หากคุณย้อนกลับไปคิดถึงช่วงอายุยี่สิบต้น ๆ หลายคนคงนึกถึงช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสนุก ตื่นเต้น และการค้นหาตัวเอง แต่สำหรับคนรุ่น Gen Z ในยุคนี้แล้ว ความรู้สึกแบบนั้นกลับดูห่างไกลจากความเป็นจริง เพราะพวกเขากำลังเผชิญกับ “วิกฤตความสุข” ที่ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิต
จากรายงาน Global Flourishing Study โดยมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและมหาวิทยาลัยเบย์เลอร์ ซึ่งสำรวจคนหนุ่มสาวกว่า 200,000 คน ใน 22 ประเทศ พบว่ากลุ่มอายุ 18-29 ปี คือกลุ่มที่มีระดับความสุขต่ำที่สุดในประวัติการณ์ และหลายคนรู้สึกว่า “ความสุข” เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้อีกต่อไป
แม้ไม่ใช่แค่ Gen Z ที่เจอปัญหา แต่พวกเขาคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบชัดเจนที่สุด งานวิจัยของ American Psychological Association ยังพบว่า มากกว่า 90% ของ Gen Z เคยมีอาการเครียด ทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขากลับเป็นกลุ่มที่พูดคุยน้อยที่สุดเกี่ยวกับความเครียด เพราะไม่อยากเป็นภาระให้กับคนรอบข้าง
แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คนรุ่นนี้ “ไม่เจอความสุข”? ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต 3 คน ได้วิเคราะห์และให้มุมมองที่น่าสนใจดังนี้:
#1 ต้องสมบูรณ์แบบตลอดเวลา (To Be 100% All The Time)
ดร.เคลซีย์ เอ็ม. ลาติเมอร์ นักจิตวิทยาและผู้ก่อตั้ง KML Psychological Services เผยว่า คนรุ่นนี้ (Gen Z) เติบโตมากับแรงกดดันที่ต้อง “เก่งรอบด้าน” ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียน การเข้าสังคม หรือการเตรียมตัวเข้าสู่อนาคตอย่างมั่นคง
จากข้อมูลของ Gallup พบว่า เกือบ 1 ใน 3 ของ Gen Z เชื่อว่าตนเองต้องเป็น “คนสมบูรณ์แบบ” โดยเฉพาะในกลุ่มผู้หญิงที่มีสัดส่วนสูงถึง 40% เทียบกับผู้ชายที่ 26%
#2 รู้สึกว่าต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา (Always Need To Evolve)
ลินน์ ซาเครี ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตจาก Lynn Zakeri LCSW Clinical Services อธิบายว่า Gen Z ต้องแบกรับความคาดหวังมากมาย ทั้งการมีอารมณ์ที่มั่นคง ความเข้าใจทางสังคม การสร้างตัวตนในโลกดิจิทัล และการพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดพัก โดยไม่มีเวลาให้ “แค่อยู่เฉย ๆ”
ซาเครี มองว่า สังคมในปัจจุบันให้คุณค่าเรื่อง “นวัตกรรม” มากกว่า “การหยุดคิดและเข้าใจตัวเอง” และสิ่งนี้เองที่ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกเหนื่อยล้าและหลงทาง
อย่างไรก็ตาม ซาเครี คิดว่า บางทีอาจมีวิธีที่เราสามารถสร้างพื้นที่สําหรับสร้างทั้งประสิทธิภาพการทํางานและสุขภาพส่วนบุคคลภายในสถานที่ทํางานได้
#3 เสพติดการยืนยันตัวตนผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media And Immediate Validation Are Addictive)
ดาเรน บาเนอเซ่ นักจิตบำบัดในลอนดอน ให้ความเห็นว่า คนรุ่นใหม่จำนวนมากไม่สามารถ “อยู่กับความไม่สบายใจ” ได้ และเกิดความตื่นตระหนกเมื่อไม่ได้เชื่อมต่อโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่แบตโทรศัพท์หมด หรือ Instagram ล่ม
อาการเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับการใช้สมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2012 ซึ่ง ดร.จีน ทเวนจ์ เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในปี 2017 ว่า มีผลเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของความเหงาในคนรุ่นใหม่
ปัจจุบัน งานวิจัยจาก McKinsey Health Institute ก็ยืนยันว่า โซเชียลมีเดียมีผลโดยตรงต่อภาพลักษณ์ของตัวเองและความรู้สึกมีคุณค่าในหมู่เยาวชน
ถึงเวลาสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ Gen Z
แม้สถานการณ์อาจเปลี่ยนไปตามช่วงวัยหรือความมั่นคงในชีวิตที่เพิ่มขึ้น แต่ในฐานะผู้นำองค์กร เราสามารถเริ่มเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่วันนี้ ด้วยการสร้างวัฒนธรรมในที่ทำงานที่เปิดกว้าง ปลอดภัย และให้คนรุ่นใหม่ได้นำ “ตัวตนทั้งหมด” เข้ามาทำงานได้ แม้ในวันที่พวกเขาอาจยังหาความสุขไม่เจอ
เพราะเมื่อ Gen Z รู้ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้อง “แสดงว่ามีความสุขตลอดเวลา” พวกเขาก็อาจเริ่มพบเจอ “ความสุขที่แท้จริง” ได้จากการเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
วิธีสร้างพื้นที่แห่งความสุขสำหรับพนักงาน Gen Z ในที่ทำงาน
จากประเด็นที่ Gen Z กำลังประสบปัญหาในการค้นหาความสุข มีหลายวิธีที่องค์กรสามารถช่วยให้พนักงาน Gen Z มีความสุขในที่ทำงานมากขึ้น ดังนี้:
-
สร้างความหมายและเป้าหมายในงาน
- ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบของงานที่พนักงานทำต่อสังคมและโลก
- เชื่อมโยงงานประจำวันกับค่านิยมและพันธกิจขององค์กร
- มอบโอกาสให้มีส่วนร่วมในโครงการที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม
-
สร้างสมดุลชีวิตการทำงานที่ดี
- เสนอตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นและการทำงานทางไกล
- เคารพเวลาส่วนตัวและขอบเขตระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัว
- ส่งเสริมการใช้วันลาพักผ่อนและวันหยุดอย่างเต็มที่
-
สนับสนุนสุขภาพจิต
- จัดสวัสดิการด้านสุขภาพจิตที่เข้าถึงได้ง่าย
- สร้างวัฒนธรรมที่เปิดกว้างในการพูดคุยเรื่องสุขภาพจิต
- จัดกิจกรรมลดความเครียด เช่น การนั่งสมาธิ หรือการออกกำลังกายในที่ทำงาน
-
สร้างโอกาสในการเติบโตและพัฒนา
- เสนอการฝึกอบรมและการพัฒนาทักษะอย่างสม่ำเสมอ
- สร้างเส้นทางอาชีพที่ชัดเจนพร้อมโอกาสก้าวหน้า
- ให้ข้อมูลย้อนกลับที่สร้างสรรค์และสม่ำเสมอ
-
สร้างความรู้สึกเป็นชุมชนและการมีส่วนร่วม
- จัดกิจกรรมสร้างทีมและงานสังสรรค์
- สร้างพื้นที่ทำงานร่วมกันที่ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์
- รับฟังและนำความคิดเห็นของพนักงานไปปฏิบัติจริง
-
ยอมรับในความหลากหลายและการมีส่วนร่วม
- ส่งเสริมวัฒนธรรมที่เคารพความแตกต่างและความหลากหลาย
- สร้างนโยบายที่ครอบคลุมและเป็นธรรม
- ให้ทุกคนรู้สึกว่าได้รับการเห็นคุณค่าและได้รับการยอมรับ
-
ใช้เทคโนโลยีอย่างสมดุล
- นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแต่ไม่เพิ่มความเครียด
- สร้างแนวทางการสื่อสารที่ชัดเจนเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกต้องตอบสนองตลอด 24 ชั่วโมง
- ส่งเสริม “digital detox” เป็นครั้งคราว
-
ให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่าเวลาทำงาน
- วัดผลงานจากผลลัพธ์ไม่ใช่จำนวนชั่วโมงที่ใช้
- ให้อิสระในการจัดการเวลาและวิธีการทำงาน
- สร้างเป้าหมายที่ชัดเจนแต่ให้อิสระในวิธีการบรรลุเป้าหมาย
การนำแนวทางเหล่านี้มาปรับใช้จะช่วยให้พนักงาน Gen Z รู้สึกได้รับการสนับสนุน เข้าใจ และมีความสุขมากขึ้นในที่ทำงาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งพนักงานและองค์กรในระยะยาว
Source