เปิดใจ “เอย จงรักดี” หลังสร้างประวัติศาสตร์สำคัญให้ Independent Agency คว้า Advertising Agency of the Year รายแรกของไทย

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

นับเป็นความสำเร็จที่สำคัญของวงการเอเจนซี่โฆษณาไทย ที่ผลงานล่าสุดจาก Independent Agency ก้าวขึ้นรับรางวัลสำคัญอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ได้แก่รางวัล Advertising Agency of the Year จากเวที Adman Awards & Symposium 2025 ที่ผ่านมา และเอเจนซี่ดังกล่าวได้แก่ “จงรักดี” (Jongluckdee) ผู้สร้างสรรค์ผลงานสั่นสะเทือนวงการจากไทยไปสู่เวทีโลกได้ และไม่ใช่แค่รางวัลจาก Adman เท่านั้น แต่ยังคว้ารางวัลอื่น ๆ อีกมากมายในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นปีทองแห่งความสำเร็จของเอเจนซี่เล็ก ๆ แห่งนี้เลย แต่พวกเขามีเคล็ดลับอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า หรือมีการทำงานรูปแบบพิเศษแบบใดที่ไม่เหมือนใคร วันนี้เราจะล้วงทุกความลับจาก “จงรักดี” ผ่านบทสัมภาษณ์สุด Exclusive กับ “คุณเอย – ภัทศา อัตตนนท์ Managing Director จงรักดี (Jongluckdee)”

 

Independent Agency ในนาม “จงรักดี” ความสำเร็จกับการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญ

 

นับเป็นความสำเร็จระดับหนึ่งของวงการเอเจนซี่ไทยก็ว่าได้ ที่ “จงรักดี” ซึ่งเป็น Independent Agency ไทยรายแรกเลย ที่คว้ารางวัล Advertising Agency of the Year โดยที่ผ่านมายังไม่เคยมีปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นในวงการ ดังนั้น สำหรับคุณเอย ที่เคยทำงานในฝั่ง Network Agency มาก่อน  เธอมองปรากฏการณ์นี้ว่า มันคือการสะท้อนถึงการทำงานที่ไอเดียที่ดี สามารถสร้างพลัง Make it happen ได้ ความทุ่มเทในการทำให้ไอเดียมันเกิดขึ้นจริง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำคัญกว่าโครงสร้างหรือไซส์ขององค์กรที่เป็นโฆษณา จุดนี้อาจจะไม่ได้บอกว่าเราหรือทีมของเราเก่งกว่าคนอื่น แต่มันคือบทพิสูจน์ถึงความทุ่มเทแรงกายแรงใจของคนกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น

“อย่างไรก็ตาม เอยต้องขอบคุณสมาคมโฆษณาด้วยที่เปิดเวทีให้โอกาสทุก Agency ได้นำเสนองานที่มีศักยภาพเข้าไปแข่งขัน วันนี้มันกลายเป็นการตอกย้ำว่า ไอเดียมันสำคัญยิ่งกว่าโครงสร้างหรือว่าขนาดของ Agency ด้วยซ้ำ หรือแม้แต่ไซส์ของทีม และมากไปกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Vision ของลูกค้า ที่เห็นคุณค่าของไอเดียและการทำงานมากกว่าขนาดขององค์กร เพราะจงรักดีไม่ได้เป็น Big Name หรือ Network ที่คนจะรู้จักทันที มันจึงเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นถึงคุณค่าของ Creative Talent ที่เป็น Individual เป็น Human Asset ระดับมนุษย์ ไม่ใช่แค่องค์กรเลย”

 

ความแตกต่างระหว่าง Independent Agency กับ Network Agency

 

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนขึ้นระหว่าง Independent Agency กับ Network Agency  คุณเอยฉายภาพให้เห็นดังนี้ สำหรับอุตสาหกรรมโฆษณาเป็น People Business องค์กรที่มีโครงสร้างแข็งแรงส่วนใหญ่คือ Network Agency ที่มีทรัพยากรบุคคลระดับ 300-400 คนขึ้นไป แบ่งเป็นแผนกต่างๆ ที่โฟกัสเฉพาะทาง ไม่ว่าจะเป็น Creative, Activation, PR หรืออื่นๆ ดังนั้น เวลาลูกค้าให้บรีฟหรือให้โจทย์มา ก็จะค่อนข้างมีสรรพกำลังในการจัดการแบบองค์รวม

แต่สำหรับ Independent Agency จะมีขนาดที่เล็กกว่ามาก อย่าง “จงรักดี” เรามีพนักงานไม่ถึง 30 คนด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยกเครดิตให้ Network Agency ด้วย ที่สร้างพวกเรามา เพราะว่าทั้งตัวเองและ คุณกิ๊บ – เขตนภินท์ โสภิญนนท์ (Founder และ Chief Creative Office – CCO จงรักดี) ก็เติบโตจาก Network Agency เช่นกัน ทำให้ทราบถึงการสร้างงานแบบมาตรฐานระดับโลกมันเป็นอย่างไร มาตรฐานในการบริหารหาลูกค้า มาตรฐานในการวางแผน Communication Plan, Campaign Concept Management สเกลระดับโลกเป็นอย่างไร ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราได้นำมาใช้กับบริษัทของเราเองด้วย

 

 

“จงรักดีนำเอาความเป็น Global Standard มาผสมผสานกับพลังของความเป็น “มวยบ้าน” ประกอบกับ จงรักดีไม่ได้เป็นแค่ Agency แต่เป็น Production House ด้วย ดังนั้น พอเราเป็น Independent มันทำให้เรามีอิสระในการ Take Risk ได้ แต่เราก็จะต้อง Deliver สิ่งที่เราให้คำมั่นกับลูกค้าในระดับเดียวกับที่ Network Agency ทำ มันเลยเหมือนเป็นพื้นที่ที่ทำให้เรามี Playground ที่ค่อนข้างเปิดกว้างมากขึ้น เพราะมันเหมือนสองศาสตร์มารวมกัน”

แต่ในขณะเดียวกัน จงรักดีก็ต้องรับความเสี่ยงบางอย่างด้วย แต่สำหรับคุณเอย พื้นที่ในการจัดการความเสี่ยงกลับกลายเป็นโอกาสในการเติบโต “งานที่ทำให้คนทำงาน Uncomfortable งานที่พรีเซนต์ลูกค้าไปแล้วลูกค้าตั้งคำถามว่า ‘มันจะทำจริงได้ยังไง’ หรือ Process ที่มันยากลำบากเหลือเกิน สุดท้ายมันก็จะเป็นงานที่ทำให้เราได้งานที่มันเกินความคาดหมาย มันกลายเป็น DNA ของเราไปแล้วว่า เราสนุกกับสิ่งนี้” คุณเอยกล่าวอย่างมุ่งมั่น ดังนั้น การ Take Risk จึงไม่ใช่การนำไปสู่ความล้มเหลว แต่เป็นการขยายโอกาส มากกว่า

 

ความกล้าที่จะ Make it Happen ด้วยพลังของทีมเป็นหนึ่ง

 

จุดเริ่มต้นของความแข็งแกร่งของจงรักดีมาจากโครงสร้างที่เป็น Independent Agency ทำให้มีพื้นที่ในการทดลองและ Experiment ได้ตลอดเวลา คุณเอยขยายความในเรื่องนี้ว่า ทุกงานที่เราทำ ต่อให้บรีฟมันอาจจะเป็นหนังโฆษณา หรือ Key Visual ทุกบรีฟ พี่กิ๊ฟ เขาจะมองหาไอเดียที่กล้าคิดเสมอ ต่อให้มันเป็น Traditional Media พี่กิ๊ฟก็จะเป็นคนรักษามาตรฐานตรงนี้ไว้ ซึ่งความกล้าคิด หมายถึงการเอาไอเดียไปขายลูกค้าในรูปแบบที่ลูกค้ารู้สึกว่า จะต้องไปไกลเกินกว่าที่ลูกค้าคาดคิดด้วย

ด้วยความที่ต้องคิดเพื่อผลิตด้วยทุกครั้ง ทีมจึงต้องวางแผนล่วงหน้าว่ามันจะทำ Make it Happen ได้ด้วยวิธีไหน จะ Work Around ด้วยวิธีไหน พลังของไอเดียกับความสามารถในการที่เรารวมระหว่างความกล้าคิดกับความมั่นใจในความแข็งแรงของทีมโปรดักชันเรามาก ๆ พอสองศาสตร์นี้มันมาอยู่ด้วยกัน Creative จะสนุกมากเลย หรือแม้แต่ทางทีม Account Executive (AE) และ Project Management (PM) ก็มี Mindset ที่ไม่กลัวงานยาก ไม่กลัวงานที่จะทำให้เหนื่อย แต่กลับรู้สึกว่าสิ่งนี้ทำให้ไปไกลได้มากขึ้น ทั้งหมดนี้มันคือพลังที่ทำให้ “จงรักดี” เรามาถึงจุดนี้ได้ สร้างสรรค์สิ่งที่มากกว่าที่ลูกค้าคาดคิดเอาไว้นั่นเอง

 

ผลงานที่พิสูจน์ความแข็งแกร่ง

เราชวนให้คุณเอยกล่าวถึงงานที่ประทับใจ หรืองานที่บ่งบอกถึงความแกร่งของ “จงรักดี” คุณเอยบอกว่า อันที่จริงก็มีหลายงานเลย แต่ขอยกตัวอย่างสัก 2-3 งานแล้วกัน

 

 

ผลงานร่วมกับ “โซดาสิงห์” กับการยกระดับแบรนด์สู่เวทีโลก ทั้งนี้ “จงรักดี” ทำงานกับโซดาสิงห์มาเกือบ 10 ปี แคมเปญแรกที่โดดเด่นคือ “Beyond Ordinary Fizz ทุกหยดซ่า…โซดาสิงห์” โฆษณายาวที่สุดในโลก 7 ชั่วโมง ที่แสดงเสียงซ่าของโซดาสิงห์อย่างต่อเนื่อง เป็นงานที่ถูกพูดถึงอย่างมาก ซึ่งถ้าวันนี้ใช้คำว่างานไวรัลก็คงได้ “แคมเปญนี้กลายเป็นงานที่ Low Investment มาก แต่กลับได้ Conversation กลับมาแบบมหาศาล มันสะท้อนให้เห็นว่า พอเรามีไอเดีย พอเรามีความเข้าใจในลูกค้า แม้ว่าเขาอาจจะไม่เคยทำคอมมูนิเคชันที่เป็นลักษณะใหม่ ๆ แบบนี้ แต่พอเราเข้าใจแล้วมองทะลุเข้าไปว่าเขาต้องการอะไร เราสามารถเทิร์นความที่เขาไม่เคยทำออกจากความเข้าใจได้”

อีกหนึ่งผลงานเป็นการทำ Collaboration กับ Mr. Cartoon ศิลปินสักระดับโลก แม้คนจะยังไม่รู้จักในวงกว้าง แต่จงรักดีมองลึกกว่านั้น “มิสเตอร์การ์ตูนเป็น Tattoo Artist เบอร์ 1 ของโลก และมี Influencer ที่เป็นแฟนของมิสเตอร์การ์ตูน มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก พอเราไป Collaborate กับเขา มันกระเพื่อมจากสร้าง Sub-Culture ที่เป็นเป้าหมายของโซดาสิงห์ มันกลายเป็น Another Breakthrough ที่ทำให้โซดาสิงห์กลายเป็นแบรนด์ระดับโลก”

และสุดท้ายคือการ Collaborate กับ Harley-Davidson ซึ่ง Harley-Davidson ไม่เคยทำ Collaboration กับ Local Brand มาก่อนเลย ใช้เวลาเจรจาเกือบปี แต่ด้วยความมุ่งมั่นของทีม ในที่สุดก็สำเร็จ

 

 

อีกหนึ่งผลงานที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้ การร่วมงานกับ Netflix ซึ่งกลายเป็นปรากฏการณ์เขย่าโลกไปแล้ว คุณเอยบอกว่า จงรักดีเป็น Long-term Partner ของ Netflix มาตั้งแต่ 2018 โดยเริ่มจาก The Haunting of the Hill House ที่นำผีฮอโลแกรมไปแสดงบนดาดฟ้าตึก ซึ่งเป็นงานที่ต้องทลายข้อจำกัดด้วยเวลาที่กระชั้นทำให้การ Take Over รถไฟฟ้าบีทีเอส ไม่ทันการณ์แล้ว

“ดังนั้น “จงรักดี” จึงท้าทายตัวเอง หากต้องการผลลัพธ์เหมือนเดิม แต่ไม่ใช้ Platform Media จะทำได้ไหม? คำตอบคือ พวกเรากระจายตัวไปนั่งรถไฟฟ้าทุกสาย แล้วหาพื้นที่ดาดฟ้าของตึกที่มองเห็นจากรถไฟฟ้าได้ แล้วเทิร์นดาดฟ้าให้กลายเป็น Stage Show ผีฮอโลแกรม ซะเลย ผลลัพธ์คือ กลายเป็น Tald of the Town สุด ๆ  ใคร ๆ ก็กล่าวถึงภาพของผีที่ไปสิงบนชั้นดาดฟ้าต่าง ๆ”

 

 

ตามด้วย School Bus Zombie ในแคมเปญ Zombies, Going Merry  หรือการสร้างเรือข้ามฟาก ในแคมเปญ One Piece ที่ไม่ถึงชั่วโมงก็มีคนถ่ายรูปออกไปแล้ว, งาน Parasite เพื่อโปรโมท Parasite ที่ร้านชำบุญสะอาด ที่ได้ยอดวิวหลัก 80 ล้านวิวในไม่กี่ชั่วโมง, คอนเสิร์ต 13 ของพี่โนต อุดม ที่สร้าง Touchpoint ใหม่ ๆ 30 จุด  จนมาถึง Squid Game Season 2-3 ที่ทำ Activation ส่งการ์ดเชิญจริง ๆ ผ่านบริการขนส่ง

“10 กว่าแคมเปญที่เราทำให้กับ Netflix เรา All in กับทุกงานจริง ๆ มันกลายเป็นว่า คนก็รอดูว่าจงรักดีจะทำออกมาท่าไหนอีก” คุณเอยกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

 

Sub-Culture และ Pop Culture กุญแจสู่การสร้าง Relevance

 

หนึ่งในเสน่ห์ของงานจงรักดีคือการนำเอา Culture, Sub-culture และ Pop Culture ไทย ๆ เข้ามาใช้ในงาน ตั้งแต่ยุคที่ศัพท์เหล่านี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย คุณเอยบอกว่า จริง ๆ คำว่า Pop Culture หรือ Sub-culture เรามองว่ามันเป็นการสร้าง Relevancy กับ Consumer มันเป็นพื้นฐานของการทำ Marketing แต่เพียงแค่เราอยากลงลึกเข้าไปจริง ๆ ว่า มันไม่ใช่แค่เป็นการสร้าง Relevancy แต่มันต้องเกิดเป็น Engagement ด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อสององค์ประกอบนี้มาอยู่รวมกัน มันไม่ใช่แค่เกี่ยวข้อง แต่ต้องลงลึกไปในการสร้างความเข้าใจกับกลุ่มคนนั้น ๆ และหวังให้พวกเขาสร้าง Effect ออกไปในวงกว้างให้ทรงพลังกว่าเดิม

ตัวอย่างเช่น น้ำแร่เพอร์ร่า ที่เอา Culture ของสาวแฟชั่นมาใช้ หรือ คอนเสิร์ตเดี่ยว 13 ที่เลือกทำที่เชียงใหม่เพราะมองว่ามันเป็นเมืองหลวงของ ‘เดี่ยว’ เป็นเมืองหลวงของพี่โน้ส วันนี้พอมันเป็น Social Media มันไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่อง Geographic แล้ว บางอย่างที่มันไวรัลที่หนึ่ง มันก็สามารถสร้างเป็น Massive Conversation ในวงกว้างได้ เพราะฉะนั้น การเลือก The Right Person หรือ The Right Sub-culture เป็นสูตรสำคัญที่ทำให้แบรนด์มี Wow Factor และจดจำได้ง่ายขึ้น

 

วิธีสร้าง Culture ทีมแบบ ‘ลูกบ้า’ ที่ Make it Happen

 

จากที่ฟังมาจะเห็นว่า ทีมจงรักดี เต็มไปด้วยพลังและ ‘ลูกบ้า’ ในการทำงานด้วยซ้ำ สิ่งนี้พวกเขาสร้างขึ้นได้อย่างไร คุณเอยมองว่า พลังของทีมน่าจะมาจากการที่ทุกคนในทีมเห็น ทีม Lead อย่างเอยและพี่กิ๊ฟ All in ทุ่มเททั้งหน้าตักให้กับงานทุกชิ้น

“ทุกคนในทีมจะเห็นว่าเราสองคนเต็มที่กับทุกๆ งานในทุกๆ วันขนาดไหน พี่กิ๊ฟจะรับผิดชอบในพาร์ทของ Creative กับ Production เอยรับผิดชอบในแง่ของลูกค้า หลังบ้าน และดูภาพรวม พอพลังสองอันนี้มันเกิน 100 ทุกวัน มันไม่ต้องไปบอกทีมด้วยซ้ำเลยว่า ‘เฮ้ย ยูต้องทำมากขึ้นนะ’ หรือ ‘อันนี้มันยังไม่พอนะ’ มันเป็นจุดเริ่มต้นที่เขาเห็น”

อีก Factor สำคัญคือการคัดสรรคนตั้งแต่แรก พนักงานไม่ถึง 30 คน ทุกคนเป็นฟันเฟืองสำคัญมาก ๆ หากมี Energy ที่รู้สึกว่าจะฉุดลากทีม มันจะส่งผลเยอะ ดังนั้น เราจึงมองหาแก่นแท้มากกว่าเปลือก เราต้องมองให้ออกว่าใครมีศักยภาพด้านไหนจริง ๆ แล้วใช้ศักยภาพนั้นให้มันถูกที่ถูกทาง สำหรับจงรักดีเราใช้เวลาในการคัดสรรพนักงานเยอะมาก และเป็นบริษัทที่ Turnover ไม่สูง พนักงาน Average อยู่กับบริษัท 3-9 ปี บางคนอยู่ตั้งแต่เริ่มต้นบริษัทมาด้วยกัน

“สิ่งสำคัญคือทุกคนรู้คุณค่าว่าเขามาทำงานเพื่ออะไร เอยพยายามบอกให้ทีมทุกคนรู้ตัวเองว่า เราตอบตัวเองได้ไหมว่าเราทำงานเพื่ออะไร”

 

DNA ของคนคลั่งรัก (งาน) ฉบับ “คนจงรักดี”

 

“มันคือรวมตัวคน Crazy Mind เลย มันคือคนคลั่ง คนไม่กลัวเหนื่อย แต่เรากลัวความที่เราจะเป็นคนธรรมดา” นี่คือนิยามที่คุณเอยกล่าวถึง DNA ในแบบ ชาวจงรักดี

ถึงกระนั้น คุณเอยก็บอกว่า แต่พวกเราจงรักดี Low Profile มาก เป็นบริษัทเล็ก ๆ แต่ถ้าทำงานแล้วแค่คุยกันเองยังรู้สึกว่า เราจะช่วยกันผลักงานไปให้สุดได้อย่างไร ก่อนไปขายให้ลูกค้า “มันธรรมดาไปหรือเปล่า?” มักจะถูกตั้งคำถามขึ้นในเวลา Internal งานหรือแม้แต่คำถามว่า เห็นงานชิ้นนี้แล้วอยากจะถ่ายรูปป่ะ จะแชร์ป่ะ? ถ้ามันยังไม่ใช่ ก็จะไม่ทำงานนั้น

เมื่อถูกถามเรื่องการจัดการกับข้อจำกัดต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ เวลา หรือปัจจัยอื่น ๆ คุณเอยให้มุมมองที่น่าสนใจว่า ถ้าเราเจอสถานการณ์ที่มันมีข้อจำกัดทั้งเงิน ทั้งเวลา ทั้งอะไร ถือเป็น Positive เลย  เธออธิบายว่า ถ้าเราได้บรีฟที่ฟังแล้วเหมือนจะ “Too good to be true” เช่น อะไรๆ ก็ราบรื่นไปหมด เปิดกว้างไปหมด เราอาจจะไม่กล้ารับงานนั้น เพราะโฆษณาเป็นงานที่ต้องมีโจทย์ มีข้อจำกัด ตัวอย่างเช่น The Haunting of the Hill House ที่เราพาไปอยู่บนดาดฟ้าได้ก็เพราะไปซื้อ Media บน BTS ไม่ได้ หรือ โกโกวา ที่ไปอยู่แม่น้ำเจ้าพระยา เพราะต้องการทำโกโกวาใหญ่อยู่บนพื้นดินไม่ได้

“ทุกอย่างมันเป็นข้อจำกัดที่ถ้าเรามองหาอีกด้านหนึ่ง มันทำให้เราผลักไอเดียเราไปไกลได้กว่าเดิมด้วยซ้ำ” เพราะฉะนั้น สำหรับจงรักดี ข้อจำกัดจึงไม่ใช่อุปสรรค แต่เป็นโจทย์ เป็นด่านที่ต้องผ่าน มันกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการมีงานที่รู้สึกใจสั่น ”

เพราะฉะนั้น เมื่อลูกค้ามาพร้อมข้อจำกัด แปลว่าเขาเป็นลูกค้าที่ Realistic และเริ่มต้นจากความเป็นจริง แปลว่าเขาเริ่มต้นจากการอยากทำแคมเปญให้เกิดขึ้นจริงอย่างเข้าใจโลก

 

ไม่เน้น Quick win แต่เน้น Quality Outcome

 

จะเห็นได้ว่าทุกงานที่จงรักดีทำ คือแคมเปญที่สร้างงานว้าว! ได้มากกว่าที่คาดคิดเสมอ นั่นก็มาพร้อมการที่พูดคุยอย่างจริงใจและตรงไปตรงมากับลูกค้าในการร่วมงานเสมอ คุณเอย บอกว่า ลูกค้าที่เข้ามาคุยกับเรา ถ้าให้เวลามาจำกัดมาก ๆ เลย เราอาจจะต้องออกตัวว่าขอข้ามไปก่อนในโอกาสนี้ อาจจะต้องขอพูดตรง ๆ ว่า ไม่ขอรับ เพราะมันไม่มีจริง งานที่ดีแล้วจะใช้เวลาแค่นี้ ผลงานที่ดีต้องมาจาก Quality Time ถึงจะสร้าง Quality Outcome ได้ “เพราะฉะนั้นอาจจะยังน้า..”

“จากลูกค้า 10 เจ้า เอยว่าเอยรับได้แค่ 5 เจ้าด้วยซ้ำเลย ยินดีที่จะบอกลูกค้าที่เราปฏิเสธไป ซึ่งปฏิเสธไปเยอะมาก ๆ เลย ว่าขอรอจังหวะที่มันใช่ดีกว่า เพราะว่าทุกงานเราพอเราต้องอยู่ตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงการ Production Execution ไปถึง Planning มันต้อง All in กับทุก Process มาก ๆ เพราะว่าพวกเราจะอยู่กับลูกค้าในทุกขั้นตอน แม้กระทั่งทำงานกับ PR Agency, Media Agency ลงดีเทลไปถึงขั้นการมี Activation ที่ต้องมี Staff ที่เป็น Consumer Facing เราไม่ได้แค่คิดไอเดียแล้วปล่อยมือไปเลย เราไม่ใช่ เราไม่ทำแบบนั้นด้วย”

คุณเอยบอกลูกค้าทุกคนตั้งแต่ Day One ว่า ไทม์ไลน์จงรักดีขอเป็นคนกำหนด แต่ Outcome ที่ลูกค้าจะได้ จะทำทันไทม์ไลน์ที่จะ Launch แน่นอน จะได้ Material ออกไปใช้ทันแน่นอน

“เพราะฉะนั้นจะบอกว่า เอเจนซี่เล็ก ๆ อย่าเพิ่งรีบกระโจนไปสร้างสิ่งที่มันเป็นเปลือก หาแก่นแท้ตัวเองให้ได้ว่าแก่นแท้คืออะไร แล้วความสำเร็จจะมาถึงอย่างแน่นอน”

 

ความภูมิใจ 14 ปีของจงรักดี คือการดูแลพนักงานในทุกมิติ

 

สิ่งหนึ่งที่คุณเอยภูมิใจมากที่สุดหลังจาก 14 ปีที่ผ่านมาไม่ใช่แค่ผลงานที่โด่งดัง แต่คือ ชื่อเสียงของจงรักดีในการดูแลพนักงาน

“ทำงานกับจงรักดีไม่ต้องกลัวเลย ได้เงินตรงเวลาแน่นอน ได้ค่าแรงสมเหตุสมผลแน่นอน ไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เราไม่บรีฟมั่ว เราเข้าใจลูกค้า เรารู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร เราไม่พาคุณทัวร์ ไม่พาคุณวนแน่นอน มันคือ Quality มันคือการใช้เวลาอย่างมีคุณภาพกับทุกคน ไม่ใช่แค่ลูกค้า แต่รวมถึงทีม Production, ทีม Art, และแม้แต่น้องผู้ช่วยช่างไฟ คุณค่าจริง ๆ คือ การที่ทำให้ทีมทุกคนเขาเชื่อว่าอาชีพนี้มันดูแลชีวิตเขาได้ อันนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ภูมิใจที่สุด

จงรักดีใช้แรงคิดและแรงคนอย่างเดียวเลย ดังนั้นหัวใจของมันคือ คุณภาพ Well-being คุณภาพชีวิต ความเชื่อของพนักงานเราว่าเขามาทำงานทุกวันเขาไม่เสียเวลาเปล่า เขากำลังทำให้ชีวิตเขามันแข็งแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่พนักงานจะไปบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า “งานนี้เป็นงานของเรานะ” มันต้องเกิดจาก Inside Out ที่ทีม Lead และทีมพนักงานทุกคนลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว มันคือ Holistic Experience ที่ไม่ใช่แค่กับลูกค้า แต่กับของทุกคนในทีมอย่างแท้จริง

 

ข้อความถึงคนรุ่นใหม่ Independent Agency: No Fear ที่จะเริ่มต้น

 

อาจบอกได้ว่า วันนี้ “จงรักดี” กลายเป็น “ไอดอล” ของ Independent Agency กลุ่มเล็ก ๆ ในไทย ที่พิสูจน์ว่างานระดับโลก งาน Low Budget แต่สามารถสร้างงานสะเทือนโลกได้ งานที่เป็น Talk of the Town สามารถทำได้ด้วยมือของทีมเล็ก ๆ ดังนั้น คุณเอยมีข้อความถึงคนรุ่นใหม่ว่า

อย่างแรก เราต้องไม่กลัวที่จะ Start Small บางคนอาจจะรู้สึกว่าต้องพร้อม ต้องมีทรัพยากรอย่างเพียงพอแล้วค่อยเริ่มต้น แต่วันนี้โลกมันเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความยากทุกอย่างที่ถาโถมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็น โซเชียลมีเดีย AI หรืออะไรก็ตาม แก่นแท้ของวงการโฆษณาหรือวงการ Creative มันคือไอเดียอยู่ดี

“ต่อให้คุณเป็นใคร ต่อให้คุณเป็นแค่ฟรีแลนซ์ คุณไม่ได้เป็นบริษัทด้วยซ้ำ แต่ถ้าคุณมีไอเดีย และสามารถ Make it Happen ได้ คุณก็สามารถทำให้งานมันออกมาแล้วเป็นตัวพิสูจน์ได้เหมือนกัน”

ต่อให้วันนี้เราได้รางวัลหรืออะไรก็ตาม มันเป็นแค่พาร์ทเล็กๆ มากๆ เลย เพราะเราเดินทางมายาวนานมาก แต่มันคือการสร้างแก่นแท้ของตัวเราเองให้มันแข็งแรงก่อนก่อนที่จะไปทำเปลือกให้มันสวยงาม ถ้าคุณยิ่งเล็ก เป็น Independent Agency หรือฟรีแลนซ์ หรือบริษัทเล็ก ๆ แล้วถ้าคุณไปตกแต่งเปลือกให้สวยก่อน คุณไปไม่ยาวแน่นอน เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญคือ “อดทนและใจเย็น” ผลงานคือบทพิสูจน์ตัวตนที่เป็นแก่นแท้ของคุณเอง

 

 

นี่คือเสียงของ “คุณเอย ผู้บริหารจงรักดี” ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ในโลกของธุรกิจโฆษณา ไอเดียและการทำให้มันเป็นจริง ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน หรือมีทีมขนาดเท่าไหร่  บทสัมภาษณ์นี้คือสิ่งที่สะท้อนถึงการเดินทางของ Independent Agency ที่ก้าวขึ้นมาเป็นตัวอย่างแห่งความสำเร็จในวงการโฆษณาไทย ด้วยความมุ่งมั่น ความทุ่มเท และที่สำคัญที่สุด คือความเชื่อว่า ไอเดียที่ดี ประกอบกับทีมที่แข็งแรง สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE