ABAC Poll ทำสำรวจพฤติกรรมการติดตามข่าวสาร ของ New Gen หรือ คนรุ่นใหม่ที่มีเงิน กับการวางแผนชีวิตและการเงินในสภาวะเศรษฐกิจถดถอย
โดยสำรวจจากตัวอย่างผู้มีรายได้ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อายุระหว่าง 30 – 49 ปี จำนวนทั้งสิ้น 447 ราย เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2551 ถึง 18 มกราคม 2552
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุน ของกลุ่มที่มีรายได้ 75,000 บาท/เดือน
- โทรทัศน์ 73.3%
- หนังสือพิมพ์ 65.5%
- อินเทอร์เน็ต 40%
ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการลงทุน ของกลุ่มที่มีรายได้เกิน 105,000 [าท/เดือน
- หนังสือพิมพ์ 72.3%
- โทรทัศน์ 65.2%
- อินเทอร์เน็ต 40%
ติดตามข่าวสารทั่วไป
- อินเทอร์เน็ต 41.9%
- วิทยุ 3.4%
- เคเบิลทีวี และทีวีดาวเทียม 14.2%
- นิตยสาร 13.5%
- แผ่นพับ โบรชัวร์ 6.3%
การออมเงิน
- 67.6% มีการจัดสรรรายได้ไว้บางส่วนเพื่อการออมและการลงทุน
- 17.7%จัดสรรรายได้บางส่วนไว้เพื่อการออมเพียงอย่างเดียว
- 6.3% มีการจัดสรร รายได้ไว้เพื่อการลงทุนเพียงอย่างเดียว
- 8.4% ใช้จ่ายโดยไม่มีเงินเดือนเหลือเก็บออม
เมื่อต้องการตัดสินใจใช้เงิน
- 80.8% จะเห็น “ความจำเป็น” และ “ประโยชน์” ก่อนจึงตัดสินใจใช้เงิน
- 9.7% จะรอให้ราคาลดลงแล้วตัดสินใจ
- 6.6% จะตัดสินใจทันทีที่ต้องการ
- 2.9% จะเปรียบเทียบราคาก่อน และขึ้นอยู่กับความพร้อม
เมื่อสอบถามถึงสัดส่วนของรายรับและรายจ่ายในแต่ละเดือน
- 70.8% ระบุมีรายจ่ายน้อยกว่ารายรับ
- 16.3% ระบุรายจ่ายเท่ากับรายรับ
- 12.9% ระบุรายจ่ายมากกว่า รายรับ
เมื่อสอบถามที่ถึง สิ่งที่เป็นห่วง
- 65.5% ระบุว่า สถานการณ์การเมืองภายใน ประเทศเป็นปัจจัยที่ส่งผล ทำให้กังวลต่อฐานะทางการเงินระดับมาก
- 64.6% ระบุว่า เป็นเพราะ สภาวะเศรษฐกิจโลก
- 39.9% ระบุว่า เป็นราคา สินค้าอุปโภค บริโภค
- 37.8% ระบุหน้าที่การงานไม่แน่นอน
- 37.2% ระบุราคาน้ำมัน
- 32.0% ระบุอัตราดอกเบี้ย
- 27.0% ระบุอัตราเงินเฟ้อที่เป็นปัจจัยทำให้ กังวลต่อฐานะทางการเงินระดับมากถึงมากที่สุด
เงินสำรอง
- 53.4% ระบุระยะเวลาของเงินสดที่เก็บสำรองไว้จะหมดไป ในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี หากเกิดเหตุฉุกเฉินไม่คาดฝันขึ้น เช่น ตกงาน เจ็บป่วย คนในครอบครัวเสียชีวิต เป็นต้นใน
- 42.5% ระบุมากกว่า 1 ปีขึ้นไปที่เงินเก็บสำรองไว้จะหมดไป
- 4.1% ระบุยังไม่มีเงินเก็บสำรองไว้ สำหรับเหตุฉุกเฉินไม่คาดฝัน
รูปแบบการวางแผน การเงิน
- 52.5% สนใจต่อรูปแบบการวางแผน ทางการเงินด้วยการออมเงินฝากกับธนาคาร
- 45.5% วางแผน ทางการเงิน เพื่อการศึกษาของ บุตร
- 41.3% วางแผนการเงินเพื่อวัยเกษียณ
- 34.0% วางแผนการเงินในรูปแบบประกันชีวิต
- 29.9% วางแผนการเงิน เพื่อที่อยู่อาศัย
- 23.1% สนใจลงทุนผ่าน กองทุนรวม
- 21.6% สนใจซื้อทองคำ เพชร และสังหาริมทรัพย์
- 65.1% สนใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เช่น ซื้อหุ้น
- 56.5% สนใจซื้อ พันธบัตรรัฐบาล
ระดับการศึกษาที่ตั้งใจจะสนับสนุนด้านการเงินให้แก่บุตร
- 76.0% จะให้บุตรเรียนจบสูงกว่าปริญญาตรี คือปริญญาโท และเอก
- 23.7% สนับสนุนการเงินให้เรียนจบระดับปริญญาตรี
- 0.3% สนับสนุนบุตรของตนให้เรียนจบ ต่ำกว่าปริญญาตรี
- 57.4% ตั้งใจจะสนับสนุนด้านการเงินให้บุตรได้ศึกษาชั้นสูงสุดในสถาบันการศึกษาภายในประเทศ
- 42.6% สนับสนุนให้บุตรศึกษาในต่างประเทศ
ความตั้งใจในการวางแผนทางการเงินเพื่อชีวิตในอนาคตนั้น
- 81.1% มีความตั้งใจ
- 17.8% ตั้งใจระดับปานกลาง
- 1.1% ตั้งใจในการ วางแผนทางการเงินเพื่อชีวิตในอนาคต
รายได้ต่อเดือนที่คาดหวังหลังเกษียณอายุการทำงาน
- 47.9% คาดหวังจะมีรายได้ต่อเดือนหลังการเกษียณ อายุการทำงานมากกว่า 50,000 บาทขึ้นไป
- 44.5% คาดหวังรายได้ต่อเดือน ระหว่าง 10,001 – 50,000 บาท
- 7.6% ที่คาดหวังไว้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน
ผอ.ศูนย์วิจัยฯ กล่าวว่า ผลวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มคนมีรายได้สูงรุ่นใหม่อายุระหว่าง 30 – 49 ปีเหล่านี้ ส่วนใหญ่ค่อนข้าง มีการวางแผนใช้จ่ายเงินอย่างรัดกุม มีความระมัดระวังในการใช้เงินที่ต้องเห็นถึง “ความจำเป็นและ ประโยชน์” ก่อนตัดสินใจมีรายรับมากกว่า รายจ่าย มีพฤติกรรมเก็บออมเงินสดของตนไว้กับธนาคารมากที่สุด โดยมีเพียง ส่วนน้อยที่นำไปลงทุนในรูปแบบอื่นๆ ผลสำรวจที่ค้นพบเช่น นี้อาจมองปัจจัยได้อย่างน้อยสามด้านคือ
ด้านที่หนึ่ง ธนาคารและสถาบันการเงินยังคงเป็นองค์กรที่ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนคนที่มีรายได้สูงกลุ่มนี้ อยู่เพราะเห็นว่ามี ความเสี่ยงต่ำจึงนำเงินไปเก็บออมไว้แม้อัตราดอกเบี้ยที่จะได้รับต่ำมากก็ตาม
ด้านที่สอง สถานการณ์การเมืองภายในประเทศขณะนี้และสภาวะเศรษฐกิจโลกในยุควิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ทำให้ คนกลุ่มนี้มีความ กังวลสูงต่อฐานะการเงินของตน ทำให้ไม่กล้านำเงินสดออกมาลงทุนในรูปแบบอื่นๆ
ด้านที่สาม คนกลุ่มนี้อาจยังไม่มีข้อมูลที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นได้มากเพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลและ องค์กร ที่เกี่ยวข้อง กับ การสร้างความเชื่อมั่นในผลตอบแทนการลงทุนยังทำงานได้ไม่ตรงใจของกลุ่มคนที่ถูกศึกษาครั้งนี้ ในการชี้แนะพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ ทางการเงินในการบริหารความเสี่ยงในการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพจนทำให้คนที่มีเงินเหล่านี้โยกย้ายเม็ดเงินที่ฝากไว้ในธนาคารให้เข้าสู่ระบบการลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนที่จะงอกเงยในอนาคต
Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์