พอเอ่ยชื่อ ‘สตีฟ จ็อบส์’ (Steve Jobs) ขึ้นมาเห็นได้ชัดว่าทั่วโลกต่างก็ชื่นชมยกให้เป็นกูรูแห่งวงการไอที ผู้ที่เห็นอนาคตล่วงหน้าของอุตสาหกรรมนี้ แต่สำหรับ จ็อบส์ แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าแห่งนักประดิษฐ์ แต่ไลฟ์สไตล์ของเขากลับเรียบง่าย อย่างที่หลายคนพอจะรู้มาบ้างว่า จ็อบส์ เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Apple ที่เดินทางสายพุทธศาสนานิกายเซน (Zen) ซึ่งสิ่งที่เด่นชัดที่สุดของความเรียบง่ายนี้ ก็คงจะเป็นการแต่งตัวคุมโทน เสื้อดำ กางเกงยีนส์ จนกลายเป็นยูนิฟอร์มที่คุ้นตากันไปแล้ว

แต่มีอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์ของ จ็อบส์ ที่ยังมีใครหลายคนไม่รู้ นั่นคือ วิถีการทานแบบสตีฟ จ็อบส์ ที่เรียกว่า Pescetarian หรือ กลุ่มคนที่นิยมทานแค่เนื้อปลาหรืออาหารทะเลเท่านั้น นอกเหนือไปจากปกติที่ จ็อบส์ จะทานแบบชาว vegetarian (รวมทั้งไข่และนมด้วย) ซึ่งก็เป็นเวลานานพอสมควรที่เขาเลือกทานแบบนี้
ทำความรู้จักกับ Pescetarian
รากของคำศัพท์นี้จริงๆ มาจากคำว่า Pesce ที่หมายถึง ปลา + Vegetarian หรือ กลุ่มที่ทานมังสวิรัติ จึงรวมกันเป็นคำว่า Pescetarian หรือบางคนก็เรียกว่า Pesco-Vegetarian ที่จริงคำๆ นี้ถูกนิยามขึ้นมานาน เพียงแต่ไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายในแถบเอเชีย แต่จะเป็นที่คุ้นเคยบางกลุ่มในโซนยุโรป และตะวันตกมากกว่า
พฤติกรรมการบริโภคของกลุ่มนี้ ก็คือ พวกเขาจะละเว้นการทานเนื้อสัตว์ แต่ยกเว้นเนื้อปลา และอาหารทะเลอื่นๆ ซึ่งบางคนก็จะจำง่ายๆ ว่า Pescetarian คือ กลุ่มที่ไม่กินเนื้อสัตว์บก
สตีฟ จ็อบส์ มีความเชื่อเกี่ยวกับ Pescetarian อย่างไร
เอาจริงๆ แม้แต่ในยุคของ สตีฟ จ็อบส์ เองสำหรับคำนี้ก็อาจไม่ได้แพร่หลายมากด้วยซ้ำไป เพราะจะมีแค่กลุ่มผู้บริโภคที่เฉพาะทางมากๆ ที่จะรู้จักคำนี้ และส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มบริโภคสายเขียว vegetarian หรือกลุ่มที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมมากๆ
เพราะถ้าดูจากข้อมูลของ Vegetarian Resource Group เปรียบให้เห็นภาพกันชัดๆ ก็คือ เนื้อวัวหนัก 1 ปอนด์ ต้องใช้ปริมาณน้ำมากถึง 2,500 แกลลอน ในขณะที่ถั่วเหลืองต้องใช้ปริมาณน้ำเพียง 250 แกลลอน ซึ่งอันนี้ยังไม่รวมกับผลกระทบอื่นๆ ที่เกิดจากการเลี้ยงสัตว์ด้วย เช่น การปล่อยก๊าซคาร์บอน เป็นต้น
ทั้งนี้ การทานแบบ Pescetarian สำหรับ จ็อบส์ เขาเคยพูดให้สัมภาษณ์ว่า การทานแบบนี้มีส่วนช่วยให้ความคิดของเขาสงบนิ่ง รู้สึกไม่วิตกกังวลง่ายเวลาที่ต้องใช้สมาธิคิดไอเดียอะไรสักอย่าง และเขารู้สึกถึงธรรมชาติที่ไม่เบียดเบียนกัน
ถ้าจะอธิบายให้เข้าใจถึงความหมายของ จอบส์ มากขึ้นก็คือ กลุ่มนักบริโภคแบบ Pescetarian ค่อนข้างให้ความสัญกับการสมดุลของธรรมชาติ การไม่เบียดเบียน การไม่สร้างผลกระทบให้กัน อย่าง การเลี้ยงวัว หรือสัตว์อื่น แม้แต่ หมู ก็ทำให้โลกของเราร้อนขึ้นได้เพราะก๊าซคาร์บอน
แต่สำหรับการทานเฉพาะปลา หรือสัตว์ทะเลอื่น กลุ่มนี้ (แบบเคร่งครัด) จะคำนึงถึงที่มาของสัตว์ ปริมาณในการหาเนื้อสัตว์ในทะเลในแต่ละครั้ง เพื่อไม่ให้วัฏจักรของสัตว์น้ำทะเลสะดุดเพราะดีมานด์ของคนที่มากขึ้น
นอกจากนี้ จ็อบส์ พูดว่า Pescetarian ช่วยให้กระบวนการทำงาน ความคิดของเรา จัดลำดับสมองได้ดี และมีความจำที่ดี นักวิทยาศาสตร์พูดว่า กลุ่ม Pescetarian จัดว่ามีความเสี่ยงเรื่องโรคหัวใจน้อยกว่ากลถ่มที่ทานเนื้อสัตว์อื่น และเป็นวิธีปอปปูล่าที่คนใช้ในการไดเอ็ตกันมากขึ้นด้วย
การเติบโตในตลาดของ Pescetarian เป็นอย่างไร
ด้วยความที่พฤติกรรมมันเริ่มเปลี่ยนอย่างชัดเจน ตั้งแต่ที่มีการระบาดของไวรัส COVID-19 ผู้คนหันมาใส่ใจกับสุขภาพมากขึ้น บริษัทวิจัย Mintel ประเมินโอกาสที่จะเกิดธุรกิจใหม่ๆ ขึ้นอิงจากกระแสของ Pescetarian ซึ่งล้อมาพร้อมกับกระแสการทานเนื้อสังเคราะห์ (Plant-based meat)
ทั้งนี้ กลุ่มผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกา กับอังกฤษ เห็นได้ชัดว่าเริมกระแสนี้ตั้งแต่สมัยของ สตีฟ จ็อบส์ และปัจจุบัน (2020) บริโภคที่หันหน้าเข้าสู่ Pescetarian เต็มตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5% ทุกปีตั้งแต่ 2016
Heather Middleton ฝ่ายมาร์เก็ตติ้งของ Seafish บริษัทชื่อดังของอังกฤษ พูดถึงเทรนด์นี้ว่า อนาคตจะมีกลุ่ม Pescetarian เพิ่มอีกมากทั่วโลก พอๆ กับกลุ่มที่เป็น Vegetarian ตามกระแสการ ‘ปลอดเนื้อสัตว์’ (meat free) เนื้อสัตว์ที่มาแรงมาก แต่ต้องมาคู่กับความยืดหยุ่นในการทานด้วย ดังนั้น Pescetarianism ดูค่อนข้างจะเดินสายกลาง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ไม่เข้าข่ายทารุณกรรมสัตว์ และดีต่อสุขภาพ
ถ้าวันนี้จะพูดว่า ผู้บุกเบิกคนแรกๆ ที่ทำให้โลกรู้จักกับคำว่า Pescetarian อย่างกว้างขวาง ก็คงต้องยกให้ สตีฟ จ็อบส์ เป็นหนึ่งในนั้นด้วย ซึ่งตอนนี้โลกหมุนกลับธุรกิจเอาใจกลุ่มรักษ์โลก ซึ่งอีกไม่นานเราคงจะเห็นธุรกิจที่เกี่ยวโยงกับรูปแบบการทานนี้มากขึ้น
ที่มา: observer, huffpost, seafoodsource