ถอดรหัส AI ในมือเด็กไทย: เมื่อ ‘ความห่วงใย’ และ ‘ความเข้าใจ’ กลายเป็นกลไกเปลี่ยนโลก

  • 31
  •  
  •  
  •  
  •  

ใครว่าการสร้าง AI เป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น? วันนี้เราจะพาไปพิสูจน์ว่าแม้แต่นักเรียนที่ไม่มีพื้นฐาน หรือมีความบกพร่องทางการได้ยิน ก็สามารถสร้างนวัตกรรม AI ที่ตอบโจทย์สังคมได้อย่างน่าทึ่ง

 

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กลายเป็น ‘oxygen’ ของชีวิตยุคดิจิทัล หลายคนอาจคิดว่าการสร้างสรรค์นวัตกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องไกลตัวสำหรับเยาวชนไทย แต่เบื้องหลังความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง บางครั้งอาจไม่ได้เริ่มจากความรู้เชิงเทคนิคขั้นสูง แต่อยู่ที่ ‘ความรู้สึก’ และ ‘ความเข้าใจ’ ในปัญหาของคนรอบตัว

 

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) กับบทบาทการขับเคลื่อน Coding Thailand เริ่มต้นตั้งแต่ปี 2560 ด้วยเป้าหมายเยาวชนไทยควรมีทักษะ Coding รองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในอนาคต เริ่มจากพัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน Coding ในโรงเรียน ยกระดับทักษะครู สู่การเป็นโค้ชถ่ายทอดทักษะนักเรียนรุ่นต่อรุ่น ล่าสุดในปี 2567 สร้างปรากฏการณ์ใหม่ “Coding War” กิจกรรมแข่งขันโค้ดดิ้งครั้งประวัติศาสตร์ของไทย ภายใต้โครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย เวทีที่เปิดโอกาสให้เยาวชนไทยได้พิสูจน์ว่า เทคโนโลยีไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในวงการธุรกิจหรือวิศวกรรม แต่เป็น “พื้นที่ปลดล็อกศักยภาพ” ที่สะท้อนโฉมหน้าใหม่แห่งนวัตกรรม ที่ไม่ได้เริ่มต้นจากโจทย์ทางธุรกิจ แต่เกิดจาก ‘ความห่วงใย’ ในคนใกล้ชิด และ ‘ความเข้าใจ’ ในปัญหาของชุมชนอย่างลึกซึ้ง นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวคิด “Tech for Good” ที่เทคโนโลยีไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อผลกำไร แต่เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างสังคมที่เท่าเทียม ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของนโยบาย Thailand 4.0 ที่มุ่งสร้างเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า (Value-Based Economy) และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ต่อเนื่องในปีนี้ depa ลุยต่อใน โครงการ “Coding Thailand 2025: AI – Driven Future” Coding เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือการประยุกต์ใช้ AI สร้างความท้าทายไปอีกขั้น

 

Marketing Oops! วันนี้จะพามาเจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จของสองทีมผู้สร้างสรรค์ ได้ร่วมแข่งขัน โครงการ Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย จากสองรั้วโรงเรียนที่ผลงานมีจุดเริ่มต้นแตกต่างกัน แต่มีปลายทางแห่งความภาคภูมิใจเดียวกัน เพื่อพิสูจน์ว่าพลังของ AI ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อาจไม่ได้อยู่ที่ความซับซ้อนของอัลกอริทึม แต่อยู่ที่ ‘หัวใจ’ ของผู้สร้าง เบื้องหลังความสำเร็จของทีม “หลานม่าบ๊อกซ์” จากสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน และทีม ” Finger spelling trainer for hearing Impaired students using AI ” จากโรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ ที่พิสูจน์แล้วว่า “เมื่อไอเดียดี ๆ พบกับพื้นที่ที่เหมาะสม ความฝันเล็ก ๆ ก็สร้างพลังที่ยิ่งใหญ่ได้!”

 

 

จากเหตุการณ์ “อาม่าล้ม” สู่ AI ที่ช่วยชีวิตผู้สูงอายุทั่วประเทศ

เรื่องราวแรกมาจากทีม “หลานม่าบ๊อกซ์” โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ที่คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ระดับมัธยมศึกษา

นายอภิรัฐ อังคะบุตร หรือครูพีค ครูที่ปรึกษา เล่าถึงจุดเริ่มต้นว่า “ผมเห็นประกาศโครงการผ่านโซเชียลมีเดีย ในฐานะครูสอนเทคโนโลยี ผมเล็งเห็นว่านี่คือโอกาสที่จะผลักดันให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะที่มีอยู่ พวกเขามีพื้นฐาน Python และ Microcontroller อยู่บ้าง ผมเลยชวนมาลองดู”

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดนวัตกรรมชิ้นนี้ มาจากประสบการณ์ส่วนตัวของสมาชิกในทีม “วันนั้นอาม่าของหนึ่งในสมาชิกทีมล้มในช่วงที่ไม่มีใครอยู่บ้าน ทำให้อาการทรุดหนักลง” ครูพีคเล่า “เหตุการณ์นี้กลายเป็นแรงผลักดันให้พวกเขาอยากสร้างเทคโนโลยีที่มาช่วยแก้ปัญหานี้”

อาม่าบ๊อกซ์

อาม่าบ๊อกซ์: นวัตกรรมที่เกิดจากความห่วงใย

ผลงาน “อาม่าบ๊อกซ์” คือระบบ AI ที่ทำงานร่วมกับกล้องวงจรปิดเพื่อเฝ้าระวังและวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้สูงอายุที่ต้องอยู่บ้านตามลำพัง แต่ความอัจฉริยะของมันไม่ใช่แค่การตรวจจับเมื่อ ‘ล้มไปแล้ว’ แต่เป็นการใช้ AI Computer Vision เพื่อเรียนรู้รูปแบบการเคลื่อนไหวปกติ และวิเคราะห์หาความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การล้ม เช่น ท่าทางการนั่งหรือยืนที่ไม่มั่นคง

 

หากระบบตรวจพบความผิดปกติหรือการล้ม “อาม่าบ๊อกซ์” จะส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังบุคคลที่เกี่ยวข้องผ่าน SMS พร้อมระบุตำแหน่งที่ตั้ง เพื่อให้การช่วยเหลือเข้าถึงได้อย่างรวดเร็วและทันท่วงที จากการทดลอง ผลงานชิ้นนี้มีความแม่นยำในการตรวจจับแนวโน้มการล้มสูงถึง 98% ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งและเป็นมากกว่ารางวัลที่ได้รับ เพราะมันคือการสร้าง ‘ผู้พิทักษ์อัจฉริยะ’ ที่เกิดจากความรักและความห่วงใยอย่างแท้จริง

 

จุดเด่นของระบบ:

  • ตรวจจับแนวโน้มการล้มได้แม่นยำถึง 98%
  • ส่งสัญญาณแจ้งเตือนผ่าน SMS พร้อมระบุตำแหน่ง
  • แจ้งเตือนไปยังญาติ หน่วยกู้ภัย หรือ รปภ. หมู่บ้านได้ทันที

 

“อุปสรรคใหญ่คือตอนทำ Prototype บางครั้ง Code รันไม่ได้ Flow งานไม่เสร็จ เด็ก ๆ เริ่มเครียด” ครูพีคเล่าถึงความท้าทาย “แต่สิ่งที่ทำให้ผ่านมาได้คือการสื่อสารกันในทีม การเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญใน Workshop และการวางแผนที่เป็นระบบมากขึ้น”

 

เมื่อ “ความบกพร่อง” กลายเป็น “แรงบันดาลใจ” สู่เวทีนานาชาติ

อีกหนึ่งเรื่องราวที่พิสูจน์พลังของเทคโนโลยีในการสร้างความเท่าเทียมจาก โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์ โรงเรียนสอนคนหูหนวกแห่งแรกของประเทศไทย กับผลงาน “Finger spelling trainer for hearing Impaired students using AI” ที่คว้ารางวัลชนะเลิศ

นายวศิน แสงสิน หรือ ครูแบงค์ ครูผู้สอนวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า “เด็กในทีมของผมเป็นเด็กหูหนวกทั้งหมดและเริ่มจากศูนย์กันเลย ต้องมาเรียนรู้เรื่อง Coding ภาษาซีตั้งแต่ต้น” ความท้าทายของทีมนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เพราะสมาชิกทุกคนเป็นนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน และเริ่มต้นเรียนรู้การเขียนโค้ดจากศูนย์ แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือ พวกเขาเปลี่ยนข้อจำกัดของตัวเองให้กลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างนวัตกรรมเพื่อชุมชนของตนเอง

 

สื่อสารไม่ง่าย แต่ศรัทธาไม่เคยหาย

การสอนเด็กหูหนวกให้เขียนโค้ดมีความซับซ้อนมาก เพราะการสื่อสารด้วยภาษามือมีข้อจำกัด นักเรียนต้องอาศัยความจำและความตั้งใจอย่างสูง

“เราเริ่มจากโจทย์ง่าย ๆ ว่าจะทำอย่างไรให้ช่วยเหลือคนหูหนวกในการสื่อสาร” ครูแบงค์อธิบาย “ไม่ว่าจะฟัง พูด อ่าน เขียน ทุกอย่างต้องเริ่มจากการ ‘สะกด’ ให้ได้ก่อน”

โจทย์ของโครงการไม่ได้มาจากที่ไหนไกล แต่มาจากปัญหาที่พวกเขาและเพื่อน ๆ ประสบอยู่ทุกวัน ทีมได้ร่วมกันคิดและค้นพบ Insight ที่ลึกซึ้งว่า “ไม่ว่าจะฟัง พูด อ่าน เขียน ทุกอย่างต้องเริ่มจากการ ‘สะกด’ ให้ได้ก่อน” ซึ่งนี่คือหัวใจของปัญหาการเรียนรู้ของผู้บกพร่องทางการได้ยินในไทย สำหรับหลายคน ภาษามือคือภาษาแรก การเรียนรู้ภาษาเขียนจึงเปรียบเสมือนการเรียนภาษาที่สอง ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เยาวชนผู้บกพร่องทางการได้ยินจำนวนมากเข้าไม่ถึงการศึกษาระดับสูง โดยมีเพียง 2% เท่านั้นที่เรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย และน้อยกว่านั้นในระดับอุดมศึกษา

 

นวัตกรรมเพื่อความเท่าเทียม สู่เวทีระดับโลก

“Finger spelling trainer for hearing Impaired students using AI” คือโปรแกรมที่ใช้ AI ช่วยฝึกฝนการสะกดคำด้วยภาษามือ โดยแปลงท่าทางของนิ้วมือให้เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษแต่ละตัวอย่างแม่นยำ เทคโนโลยีนี้ทำหน้าที่เสมือน ‘ครูฝึกส่วนตัว’ ที่อดทนและพร้อมให้ความช่วยเหลือตลอดเวลา เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกฝนทักษะการสะกดคำ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ด้วยตนเอง

ความทุ่มเทของทีมไม่เพียงแต่ทำให้คว้ารางวัลชนะเลิศจากโครงการ “Coding for Better Life สร้างรากฐานอนาคตประเทศไทย” แต่ยังก้าวไปสู่การยอมรับในระดับสากล โดยได้รับเลือกให้ไปจัดแสดงผลงานในเวที Seoul International Invention Fair (SIIF) 2024 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งเป็นงานแสดงสิ่งประดิษฐ์ระดับโลกที่ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ความสำเร็จนี้คือข้อพิสูจน์ว่าข้อจำกัดทางกายภาพไม่ใช่อุปสรรคต่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่

 

ผลลัพธ์ที่น่าภาคภูมิใจ:

  • คว้ารางวัลชนะเลิศระดับประเทศ
  • ได้รับเชิญไปจัดแสดงที่ Seoul International Invention Fair (SIIF) 2024
  • สร้างแรงบันดาลใจให้นักเรียนหูหนวกทั่วประเทศ

“เด็กๆ ภูมิใจมากที่พัฒนาโปรเจคนี้ได้” ครูแบงค์เล่าด้วยความปลื้มใจ “การได้ไปแสดงผลงานบนเวทีนานาชาติทำให้พวกเขาเห็นว่า ความบกพร่องไม่ใช่อุปสรรค หากแต่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรม”

 

ถอดรหัสเบื้องหลังความสำเร็จ: ระบบนิเวศสร้างนักนวัตกรรมไทย

ความสำเร็จของทั้งสองทีมไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลผลิตของระบบนิเวศการเรียนรู้ที่ครบเครื่อง เวทีการแข่งขันเป็นส่วนหนึ่งของกลไก ที่สร้างกระบวนการเรียนรู้ที่สมบูรณ์และตามที่เกริ่นไปข้างต้นถึง โครงการ “Coding Thailand 2025: AI – Driven Future” ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ครอบคลุมการเรียนรู้ Coding ทั้งระบบนิเวศ ตั้งแต่การให้ความรู้ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ (Online Platform), การจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเข้มข้น (Coding & AI Acceleration) 8 ครั้ง ทั่วประเทศ, การแข่งขันนวัตกรรมดิจิทัลระดับภูมิภาค (Regional Coding & AI Competition) 8 ครั้ง ทั่วประเทศ ไปจนถึงเวทีแข่งขันนวัตกรรมดิจิทัลระดับชาติ (National Coding & AI Competition) เพื่อสร้างกำลังคนดิจิทัลและแก้ไขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรในระยะยาว เปลี่ยนบทบาทของครูได้จาก ‘ผู้สอน’ มาเป็น ‘ผู้นำกระบวนการเรียนรู้’ (Facilitator) ที่คอยชี้แนะ ตั้งคำถาม และสนับสนุนให้นักเรียนได้ค้นพบศักยภาพของตนเอง ดังที่ครูอภิรัฐกล่าวไว้ว่า “หากเรามีกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับเด็ก มีอุปกรณ์ที่พร้อม ก็สามารถพัฒนาเด็กคนหนึ่งให้สร้าง AI ได้ครับ”

 

โดยจากการวิเคราะห์ความสำเร็จของทั้งสองทีม พบว่า “เด็กธรรมดา” เหล่านี้มี 5 องค์ประกอบร่วมที่ทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้จริง ได้แก่

  1. เริ่มจากปัญหาใกล้ตัว ทั้ง อาม่าบ๊อกซ์ ที่เริ่มจากเหตุการณ์อาม่าล้ม และ Finger spelling trainer for hearing Impaired students using AI ที่เกิดจากความต้องการช่วยเหลือเพื่อนหูหนวก ต่างเริ่มต้นจากปัญหาที่พวกเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
  2. มีครูที่ปรึกษาที่เชื่อมั่นในศักยภาพ ทั้งครูพีคและครูแบงค์ต่างเป็นผู้ที่กล้าพานักเรียนออกมาเรียนรู้ แม้จะไม่มีพื้นฐานหรือมีข้อจำกัด
  3. กลไกกระตุ้นการเพิ่มทักษะ Coding ที่ออกแบบมาอย่างดี Coding Thailand มีการดำเนินงานต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่เพียงส่งเสริมการให้ทักษะเยาวชน บุคลากรทางการศึกษาเท่านั้น แต่พัฒนากลไกขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาสื่อการสอน การให้ความรู้ ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม และก็บ่มเพาะบุคลากรผู้ถ่ายถอดความรู้ ที่เหมาะสมตอบโจทย์ตามช่วงเวลานั้น ๆ เป็นการดำเนินโครงการต่อเนื่องที่ไม่หยุดนิ่งเพื่อให้แต่ละปีเป็นการดำเนินงานที่มีศักยภาพสูงสุด
  4. การทำงานเป็นทีม ทั้ง 2 ทีมผ่านอุปสรรคมาได้ด้วยการสื่อสาร การวางแผน และการช่วยเหลือกันในทีม
  5. แรงบันดาลใจที่แข็งแกร่ง การมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาให้คนที่พวกเขารัก ทำให้ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค

 

จากห้องเรียนเล็ก ๆ สู่เวทีนานาชาติ

เรื่องราวของ อาม่าบ๊อกซ์ และ Finger spelling trainer for hearing Impaired students using AI ไม่ใช่แค่เรื่องราวความสำเร็จระดับโรงเรียน แต่คือภาพจำลองของ ยุทธศาสตร์ชาติ Thailand 4.0 ที่กำลังเกิดขึ้นจริง เยาวชนเหล่านี้กำลังพัฒนาทักษะด้าน AI, IoT และนวัตกรรมดิจิทัล ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเทศต้องการอย่างเร่งด่วนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและรับมือกับโลกอนาคตที่ AI จะเข้ามามีบทบาทในทุกมิติ

การเข้าร่วมโครงการลักษณะนี้ยังส่งผลกระทบระยะยาวต่อเส้นทางอาชีพของเยาวชน ผลการวิจัยชี้ว่านักเรียนที่เข้าร่วมการแข่งขัน STEM มีแนวโน้มที่จะสนใจและเลือกประกอบอาชีพในสายงานนี้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คำยืนยันจากครูอภิรัฐที่ว่านักเรียนในทีมของท่านต่างมุ่งมั่นที่จะเรียนต่อด้านวิศวกรรมศาสตร์และ AI คือหลักฐานที่ชัดเจนที่สุด โครงการเหล่านี้จึงเป็นมากกว่าการแข่งขัน แต่คือการสร้าง ‘ท่อส่ง’ บุคลากรคุณภาพเข้าสู่อุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศ

 

“อยากให้คุณครู และโรงเรียนต่าง ๆ กล้าที่จะพานักเรียนออกมาเรียนรู้ และเข้าร่วมการแข่งขัน ถึงแม้โรงเรียนเราจะไม่ใช่โรงเรียนใหญ่ หรือนักเรียนไม่มีพื้นฐาน ผมอยากให้มองว่านี่คือ ‘โอกาส’ ที่จะให้นักเรียนของเราได้เรียนรู้ และเก็บประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่” อภิรัฐ อังคะบุตร กล่าว

“อยากให้ครูและนักเรียนในประเทศไทยพาเด็กมาเรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ กัน เพราะเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้งานได้จริง และจะช่วยพัฒนาประเทศของเราได้ครับ” วศิน แสงสิน (ครูแบงค์) กล่าว

คำกล่าวทิ้งท้ายของครูทั้งสองท่านนั้นคือบทพิสูจน์ว่าพลังแห่งการสร้างสรรค์อยู่ในมือของทุกคน ขอเพียงมีความกล้าที่จะเริ่มต้นและมีเครื่องมือที่ใช่ ไม่ว่าไอเดียของคุณจะเล็กหรือใหญ่ มันสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้เสมอ คำว่า “เราเด็กธรรมดา ก็สร้าง AI ได้” ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง

 

เปิดประตูสู่อนาคตของคุณ

 เรื่องราวของ อาม่าบ๊อกซ์ และ Finger spelling trainer for hearing Impaired students using AI พิสูจน์แล้วว่า ไม่ว่าคุณจะมาจากโรงเรียนไหน มีพื้นฐานอย่างไร หรือแม้กระทั่งมีข้อจำกัดทางร่างกาย ทุกคนสามารถเป็นนักสร้างนวัตกรรมได้

โครงการ Coding Thailand 2025 : AI-Driven Future พร้อมมอบโอกาสให้เยาวชนไทยได้เรียนรู้ทักษะ Coding และ AI จากผู้เชี่ยวชาญ พร้อมอุปกรณ์และการสนับสนุนแบบเต็มรูปแบบ

 

ถ้าเด็กหูหนวกสามารถพัฒนา AI จนได้ไปเวทีนานาชาติ ถ้านักเรียนธรรมดาสามารถสร้างนวัตกรรมช่วยเหลือผู้สูงอายุ แล้วคุณล่ะ?

 

สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติม

เว็บไซต์ https://www.depa.or.th/th/CodingThailand และ Facebook : Coding Thailand by depa


  • 31
  •  
  •  
  •  
  •