เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมที่ผ่านมากระทรวงการคลังประกาศมาตรการภาษีใหม่ที่จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งภาคธุรกิจและชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคน นั่นคือแนวคิดเรื่อง “Negative Income Tax” หรือ “ภาษีเงินได้แบบติดลบ” ที่ตั้งเป้าจะเริ่มใช้จริงในปี 2570 นี้
จากเดิมที่การยื่นภาษีเป็นเรื่องของคนมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด แต่เมื่อนโยบายนี้ประกาศใช้จริง ทุกคนจะต้องยื่นภาษี เพื่อให้รัฐสามารถดูแลและจัดสรรสวัสดิการได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น ดังนั้นบทความนี้ Marketing Oops! ไปสรุปข้อมูลมาให้อ่านกันว่าแนวคิดนี้คืออะไร ทำไมไทยถึงต้องใช้ และเราในฐานะคนทำงานและนักธุรกิจต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
Negative Income Tax คืออะไร?
หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับระบบภาษีเงินได้ทั่วไปที่ว่า “ยิ่งรายได้เยอะ ยิ่งเสียภาษีเยอะ” เป็นขั้นบันไดไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่มีรายได้ หรือรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ที่กำหนดก็ไม่ต้องเสียภาษี นี่คือหลักการพื้นฐาน
แต่แนวคิดของ Negative Income Tax หรือ NIT นั้นแตกต่างออกไปเพราะ NIT ซึ่งถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรกโดย มิลตัน ฟรีดแมน (Milton Friedman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ตั้งแต่ปี 1962 หรือกว่า 60 ปีที่แล้ว มีหลักการคือ ถ้าหากรายได้ของคุณน้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ หรือพูดง่ายๆ ว่าไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต รัฐควรจะโอนเงินมาเติมให้ นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า “ภาษีเงินได้แบบติดลบ” หรือ “Negative Income Tax” นั่นเอง
กลไกหลักของ NIT มี 2 ส่วนสำคัญคือ
1.เกณฑ์เงินได้ขั้นต่ำ (Income Threshold) เป็นเส้นแบ่งว่า หากรายได้ของคุณต่ำกว่าเกณฑ์นี้ คุณจะได้รับเงินช่วยเหลือจากภาครัฐ
2.อัตราการชดเชย (Rate of Subsidy) คือจำนวนเงินที่รัฐจะช่วยเหลือ โดยจะคำนวณจากส่วนต่างของรายได้คุณที่ต่ำกว่าเกณฑ์นั้นๆ ตัวอย่างเช่น หากรัฐกำหนดเกณฑ์รายได้ขั้นต่ำ 100,000 บาทต่อปี และอัตราชดเชย 50% ก็หมายความว่าถ้าคุณมีรายได้ 60,000 บาท คุณจะได้รับเงินชดเชย 20,000 บาท (50% ของส่วนต่าง 40,000 บาท)
บางประเทศที่นำแนวคิดนี้ไปปรับใช้จะมีการแบ่งอัตราชดเชยเป็น 3 ช่วงก็คือ
- ช่วง Phase-in: ผู้มีรายได้ช่วงนี้จะได้รับเงินสมทบเพิ่มขึ้นเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ทำงานมากขึ้น
- ช่วง Plateau เป็นช่วงที่ได้รับเงินโอนคงที่
- ช่วง Phase-out เป็นช่วงที่รายได้เริ่มเพียงพอ รัฐจะช่วยเหลือในอัตราที่ลดลงจนกระทั่งหยุดให้ความช่วยเหลือ.
ทำไมประเทศไทยถึงต้องใช้ Negative Income Tax?
คำถามสำคัญคือ ทำไมจู่ๆ รัฐบาลไทยถึงต้องนำแนวคิดนี้มาใช้? เหตุผลมีหลายเรื่องที่ล้วนเชื่อมโยงกับปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็น เรื่อง “ปัญหารายได้ภาครัฐถดถอยและภาระรายจ่ายสูง” เพราะในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญผลกระทบหลายด้าน ทำให้เศรษฐกิจขยายตัวช้าลง รายได้ของภาครัฐต่อ GDP ลดลงจาก 18-19% เหลือ 14-15% ขณะที่รายจ่ายภาครัฐกลับเพิ่มขึ้น ทำให้เราขาดดุลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหมายถึงรัฐบาลต้องนำเงินไปจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้น
อีกเรื่องคือปัญหาที่ประเทศไทยเรามี “เศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่” ที่มีสัดส่วนสูงถึง 48.4% ของ GDP หรือกว่า 8.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกและเศรษฐกิจเหล่านี้ไม่ได้ถูกนำมาคิดคำนวนเป็นภาษีสร้างรายได้เข้ารัฐเลย
นั่นเป็นเหุตผลให้ประเทศไทยมี “จำนวนผู้เสียภาษีน้อย” โดยในปัจจุบัน คนไทย 66 ล้านคน มีผู้ยื่นภาษีเงินได้เพียงประมาณ 10 ล้านคนเศษๆ และจ่ายภาษีจริงไม่ถึง 6 ล้านคน เท่ากับว่ามีเพียงประมาณ 6% ของประชากรไทยเท่านั้นที่จ่ายภาษีเงินได้
เหตุผลสำคัญของรัฐบาลที่จะนำนโยบายนี้มาใช้ก็คือมันสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศได้เพราะ NIT เป็นเครื่องมือที่ตรงจุดในการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้มีรายได้เพียงพอต่อการใช้ชีวิต ซึ่งเป็นการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมีคนยื่นภาษีกันมากขึ้นนั่นหมายความว่ารัฐบาลจะสามารถบริหารจัดการสวัสดิการประชาชนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การใช้ NIT จะรวมระบบการหารายได้และการให้ความช่วยเหลือไว้ในระบบเดียว และดึงคนเข้าสู่ระบบภาษีมากขึ้น ซึ่งจะทำให้รัฐมี “ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake)” ที่ครอบคลุมคนไทยกว่า 60.8 ล้านคน และกิจการกว่า 6 แสนแห่ง ข้อมูลที่ครอบคลุมนี้จะช่วยให้รัฐบาลสามารถออกแบบนโยบายและจัดสรรงบประมาณดูแลประชาชนแต่ละกลุ่มและภูมิภาคได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประโยชน์อื่นๆก็จะมีด้วยเช่นการกระตุ้นการทำงาน เพราะ NIT จะเป็นโมเดลที่ไทยกำลังศึกษาอยู่จะคล้ายกับสิงคโปร์และเกาหลีใต้ คือ “จะไม่ช่วยเหลือผู้ที่ไม่มีรายได้เลย” แต่จะช่วยผู้ที่มีรายได้น้อยแต่มีความพยายามหารายได้บ้าง เพื่อกระตุ้นให้คนไม่ “งอมืองอเท้า” และหาทางทำมาหากิน
สุดท้ายคือระบบนี้เป็นสวัสดิการสังคมที่เป็นการ “แทรกแซงตลาดเสรีน้อยที่สุด” แทนที่จะใช้วิธีอุดหนุนราคาสินค้า หรือแจกเงินแบบถ้วนหน้า จะเป็นการไปแทรกแซงกลไกตลาดและไม่ตรงนักดังนั้น NIT จะเข้ามาช่วยในการเพิ่มกำลังซื้อโดยตรงให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ ซึ่งรบกวนตลาดเสรีน้อยกว่า
คนทำงานและภาคธุรกิจต้องเตรียมตัวอย่างไร?
เมื่อระบบนี้กำลังจะมาในปี 2570 สิ่งที่เราต้องรู้และเตรียมตัวก็คือ ทุกคนจะต้อง “ยื่นภาษีเงินได้” ไม่ว่าคุณจะมีรายได้มากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม จากเดิมที่คนส่วนใหญ่อาจคิดว่า “ยื่นภาษีไม่ใช่เสียภาษี” แต่ตอนนี้การยื่นภาษีกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเข้าถึงสวัสดิการจากรัฐด้วย
สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือการเตรียมข้อมูลรายได้อย่างถูกต้องทั้งจำนวนและประเภท เพื่อให้การยื่นภาษีเป็นไปอย่างราบรื่น สำหรับผู้ที่เข้าข่ายได้รับสวัสดิการ ข้อมูลรายได้ที่ชัดเจนจะช่วยให้ได้รับสิทธิ์อย่างถูกต้อง
นอกจากนี้เราก็ต้องทำความเข้าใจใน “คุณค่าของภาษี” เพราะการเข้าสู่ระบบภาษีและการที่รัฐมีข้อมูลที่พร้อม จะนำไปสู่ประโยชน์อีกหลายๆอย่างในอนาคต เช่น การจัดสวัสดิการที่ตรงจุด หรือการช่วยเหลือในภาวะวิกฤตที่ทำได้รวดเร็วขึ้น
ในอนาคตกระทรวงการคลังเองก็กำลังพัฒนาระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) และอาจรวมไปถึง Ari Score ซึ่งเป็นระบบเครดิตสกอริ่งสำหรับผู้มีรายได้น้อยอาจทำให้การกู้ยืมเงินสำหรับคนที่เข้าไม่ถึงระบบการเงินทำได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้อาจมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการและทำให้การยื่นภาษีง่ายขึ้น เหมือนอย่างที่สิงคโปร์มีระบบ my tax portal ที่ข้อมูลเกือบทั้งหมดถูกเติมให้โดยอัตโนมัติ ผู้ยื่นมีหน้าที่แค่ตรวจสอบความถูกต้องเท่านั้น หรืออาจจะมีระบบผ่อนชำระภาษี ซึ่งช่วยลดภาระให้กับผู้เสียภาษีด้วยก็ได้ในอนาคต
ข้อเสียของ Negative Income Tax
แน่นอนกว่าระบบ Negative Income Tax เองก็มีข้อเสียและความท้าทายที่ภาครัฐต้องบริหารจัดการอยู่เช่นกันไม่ว่าจะเป็นเรื่อง “ภาระงบประมาณมหาศาล” เพราะการให้เงินช่วยเหลือคนจำนวนมากต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ก่อนหน้านี้หลาย ๆ ประเทศต้องยกเลิก NIT เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณ
“ความซับซ้อนของระบบและการเข้าถึง” ก็เป็นอีกปัญหาที่อาจทำให้ประชาชนบางส่วนเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือดังนั้นการสื่อสารของรัฐบาลเพื่อให้คนเห็นความสำคัญของการยื่นภาษีก็เป็นส่วนสำคัญมากๆเช่นกันนอกจากการสื่อสารกับคนที่ไม่เคยยื่นภาษีแล้ว “ผู้เสียภาษีเดิม” รัฐบาลก็ต้องสื่อสารให้ดีว่ากลุ่มคนที่เสียภาษีอยู่แล้วจะยังได้รับคุณค่าและประโยชน์อะไรจากการอยู่ในระบบภาษีต่อไป เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าถูกแบกภาระเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
และที่สำคัญเลยก็คือเรื่องของการโกง ก็คืออาจมีบางกรณีที่คนพยายามรายงานรายได้ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อรับเงินช่วยเหลือ หรือลดความกระตือรือร้นในการทำงานเพิ่ม จุดนี้ภาครัฐก็ต้องบริหารจัดการระบบการตรวจสอบให้ดีเช่นกัน
แนวคิด Negative Income Tax ถือเป็นการปฏิรูปโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ของประเทศไทย ที่มีเป้าหมายทั้งด้านเศรษฐกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แม้จะมีข้อดีที่น่าสนใจในการลดความเหลื่อมล้ำและขยายฐานข้อมูลภาครัฐ แต่ก็มีความท้าทายสำคัญที่ต้องเตรียมรับมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงบประมาณ ความพร้อมของระบบ หรือการบริหารจัดการแรงจูงใจในการทำงาน
สำหรับคนทำงานการทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ การจัดการข้อมูลรายได้ให้ถูกต้อง ยื่นภาษีตามระเบียบ และการติดตามข่าวสารจากภาครัฐอย่างใกล้ชิด ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน