เปิดเทรนด์ความงามยุคใหม่ ‘Gen Z  – LGBTQIA+’  กลุ่มผู้บริโภคที่เปลี่ยนกฎเกมตลาดความงาม บนมูลค่าตลาด 5.2 แสนล้าน ในอีก 5 ปี

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

ตลาดศัลยกรรมและเสริมความงามของไทยกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ จากมูลค่า 7 หมื่นล้านบาท  ในปี 2568 คาดว่าจะก้าวกระโดดสู่ระดับ 5.2 แสนล้านบาทภายในปี 2573 หรืออัตราการเติบโตสูงถึง 47-48% ต่อปี ตามรายงานจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย การเติบโตครั้งนี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ธุรกิจต้องเข้าใจและปรับตัว

กลุ่มเป้าหมายใหม่ที่กำลังขับเคลื่อนตลาด
Gen Z และ LGBTQIA+: กลุ่มผู้บริโภคที่เปลี่ยนกฎเกม

คนรุ่นใหม่มองการเสริมความงามเป็นการลงทุนในตัวเองมากกว่าความฟุ่มเฟือย พวกเขาเปิดกว้างต่อการปรับปรุงภาพลักษณ์และไม่ลังเลที่จะใช้บริการศัลยกรรม ความแตกต่างจากยุคก่อนคือ Gen Z ต้องการความโปร่งใส ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ และกระบวนการที่ปลอดภัยมากขึ้น

กลุ่ม LGBTQIA+ กลายเป็นกลุ่มตลาดที่มีอำนาจซื้อสูง มีความต้องการเฉพาะทางและยินดีจ่ายเพื่อบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของพวกเขา การยอมรับทางสังคมที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้กลุ่มนี้กล้าแสดงออกและใช้บริการมากขึ้น

ผู้ชาย: ตลาดศักยภาพสูงที่ถูกมองข้าม

ผู้ชายยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อความมั่นใจในหน้าที่การงาน การสร้างภาพลักษณ์ในโซเชียลมีเดีย หรือเพียงแค่ต้องการรู้สึกดีกับตัวเอง กลุ่มนี้มีกำลังซื้อสูงและตัดสินใจรวดเร็ว แต่ต้องการความเป็นส่วนตัวและบริการที่ตรงจุด

 

วัยทำงานถึง 65+: กลุ่มหลักที่ยังเติบโต

กลุ่ม Gen Y และผู้สูงอายุยังคงเป็นฐานลูกค้าหลัก โดยเฉพาะในบริการดูแลผิวพรรณ (35%) และศัลยกรรม (65%) การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของไทยทำให้ความต้องการบริการแอนตี้เอจิ้งเติบโตต่อเนื่อง กลุ่มนี้มีประสบการณ์ มีรายได้มั่นคง และต้องการดูแลตัวเองให้ดูอ่อนเยาว์

Medical Tourism: โอกาสทองจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ประเทศไทยครองสถานะศูนย์กลางศัลยกรรมความงามในเอเชียแปซิฟิก ด้วยคนต่างชาติเดินทางเข้ามารับบริการทางการแพทย์มากกว่า 2 ล้านครั้งต่อปี กลุ่มเป้าหมายหลักมาจาก CLMV อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ตะวันออกกลาง และจีน

 

จุดแข็งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์:

  • ฝีมือแพทย์ไทยที่ได้รับการยอมรับระดับสากล
  • มาตรฐาน JCI ที่สร้างความเชื่อมั่น
  • ราคาคุ้มค่ากว่าประเทศตะวันตก 50-70%
  • บริการที่เป็นมิตรและวัฒนธรรมการต้อนรับ
  • สามารถผ่อนคลายท่องเที่ยวพร้อมรักษาตัว
  • กลยุทธ์ความสำเร็จในตลาดพรีเมียม
  • Personalization คือกุญแจสำคัญ

 

ผู้บริโภคยุคใหม่ต้องการบริการที่ออกแบบเฉพาะบุคคล ไม่ใช่โซลูชันแบบจำเป็น การปรึกษาอย่างละเอียด การออกแบบแผนการรักษาที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ และผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติกลายเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคคาดหวัง

 

Holistic Approach: มองความงามแบบองค์รวม

ผู้บริโภคเริ่มเข้าใจว่าความงามไม่ใช่แค่ภายนอก การดูแลแบบองค์รวมที่คำนึงถึงสุขภาพโดยรวม โภชนาการ และสุขภาพจิตกลายเป็นเทรนด์ที่กำลังมา ธุรกิจที่นำเสนอบริการครบวงจรจะได้เปรียบ

การสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนต้องอาศัยความไว้วางใจที่สั่งสมมากว่า 40 ปี เมื่อลูกค้ารุ่นเก่าพอใจและบอกต่อสู่คนรุ่นใหม่ นั่นคือสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด การรักษามาตรฐาน ความปลอดภัย และการดูแลหลังการรักษาอย่างต่อเนื่องจึงสำคัญ

โอกาสการลงทุนและการเติบโต

พญ. วรารัตน์ สิริกุตตา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) โรงพยาบาลเมโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล (MEKO INTERNATIONAL HOSPITAL) เปิดเผยว่า ด้วยเหตุและผลนี้ จึงเป็นที่มาของการควบรวมธุรกิจ ระหว่าง “เมโกะ คลินิก” ที่มีความโดดเด่นด้านการดูแลผิวพรรณ ศัลยกรรมความงาม กับ “โซ เมโกะ คลินิก” ที่มีความชำนาญด้านศัลยกรรมจมูก หน้าอก และดึงหน้า การนำจุดแข็งของทั้งสองแบรนด์มารวมกันและก้าวสู่ MEKO INTERNATIONAL HOSPITALในฐานะโรงพยาบาลเฉพาะทางด้านศัลยกรรมและความงาม ศูนย์กลางการดูแลความงามแบบองค์รวม ยกระดับความเป็นเลิศด้านบริการ ยึดหลักความจริงใจและส่งมอบผลลัพธ์การรักษาที่มาพร้อมความปลอดภัยและมาตรฐานทางการแพทย์ระดับโลก

พญ. วรารัตน์ เชื่อว่า ความงามที่แท้จริงต้องได้รับการออกแบบเฉพาะสำหรับแต่ละบุคคล ทุกการรักษาจึงถูกวางแผนอย่างพิถีพิถันในทุกขั้นตอน มั่นใจในคุณภาพ ผลลัพธ์ และความปลอดภัย พร้อมการดูแลที่ต่อเนื่อง เมโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล ให้บริการลูกค้าในกลุ่มพรีเมียม นำเสนอบริการครบวงจรทั้งการดูแลผิวพรรณและศัลยกรรม ภายใต้แนวคิด “Tailored for You. Trusted by Generations. Timeless in Beauty.” ด้วยบทพิสูจน์ตัวจริงที่ยืนหนึ่งในธุรกิจแพทย์ความงามของทั้งสองแบรนด์ต้นน้ำ ต่อยอดให้โรงพยาบาลเมโกะ อินเตอร์เนชั่นแนล มีฐานลูกค้าราวหนึ่งแสนคน แบ่งสัดส่วนลูกค้าคนไทย 80% ต่างชาติ 20% ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยทำงาน Gen Y จนถึงช่วงอายุประมาณ 65 ปี สัดส่วนการใช้บริการด้านการดูแลผิวพรรณ 35% และบริการด้านศัลยกรรม 65% บริการและหัตถการที่ได้รับความนิยม ได้แก่ ศัลยกรรมจมูก 40% ศัลยกรรมหน้าอก 20% ศัลยกรรมดูดไขมันและตัดหนังหน้าท้อง 20% ศัลยกรรมดึงหน้า 10% และศัลยกรรมอื่นๆ อีก 10% ตามลำดับ

ทิศทางธุรกิจที่น่าจับตา:

  • การขยายสาขาในจังหวัดท่องเที่ยวหลัก
  • การพัฒนาแพ็กเกจ Medical Tourism แบบครบวงจร
  • การใช้ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเข้าถึง Gen Z
  • บริการเทเลเมดิซีนสำหรับการปรึกษาเบื้องต้น
  • โปรแกรม Loyalty ที่สร้างความผูกพันระยะยาว

 

ตลาดความงามไทยกำลังอยู่ในช่วงทองของการเติบโต ธุรกิจที่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ยึดมั่นในมาตรฐานและความปลอดภัย พร้อมนำเสนอประสบการณ์ที่เหนือความคาดหวัง จะเป็นผู้ชนะในสนามแข่งขันที่กำลังดุเดือดนี้


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!