แบรนด์ทาร์ตไข่ YOLK (โยล์ค) ครัวซองต์สเปเชียลตี้เจ้าแรกในประเทศไทย สร้างปรากฏการณ์ในวงการขนมหวานไทยอย่างต่อเนื่อง จนสามารถทำยอดขายรวมทะลุ 100 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 3 ไตรมาส (พฤศจิกายน 2024 – สิงหาคม 2025) ความสำเร็จครั้งนี้ได้ตอกย้ำความเป็นแบรนด์ผู้นำตลาดอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคไทย
แนวคิด “Local Goes Global” ผ่านการร่วมมือเชิงกลยุทธ์
เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็นแบรนด์ไทยระดับโลก YOLK ได้เปิดตัวโปรเจกต์สำคัญแห่งปี “Proudly, Made in Thailand” โดยจับมือความร่วมมือกับ 4 แบรนด์ไทยคุณภาพ ได้แก่ โอ้กะจู๋, แก้ว Boutique, Songwat Coffee Roaster และ JIANCHA เพื่อรังสรรค์ทาร์ตไข่ 4 รสชาติพิเศษที่สะท้อนอิชัยตัวของแต่ละแบรนด์
อิน – สาริน รณเกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่ำรวยที่สุด จำกัด กล่าวว่า “จุดมุ่งหมายของโปรเจกต์นี้ไม่ได้อยู่ที่การพัฒนาเมนูใหม่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการใช้พลังของแบรนด์ไทยรุ่นใหม่ร่วมกันยกระดับสินค้าทำมือให้กลายเป็นสินค้าส่งออกเชิงวัฒนธรรมที่มีคุณภาพระดับสากล”
โปรเจกต์นี้เป็นการรวมจุดแข็งของแต่ละแบรนด์เข้าด้วยกันผ่านผลิตภัณฑ์เดียว ทั้งในเชิงรสชาติ การออกแบบ และประสบการณ์หน้าร้าน ถือเป็นการประยุกต์ใช้โมเดล collaboration marketing ที่ชูทั้งศักยภาพของแบรนด์ไทยและแนวคิด “Local Goes Global” อย่างแท้จริง
กลยุทธ์การตลาด “4 จันทร์ 4 รสชาติ”
YOLK นำเสนอกลยุทธ์การเปิดตัวแบบ “4 จันทร์ 4 รสชาติ” ชิมให้ครบ แชร์ให้ทัน โดยทาร์ตไข่ทั้ง 4 รสชาติจะทยอยเปิดตัวทุกวันจันทร์ ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม ถึง 31 ตุลาคม 2568 ประกอบด้วย:
- จันทร์ที่ 18 สิงหาคม: Truffle Honey Cheese ซุปทรัฟเฟิลชีสน้ำผึ้ง x โอ้กะจู๋
- จันทร์ที่ 25 สิงหาคม: Songwat Dirty & Fresh Mochi กาแฟเดอร์ตี้โมจินมสด x Songwat Coffee Roasters
- จันทร์ที่ 1 กันยายน: Pandan & Palm Sugar Caramel สังขยาใบเตยน้ำตาลโตนด x แก้ว Boutique
- จันทร์ที่ 8 กันยายน: Kyoho Grape Jelly & Cream Cheese เจลลี่องุ่นเคียวโฮครีมชีส x JIANCHA
การออกแบบประสบการณ์แบรนด์ใหม่
ไม่เพียงแต่รสชาติเท่านั้น YOLK ได้รีดีไซน์องค์ประกอบทุกส่วนของโปรเจกต์ ตั้งแต่บรรจุภัณฑ์ Limited Edition ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก “ถุงรุ้ง” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทยแบบเรียบง่ายแต่ร่วมสมัย ไปจนถึงการตกแต่งหน้าร้านใหม่ทั้งหมด เพื่อสร้างพื้นที่จัดแสดงความภาคภูมิใจในแบรนด์ไทยรุ่นใหม่อย่างแท้จริง
การดำเนินการนี้ไม่ใช่เพียง “Limited Edition” ในแง่สินค้า แต่เป็นการสร้าง Brand Experience ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์ “Proudly, Made in Thailand” และเป็นการเล่าเรื่องวัฒนธรรมไทยในมุมโมเดิร์นผ่านรสชาติที่เชื่อมโยงกับความเป็นไทย
ผลลัพธ์ทางธุรกิจและแผนการขยายตัว
จากข้อมูลที่เปิดเผย YOLK มียอดขายเกิน 100,000 ชิ้นต่อเดือนก่อนหน้านี้ และคาดการณ์ว่าหลังสิ้นสุดโปรเจกต์นี้ ยอดขายจะเพิ่มขึ้นเป็น 200,000 ชิ้นต่อเดือน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่ง
ปัจจุบัน YOLK มีสาขาให้บริการทั้งหมด 6 สาขาในกรุงเทพฯ ได้แก่ เซ็นทรัลเวิร์ล ชั้น 7, สยามพารากอน ชั้น G, เซ็นทรัลปิ่นเกล้า ชั้น G, บรรทัดทอง, เจริญนคร 10 โครงการ OURS และสุขุมวิท 24 โครงการ Bambini รวมถึงช่องทาง Grab เดลิเวอรี
ความท้าทายของตลาดขนม Lifecycle อายุแสนสั้น
อิน – สาริน วิเคราะห์สถานการณ์ตลาดขนมหวานไทยในปัจจุบันว่า มีความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากเทรนด์ใหม่เกิดขึ้นและดับไปอย่างรวดเร็ว จากการวิจัยพบว่า ขนมหวานมี Lifecycle เพียง 45-60 วันเท่านั้น และตัวเลขนี้สั้นลงเรื่อยๆ ทุกปี
อย่างไรก็ตาม ยังมีช่องว่างในตลาดขนมอบกึ่งคาวกึ่งหวาน ซึ่งมีอายุการใช้งานยาวกว่าและมีโอกาสสื่อสารกับผู้บริโภคได้มากกว่า เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมการซื้อซ้ำ ขนมที่เกิดจากกระแสไวรัลมีลูกค้าซื้อซ้ำเพียง 10% แต่ขนมอบสามารถมีอัตราการซื้อซ้ำได้ถึง 50%
กลยุทธ์การรักษาความยั่งยืน: Collaboration และก้าวเป็น Trend Setter
แม้กระแสทาร์ตไข่จะเริ่มเบาลงบ้างจากช่วงต้นปี แต่ YOLK ไม่ได้พึ่งพาเทรนด์เพียงอย่างเดียว กลยุทธ์หลักของแบรนด์คือการทำวิจัยอย่างต่อเนื่อง การออกโปรเจกต์ใหม่ และการใช้ Collaboration เพื่อสร้างเรื่องราวใหม่อยู่เสมอ
ความสำเร็จของ YOLK ไม่ได้มาจากการตลาดเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากมาตรฐานการผลิตและคุณภาพที่เสมอต้นเสมอปลาย โดยเลือกอบสดใหม่ทุก 22 นาทีในทุกสาขา และใช้พนักงานที่เข้าใจการอบขนมอย่างแท้จริง ทำให้แม้จะขายเดือนละ 100,000 ชิ้น รสชาติและคุณภาพยังคงสม่ำเสมอ
อีกปัจจัยสำคัญคือการวางตัวเป็น Trend Setter ผ่านการนำเสนอสิ่งใหม่ให้กับตลาด โดยหามิติใหม่ให้กับสินค้าที่ดีอยู่แล้ว แต่ไม่ยุ่งยากเกินไป ทำให้ผู้บริโภคเห็นแล้วรู้สึกว่าใหม่แต่เข้าใจรสชาติได้ทันที
แผนการขยายตัวในอนาคต
สำหรับแผนการขยายตัว แม้จะมีเสียงเรียกจากต่างประเทศ คุณสาริน เผยว่า ต้องการวางฐานในไทยให้แน่นก่อน เนื่องจากกรุงเทพฯ ยังมีอีกหลายมุมที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น CBD หรือหัวเมืองใหญ่อย่างฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต และ Westville พร้อมกับปีหน้าจะมีโครงการ “Yolk on Tour” ที่จับมือกับ CPN พาแบรนด์ออกเดินทางไปต่างจังหวัดในรูปแบบ Pop-up store เพื่อเรียนรู้และประเมินพื้นที่ที่พร้อมให้ YOLK เติบโตในระยะยาว
“ปีหน้าจะเป็นปีที่ 2 ของ YOLK ที่แบรนด์ตั้งใจจะเติบโตอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว สิ่งที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าคือการเปิดแบรนด์ใหม่ภายใต้ Holiday Pastry ซึ่งครั้งนี้จะก้าวออกจากโลกของขนมหวานไปสู่อาหารคาวเป็นครั้งแรก การเข้าสู่ตลาดอาหารคาวเป็นการเดินเข้าสู่สนามใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้เล่นระดับท็อป แต่ YOLK ไม่ได้ต้องการเป็นแค่หนึ่งในนั้น เราต้องการหามิติใหม่ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ โดยจะเปิดแบรนด์ใหม่เพียงปีละ 1 แบรนด์ เพราะการสร้างแบรนด์เหมือนการมีลูก ปีละคนพอ เพื่อกระจายความเสี่ยง”
โปรเจกต์ “Proudly, Made in Thailand” ของ YOLK แสดงให้เห็นถึงแนวทางใหม่ของการพัฒนาธุรกิจไทยที่มุ่งเน้นการร่วมมือเชิงกลยุทธ์ การสร้างประสบการณ์แบรนด์ที่แตกต่าง และการยกระดับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ไทยสู่ระดับสากล โดยยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยไว้ได้อย่างลงตัว ซึ่งเป็นต้นแบบที่น่าสนใจสำหรับแบรนด์ไทยอื่นๆ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของประเทศต่อไป