“Piano & I คือข้าว ที่ไม่ว่าจะเอาไปกินกับอะไรก็อร่อย” โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ กับ Music Marketing ที่เชื่อมต่อระหว่างศิลปิน แบรนด์ และผู้ชม

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ในช่วงเวลาที่ศิลปินจำนวนมากมองหาโอกาสผ่านโซเชียลมีเดีย การสตรีมมิ่ง หรือการคอลแลปส์กับแบรนด์ โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร กลับเลือกทางที่ซับซ้อนกว่าแต่ยั่งยืนกว่า เขาไม่ได้มองดนตรีเป็นเพียงโชว์ หรือแบรนด์เป็นแค่ผู้สนับสนุน แต่พยายามสร้างระบบนิเวศทางดนตรีที่หลากหลาย เข้าถึงได้ และมีความหมาย ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “Piano & I”

นี่คือครั้งแรกของการขึ้นเวทีเป็น Speaker ในงานสัมมนาด้านการตลาดของคุณโต๋ ในงาน AssetWise presents Marketing Oops! Summit 2025 ซึ่งคุณโต๋มาในฐานะ Founder & Creator ของแพลตฟอร์ม Piano & I โดยนอกจากจะมาให้มุมมองเกี่ยวกับ Music Marketing ในโลกยุคนี้แล้ว คุณโต๋ก็ยังขนแกรนด์เปียโนมาเล่นให้ดูกันสดๆ เป็นของแถมด้วย ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ๆ ในงานนี้เช่นกัน

และนี่คือการสรุปประเด็นสำคัญจาก Session From Piano Man to Platform Architect : Rethinking Music Marketing in the Age of Lifestyle Convergence – จากศิลปินนักเปียโน สู่ผู้สร้างแพลตฟอร์ม: เมื่อ Music Marketing เปลี่ยนไปสู่การเชื่อมต่อไลฟ์สไตล์ บนเวที Visionary Stage โดย โต๋-ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร สัมภาษณ์โดย คุณเจ๋อ—ภาวิต จิตรกร ซีอีโอแห่ง GMM Music

เปลี่ยน Piano & I ให้กลายเป็น “คอนเซปต์แพลตฟอร์ม” ที่ต่อยอดได้ในหลายมิติ

Piano & I เริ่มต้นจากโปรเจกต์บน YouTube ที่คุณโต๋อยากสร้างพื้นที่เล่าเรื่องผ่านเปียโนในแบบที่คนดูรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ข้างๆ เครื่องดนตรีของเขา จากนั้นโปรเจกต์ค่อยๆ ขยายไปสู่การจัดคอนเสิร์ตหลากหลายรูปแบบ โดยยึดหลักว่า “ไม่ว่าแนวเพลงจะเป็นอะไร ก็ต้องเข้ากับ ‘ข้าว’ ที่เราทำ” คุณโต๋เปรียบ Piano & I เหมือนข้าว ไม่ใช่ข้าวมันไก่ (ที่กินซ้ำๆ แล้วอาจจะเบื่อ) คือไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นแนวใดแนวหนึ่ง แต่พร้อมเชื่อมโยงกับทุกสไตล์ ทุกศิลปิน และทุกแบรนด์

โปรเจกต์นี้จึงถูกออกแบบให้ยืดหยุ่นพอที่จะไปเล่นที่ไหนก็ได้ ตั้งแต่บนดาดฟ้า ข้างสระว่ายน้ำ ในบ้าน ไปจนถึงห้องซ้อมเล็กๆ โดยหัวใจคือการสร้างคอมมูนิตี้ที่ผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมและเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ผู้ชมชั่วคราว

ดนตรี” เชื่อมต่อกับ “ไลฟ์สไตล์” ได้ลึกและกว้าง กับส่ิงที่นักการตลาดควรมอง

หนึ่งในสิ่งที่ Piano & I พิสูจน์ได้คือ ดนตรีไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องแสดงคอนเสิร์ต มันสามารถไปอยู่ในสถานที่ที่คนใช้ชีวิตจริง และกลายเป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำ คุณโต๋จึงเน้นว่าการเชื่อมโยงระหว่างดนตรีกับไลฟ์สไตล์คือแกนหลักของแพลตฟอร์มนี้ และยังเป็นแนวคิดที่แบรนด์ควรนำกลับไปคิดต่อ

เขาเชื่อว่าแบรนด์ควรมีความกล้าที่จะทำงานแบบร่วมกันจริงๆ ไม่ใช่แค่ติดโลโก้บนเวที แต่ต้องเข้าใจ Movement ว่าเป้าหมายคือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับกลุ่มเป้าหมายผ่านประสบการณ์ที่มีความหมาย โดยสิ่งที่พวกเขาทำเรียกว่า “Join Movement” ไม่ใช่การสปอนเซอร์ทั่วไป แต่หมายถึงการเดินทางร่วมกันจากวิสัยทัศน์เดียวกัน

การสร้างแพลตฟอร์มที่หลากหลายยังเป็นมากกว่าการชวนศิลปินหลายเจเนอเรชันมาแจม แต่เป็นการเปิดพื้นที่ให้แฟนคลับจากคนละโลกได้มาพบกันในสภาพแวดล้อมที่เป็นกันเอง

คุณโต๋กล่าวว่า “แต่ละคอนเสิร์ตที่ผ่านมา คนดู 50% คือกลุ่มเดิมที่ตามกันตลอด อีก 50% เป็นกลุ่มใหม่ที่เข้ามาเพราะแขกรับเชิญในแต่ละรอบ เช่น พี่ไมค์ (ภิรมย์พร) พี่สุนารี (ราชสีมา) หรือวงร็อกรุ่นใหม่ๆ แล้วทุกคนก็ข้ามไปดูโชว์รอบอื่นต่อ มันเลยกลายเป็นการเชื่อมโยงที่เกินกว่าดนตรี”

นั่นทำให้ Piano & I นอกจากเป็นแพลตฟอร์มของศิลปิน ยังกลายเป็นพื้นที่กลางของการรวมตัวของหลายไลฟ์สไตล์ ทั้งในเชิงวัฒนธรรมและการใช้ชีวิต

ศิลปินยุคนี้ต้องคิดแบบ “Entrepreneur” มากขึ้น

คุณโต๋เชื่อว่า ศิลปินยุคนี้ต้องไม่หยุดอยู่แค่การเป็น Performer แต่ต้องรู้จักบริหารแบรนด์ของตัวเองแบบ 360 องศา

“เมื่อก่อนเราร้องเพลงเสร็จก็จบ เดี๋ยวนี้คุณต้องเป็น Content Creator, Brand Manager และรู้จัก Audience ของตัวเอง ว่ากลุ่มที่คุณพูดด้วยคือใคร เขาใช้ชีวิตยังไง เขาต้องการฟังอะไร”

เขาเล่าว่าทุกคอนเสิร์ตของ Piano & I ถูกคิดมาเหมือนเป็นซีรีส์ Netflix มีทั้งธีม ฟีลลิ่ง การออกแบบศิลปินรับเชิญ และตอนนี้เขาวางแผนล่วงหน้าไว้ 3 ปีแล้ว “ผมคิดไว้แล้วว่าปีหน้าเราจะเล่นกับใครบ้าง จะเป็นธีมแบบไหน เพราะเราไม่ใช่แค่ทำคอนเสิร์ต เราออกแบบประสบการณ์”

นั่นทำให้เขาต้องบาลานซ์ระหว่างการนำเสนออะไรใหม่ๆ และการรักษาความต่อเนื่องของแพลตฟอร์ม ซึ่งยากกว่าการจัดโชว์เดี่ยวแบบครั้งต่อครั้ง

ความท้าทายของการเป็นทั้ง Creator, Curator และ Business Owner

การสร้างแพลตฟอร์มของตัวเองในแบบที่มีทั้งความคิดสร้างสรรค์และต้องอยู่รอดได้ในเชิงธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย คุณโต๋ยอมรับว่า “ความท้าทายคือเราต้องบาลานซ์หลายอย่างมาก ไม่ใช่แค่เรื่องศิลปะ แต่ยังรวมถึงทีม โลจิสติกส์ คนดู ค่าใช้จ่าย สปอนเซอร์ ฯลฯ”

เขาย้ำว่าความสำเร็จของ Piano & I ไม่ได้มาจากแค่โชว์ แต่เกิดจากการรักษาเครือข่ายความสัมพันธ์กับคนดูและแบรนด์แบบยั่งยืน “เราอยู่ด้วยกันทั้งปี ไม่ใช่แค่วันเดียว เราไปคอนเสิร์ต ไปอัดรายการ ไปแจมกันในโซเชียล ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละคือสิ่งที่ทำให้แพลตฟอร์มมันมีชีวิต”

ทำงานกับแบรนด์ให้ “ใช่” ต้องเริ่มจากความเข้าใจ

คุณโต๋เน้นย้ำว่า การทำงานร่วมกับแบรนด์ไม่ใช่แค่เรื่องดีลหรือ KPI แต่ต้องเริ่มจากความเข้าใจร่วมกันในภาพใหญ่ “ผมชอบคุยกับแบรนด์ก่อนว่าเรากำลังทำ Movement เดียวกันอยู่มั้ย ถ้าใช่ มันจะไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบสปอนเซอร์ แต่มันคือพาร์ตเนอร์”

เขาเสริมว่า ถ้าแบรนด์และศิลปินเห็น Vision เดียวกัน คนดูจะสัมผัสได้ทันทีว่าแคปชั่นนั้นหรือโชว์นั้นไม่ได้มาจากสคริปต์ที่ถูกบังคับ “ผมเคยบอกแบรนด์ว่า เดี๋ยวผมเขียนให้เองครับ ให้ผมพูดในแบบที่ผมอินกับแบรนด์ มันจะฟังแล้วรู้สึกเลยว่ามาจากใจ”

นั่นคือวิธีที่ Piano & I กลายเป็นมากกว่าพื้นที่โปรโมต แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ทำให้ศิลปิน แบรนด์ และผู้ชมได้มาร่วมสร้างบางอย่างร่วมกันในโลกจริง

ข้อคิดถึงศิลปิน-ครีเอเตอร์รุ่นใหม่

ในมุมมองของโต๋ ศิลปินยุคนี้ต้องมองตัวเองให้ลึกกว่าการเป็นแค่ Performer ต้องคิดแบบเจ้าของธุรกิจ เข้าใจแบรนด์ของตัวเอง และรู้ว่าต้องการพูดกับใคร

เขาเน้นว่า ความ “ยูนีค” สำคัญมาก เพราะคนดูในยุคนี้มีทางเลือกมหาศาล การสร้างเอกลักษณ์ที่ชัดเจนตั้งแต่ 5 วินาทีแรกของคอนเทนต์จึงเป็นเรื่องจำเป็น เช่นเดียวกับการทำงานที่ต้องคิดเป็นระบบ ไม่ใช่แค่ตามกระแส

บทสรุป

Piano & I เป็นพื้นที่ของการออกแบบประสบการณ์ทางดนตรีที่ข้ามเจนเนอเรชันและข้ามอุตสาหกรรม โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ พาโปรเจกต์นี้ออกจากกรอบของคอนเสิร์ต และเข้าสู่ระดับของแพลตฟอร์ม ที่สร้างผลลัพธ์ทั้งในเชิงวัฒนธรรม การตลาด และคอมมูนิตี้

ไม่ใช่ทุกคนจะเลือกเส้นทางแบบนี้ แต่ใครที่กล้าคิดแบบ Entrepreneur และมองไกลพอจะเห็นว่า ดนตรีก็เป็นแพลตฟอร์มได้ และศิลปินก็เป็นผู้สร้างระบบนิเวศของตนเองได้เช่นกัน


  •  
  •  
  •  
  •  
  •