง เซอร์ เอ็ดมัน ฮิลลารี่ คนพวกนี้เป็นนักค้นพบนักสำรวจหมดเลย คุณรู้ว่าการสำรวจอะไรบางอย่างนั้นเป็นเรื่องเสี่ยง เพราะคุณไม่รู้ว่าคุณจะได้เจออะไรโดยเฉพาะคำตอบที่อยู่ปลายทาง และคุณก็ไม่รู้เลยว่ามันเสี่ยงมากถ้าคุณไม่ได้คำตอบนั้นมา
ส่วนการแสวงหาผลประโยชน์นั้น คนละเรื่องกับการค้นพบสำรวจเลย การแสวงหาผลประโยชน์นั้นไม่ได้เสี่ยงอะไรเลย คุณก็แค่ใช้ความรู้ที่คุณมีทำสินค้าให้เร็วขึ้น ถูกขึ้น แต่ในระยะยาวมันเสี่ยงมาก ลองมองดูพวกนักร้องเพลงป็อบดังๆ ร้องเพลงของตัวเองวนไปเรื่อยๆ จนกว่าพวกนี้จะเชยระเบิดจนน่าสมเพช นั่นแหละคือความเสี่ยงของการแสวงหาผลประโยชน์
ฉะนั้น ถ้ามองกันยาวๆ คุณควรจะค้นพบอะไรสักอย่าง แต่ถ้ามองระยะสั้นๆ คุณก็ควรจะแสวงหาผลประโยชน์ ดูเด็กเล็กๆออกวิ่งค้นพบสำรวจทั้งวัน พออายุมากขึ้น คุณวิ่งเล่นสำรวจน้อยลง เพราะคุณมีความรู้ให้ใช้ประโยชน์อยู่แล้ว จะเสียเวลาสำรวจไปทำไม
บริษัทก็เหมือนกัน มันคิดว่าเก่งขึ้น มันก็เลยคิดอะไรใหม่ๆได้น้อยลงไง
และนั่นเป็นสิ่งที่ซีอีโอระดับบิ๊กๆชอบบ่นว่า “ผมจะให้บริษัททำงานอย่างมีประสิทธิภาพพร้อมกับสร้างนวัตกรรมใหม่ๆได้อย่างไร?” หรือ “แล้วคุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าบริษัทจะเปลี่ยนแปลงก่อนที่มันจะล้าสมัยหรือเจอวิกฤตแย่ๆล่ะ?”
ทำอะไรอย่างเดียวน่ะยาก แต่ถ้าทำอะไรสองอย่างพร้อมกันนั่นคือศิลป์อย่างหนึ่ง และสองอย่างนั่นก็คือการสำรวจค้นพบ และการใช้ประโยชน์
ที่ไม่น่าเชื่อก็คือ มีแค่ 2% ของบริษัททั้งหมดในโลกนี้เท่านั้นที่สามารถทำนวัตกรรมไปพร้อมกับการแสวงหาประโยชน์ได้พร้อมๆกันอย่างมีประสิทธิภาพ บริษัทพวกนั้นจะต้องเสียสละเยอะมาก แต่ประโยชน์นั้นคุ้มค่าจริงๆ เช่นเนสเปรซโซ่ของเนสท์เล่ บริษัทเลโก้เริ่มเข้าสูวงการภาพยนตร์อนิเมชั่น โตโยต้าออกรถไฮบริต ยูนิลิเวอร์เริ่มทำสินค้าที่ยั่งยืน
แล้วทำไมการสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้มันยากเย็นนัก
ก็เพราะว่ามันมีกับดักอยู่ กับดับที่มันไม่ทำให้คุณได้ไปไหนสักที
กับดักแรกคือกับดักทางความคิด เวลาคุณค้นพบอะไรบางอย่าง แต่คุณไม่อดทนพอที่จะทำให้มันใช้งานได้จริง ฉะนั้นแทนที่จะพยายามอยู่กับมันและทำให้สิ่งที่คุณค้นพบใช้งานได้สำเร็จ คุณก็หันไปสร้างอะไรใหม่ๆอีก พอคุณทนกับมันไม่ได้ ก็ทิ้งมันไปทำใหม่อีก
OncoSearch เป็นตัวอย่างที่ดีมาก Xerox ก็เหมือนกัน ไม่ใช่แค่บริษัทเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์กรภาครัฐด้วย ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา วิจัย สาธารณสุข พวกนี้ต้องใช้เวลา 5 ปี 10 ปี 20 ปีถึงจะเห็นผล
แต่คุณเปลี่ยนมันไปเรื่อยๆโดยไม่รอให้เห็นผลจากการเปลี่ยนแปลงนั้นเลย
กับดักที่สองเป็นกับดักที่ได้ชื่อว่า “ความสำเร็จ” ที่กำอนาคตของคุณไว้ แต่คุณแค่ไม่เห็นมัน คุณอาจจะทำสิ่งที่คุณชอบทำได้ดีจนคุณไม่คิดจะเปลี่ยนมัน พอคุณรู้จักมันดีคุณก็ไม่เปลี่ยนมันหรอก อย่างที่บิล เกตส์บอกไว้ “ความสำเร็จเป็นครูที่แย่สุดๆ เพราะมันจะทำให้คุณหลงคิดว่าคุณต้องไม่พลาดเลยสักเรื่อง”
ฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เกิดวิกฤติ ข้อแรก ลุยต่อไปเลย! กิจการไหนที่กล้าคิดนวัตกรรมเป็นกิจการที่ซื้อประกันความเสี่ยงในอนาคต อย่าง Netflix บริษัทให้เช่าหนังและซีรีย์ออนไลน์ที่พอใจกับการให้บริการในแต่ละช่วงอายุคนและมันก็เตรียมพัฒนาสำหรับการแข่งขันกับกิจการเจ้าอื่นๆครั้งต่อไปอีก
สำหรับกิจการที่มองระยะสั้นแค่ปีเดียว มีแค่ 30% ของมูลค้าทั้งหมดของบริษัทจะเทให้กับนวัฒกรรมค้นพบสิ่งใหม่ๆ ในขณะที่อีก แต่สำหรับบริษัทที่มองไกลไปอีก 10 ปีข้างหน้า ก็จะเท 70% ของมูลค่าของบริษัททั้งหมดให้กับนวัฒนกรรม
สองหาพวกที่มีพรสวรรค์มาทำงานร่วมกันให้ได้ เพราะคงไม่มีใครสามารถทำให้การค้นพบสำรวจและการใช้ประโยชน์ลงตัวได้ด้วยตัวเองหรอก คุณควรเล่นกันเป็นทีมเผชิญหน้ากับความท้าทายด้วย
และสุดท้าย ตั้งคำถามกับความสำเร็จอยู่เสมอ ลองคิดถึงชัยชนะในองค์กรของคุณดู คุณเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆพร้อมกับขบวนรถสรรเสริญยาวเป็นหางว่าว แต่แล้วก็มีเพื่อนของคุณมากระซิบข้างหูคุณ “จำไว้นะ จริงๆคุณก็แค่มนุษย์คนหนึ่ง”
ฉะนั้นกลับไปดูกิจการของตัวเองให้ดีว่า กิจการของคุณเสี่ยงติดกับดักที่เรียกว่า “ความสำเร็จ” อยู่หรือเปล่า? แล้วกิจการจะทำอะไรได้บ้าง หรือจะปล่อยมันไว้แบบนั้นแหละ และครั้งสุดท้ายที่คุณค้นพบทำอะไรใหม่ๆคือเมื่อไหร่ มันจะมีผลอะไรกับคุณอย่างไรบ้าง แล้วคุณจะพัฒนามันต่อไปอย่างไร?
ถึงจะทำให้ “การคิดค้นพบสำรวจ” และ “การแสวงหาผลประโยชน์” สมดุลกัน
แหล่งที่มา