ในยุคที่ AI สามารถสร้างรูปภาพ วิดีโอ หรือแม้กระทั่งเสียงของใครก็ได้ขึ้นมา เราจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าคนที่เรากำลังสื่อสารด้วยบนโลกออนไลน์ คือ “คน” จริงๆ ไม่ใช่ Bot หรือ AI เรื่องนี้อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเห็นภาพคนเข้าคิวเพื่อ “สแกนม่านตา” ตามสถานที่ต่างๆผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเชั่นที่มีชื่อว่า World แถมมีข่าวลือว่าเป็นการสแกนข้อมูลม่านตาเพื่อแลกกับเงินเข้ากระเป๋า เรื่องนี้สร้างความกังวลให้หลายฝ่าย จนหน่วยงานภาครัฐต้องออกมาเตือนประชาชนถึงความเสี่ยงด้านข้อมูลส่วนบุคคล
เรื่องนี้ร้อนถึงขั้นที่ว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 กันยายน ที่ผ่านมา ทีมผู้บริหารของ World ในประเทศไทย ต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวเพื่อสยบข่าวลือทั้งหมด
แล้วความจริงของเรื่องนี้เป็นอย่างไร? World ID คืออะไร? ทำไมถึงต้องสแกนม่านตา? Marketing Oops! สรุปข้อมูลสำคัญๆทั้งหมดจากงานแถลงข่าวในวันนี้ มาให้อ่านกันแบบเข้าใจง่ายๆในบทความนี้แล้ว
ที่มาของ World ID?

เจ้าของโปรเจกต์นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ Sam Altman ผู้ก่อตั้ง OpenAI หรือผู้สร้าง ChatGPT ที่เราคุ้นเคยกันดีนั่นเอง ด้วยความที่เป็นคนที่อยู่แถวหน้าสุดของการพัฒนา AI ทำให้ Sam Altman มองเห็นปัญหาที่จะตามมา นั่นคือในอนาคต โลกออนไลน์จะเต็มไปด้วย Bot และAI ที่ซับซ้อนจนเราแยกไม่ออก โลกออนไลน์จะวุ่นวายไม่น่าอยู่อีกต่อไป
เพราะการเสพข่าวสาร การทำธุรกรรม การแสดงความคิดเห็น การซื้อของออนไลน์ หรือแม้การหลอกลวงกันออนไลน์ ก็จะมีเทคโนโลยี Bot หรือ AI ที่ไม่ใช่มนุษย์มาควบคุม สั่งการ หรือแม้กระทั่งหลอกลวงเราให้เสียหายได้
เอาแค่เรื่องง่ายๆอย่างการ “กดซื้อตั๋วคอนเสิร์ต” ที่ทุกวันนี้เราอาจเข้าไปซื้อไม่ทันกันเพราะมีคนใช้ bot ที่กวาดซื้อตั๋วจนหมด แล้วไป Resell ขายต่อกันในราคาสูงอีกที
นี่จึงเป็นที่มาของ World โปรเจกต์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ โดยมีหัวใจสำคัญคือ World ID
แล้ว World ID คืออะไร?
หลักการของ World ID ที่ทางผู้บริหารได้ออกมาย้ำในการแถลงข่าววันนี้ก็คือการ “พิสูจน์ความเป็นมนุษย์” (Proof of Human)
ย้ำอีกครั้งว่า สิ่งนี้คือการ “พิสูจน์ความเป็นมนุษย์” ไม่ใช่ “การยืนยันตัวตน” (Proof of Identity) พูดง่ายๆ คือ ระบบจะรู้แค่ว่า เราคือมนุษย์ที่มีตัวตนอยู่จริง 1 คนบนโลกนี้
แต่ระบบจะไม่รู้เลยว่า เราชื่ออะไร เป็นใคร อยู่ที่ไหน เหมือนการมีป้ายดิจิทัลที่บอกว่า “ฉันเป็นมนุษย์จริงนะ” โดยไม่ต้องบอกว่า “ฉันชื่ออะไร”
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วระบบยืนยันความเป็นมนุษย์แบบเดิมที่เราเคยใช้กันอยู่ล่ะ?
เชื่อว่าเราทุกคนน่าจะเคยเจอกับ CAPTCHA หรือภาพตัวอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ ให้เรากรอก หรือภาพที่ให้เราเลือกว่ารูปไหนคือ “สัญญาณไฟจราจร”

ในอดีต CAPTCHA ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อกัน Bot ได้เป็นอย่างดี แต่ในยุคนี้ที่ AI ฉลาดขึ้นมาก เพราะ AI สามารถแก้โจทย์ CAPTCHA ได้อย่างง่ายดาย บางครั้งอาจจะเร็วกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่า เกราะป้องกันแบบเดิมๆ ใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
นี่คือเหตุผลที่ World ID ต้องเข้ามาแทนที่ ด้วยการใช้สิ่งที่ AI ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ นั่นก็คือ “ข้อมูลชีวมิติ” ที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์แต่ละคน
แล้วทำไมต้องเป็น “ม่านตา” ซึ่งเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน? ทาง World ให้เหตุผลว่า เพราะม่านตาของมนุษย์แต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูงมาก และปลอมแปลงได้ยากที่สุด ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างระบบที่ปลอดภัยขึ้นมา
วิธีการทำงานของ World ID
ขั้นตอนการทำงานของระบบ World ID ที่ถูกต้องและปลอดภัย มีดังนี้
- ดาวน์โหลด World App ลงบนสมาร์ทโฟน
- เดินทางไปที่เครื่อง Orb มีติดตั้งแล้ว 58 จุดในไทย
- ให้ Orb สแกนภาพม่านตา และแปลงภาพนั้นเป็นรหัสตัวเลขที่ไม่ซ้ำกัน เรียกว่า Iris Code
- ข้อมูลถูกส่งมาที่แอปฯ ของเรา: รหัส Iris Code หรือ World ID นี้ จะถูกส่งมาจัดเก็บแบบเข้ารหัสไว้ที่ World App ในโทรศัพท์ของผู้ใช้แต่เพียงผู้เดียว โดยที่ World หรือบริษัทผู้พัฒนาจะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้
- ลบภาพต้นฉบับทิ้งทันที: สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทางผู้บริหารเน้นย้ำคือ ภาพม่านตาต้นฉบับจะถูกลบทิ้งจากเครื่อง Orb ทันที ไม่มีการจัดเก็บหรือซื้อขายใดๆ ทั้งสิ้น
เท่านี้ World ID ซึ่งเปรียบเสมือนพาสพอร์ตดิจิทัลที่ยืนยันว่าเราคือมนุษย์จริง ก็จะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยในโทรศัพท์ของเราเอง
เมื่อเรามี World ID อยู่ในมือถือแล้ว เวลาที่เราเข้าไปใช้งานเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันที่เป็นพันธมิตร แทนที่เราจะต้องมานั่งแก้โจทย์ CAPTCHA แพลตฟอร์มเหล่านั้นจะสามารถเชื่อมต่อกับ World App ของเราได้โดยตรง
อาจจะมีปุ่มให้กดว่า “Verify with World ID” เมื่อเรากดยืนยัน แอปฯ จะส่งสัญญาณกลับไปว่า “บัญชีนี้เป็นมนุษย์จริง” โดยไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวใดๆ
นี่คือวิธีการแก้ปัญหาที่ง่ายและปลอดภัยกว่าสำหรับผู้ใช้งาน และเป็นวิธีที่ Bot หรือ AI ไม่สามารถทำตามได้ เพราะมันไม่มี “ม่านตา” ที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อมายืนยันความเป็นมนุษย์นั่นเอง
World ID ปลอดภัยไหม?

นี่คือคำถามที่สำคัญที่สุด และเป็นความกังวลหลักของคนไทย ทางผู้บริหาร World ได้ชี้แจงประเด็นนี้อย่างละเอียด โดยสรุปมาตรการความปลอดภัยได้ดังนี้
เรื่องแรกคือ ทันทีที่ Orb สแกนม่านตา ภาพจะถูกแปลงเป็น Iris Code ซึ่งเป็นรหัสตัวเลข 0101 ที่ซับซ้อน ด้วยกระบวนการเข้ารหัสแบบทางเดียว (One-way Cryptography) ทำให้รหัสนี้ไม่สามารถถูกแปลงย้อนกลับมาเป็นภาพม่านตาของเราได้อีก ภาพต้นฉบับจะถูกลบทิ้งจากเครื่อง Orb ทันทีและอย่างถาวร
หัวใจสำคัญที่สุดของระบบคือ World ID หรือรหัส Iris Code จะถูกจัดเก็บแบบเข้ารหัสไว้ใน World App บนโทรศัพท์ของผู้ใช้เท่านั้น บริษัท Tools for Humanity ไม่สามารถเข้าถึงหรือดึงข้อมูลนี้ไปได้
เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ซอฟต์แวร์ทั้งหมดของ World เป็นระบบ Open Source ที่เปิดให้ทุกคนบนโลกเข้าไปตรวจสอบโค้ดได้บน GitHub/world
ระบบได้ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยจากบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ระดับโลกอย่าง Trail of Bits ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำงานให้กับองค์กรใหญ่อย่าง Ethereum และหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ
เพื่อยืนยันความมั่นใจ ทาง World ประเทศไทยยังได้ประกาศจัดโครงการ “Orb Hackathon” ที่เชิญชวนให้ผู้เชี่ยวชาญและนักพัฒนาเข้ามาทดสอบเจาะระบบ เพื่อหาช่องโหว่ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในความปลอดภัยของเทคโนโลยีด้วย
ใครเป็นคนทำตลาดในไทย?
ปัจจุบัน World ไปให้บริการอยู่ในหลายประเทศทั่วโลกอย่างเช่น สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, ไต้หวัน
ส่วนบริษัทที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินงานในไทย ก็คือ Tools for Humanity (TFH) ซึ่งนำทัพโดย คุณภัคพล ตั้งตงฉิน ผู้จัดการประจำประเทศไทย
ส่วนการขยายจุดให้บริการ Orb ให้ครอบคลุมทั่วประเทศนั้น TFH ไม่ได้ทำเพียงลำพัง แต่มีพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ คือ บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MVP ที่เรารู้จักกันดีในฐานะผู้จัดงาน Thailand Mobile Expo
การจับมือกับพันธมิตรที่มีเครือข่ายแข็งแร่งอย่าง เอ็ม วิชั่น ทำให้เราได้เห็นจุดตั้ง Orb ไปอยู่ในสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เช่น ร้าน Banana, JIB, NT รวมถึงที่ IMPACT ซึ่งปัจจุบันมีกระจายอยู่มากกว่า 58 แห่งแล้ว
ทำไมถึงต้องมีเรื่อง “แจกเงิน”?
เรื่องนี้เป็นประเด็นที่คนเข้าใจผิดมากที่สุดโดยคุณ Fabian Bodensteiner หนึ่งในทีมผู้ก่อตั้ง World ที่บินมาชี้แจงด้วยตัวเองในงานแถลงข่าว อธิบายว่า
สิ่งที่ User ได้รับแลกกับการสแกนม่านตาในช่วงนี้ ไม่ใช่ “เงินสด” แต่เป็นโทเคนดิจิทัลที่ชื่อว่า Worldcoin ซึ่งเป็นเพียงแรงจูงใจในช่วงเริ่มต้น เพื่อให้เครือข่ายผู้ใช้งานที่เป็นมนุษย์ขยายตัวได้เร็วขึ้น คล้ายๆ กับที่แพลตฟอร์มต่างๆ ใช้โปรโมชันดึงดูดลูกค้าในช่วงแรกนั่นเอง
ซึ่งถ้าหากตีเป็นมูลค่า ณ ปัจจุบัน โทเคนที่ได้รับจากการยืนยันตัวตนครั้งแรกก็มีมูลค่าราวๆ 1,000 บาท (ขึ้นอยู่กับราคาตลาดในแต่ละวัน) และจะได้รับเพิ่มขึ้นอีกหากเข้าไปกดรับโทเคนในแอปพลิเคชันทุกเดือนอย่างต่อเนื่อง
แต่แน่นอนว่า โทเคนดิจิทัลที่ว่านี้ ก็มีมูลค่าและสามารถนำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตในไทย และสามารถแลกเป็นเงินบาทได้เหมือนกับโทเคนอื่นๆ
ประเด็นสำคัญที่ทาง World ยืนยันคือ พวกเขาไม่มีบริการรับแลก Worldcoin เป็นเงินบาทโดยตรง ผู้ใช้งานจะต้องไปดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มอื่นด้วยตัวเอง
ให้คนใช้ฟรี แล้ว World จะหารายได้จากไหน?
เรื่องนี้คุณFabian ก็ให้คำตอบที่น่าสนใจ เพราะ โมเดลธุรกิจของ World คือ “ผู้ใช้งานทั่วไปจะได้ใช้ฟรีตลอดไป”
แต่ในอนาคต เมื่อเครือข่ายมีขนาดใหญ่และมีคุณค่ามากพอ World จะสร้างรายได้จากการเก็บค่าบริการจาก “ภาคธุรกิจ” หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ ที่ต้องการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อคัดกรอง Bot ออกจากระบบ
โดยล่าสุด World ได้ประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรในไทยแล้วหลายราย โดยแพลตฟอร์มที่จะนำเทคโนโลยี World ID ไปใช้ตอนนี้ก็จะมี 4 รายด้วยกันคือ
- Eventpop ที่จะใช้ World ID มาแก้ปัญหา Bot แย่งซื้อตั๋ว
- Pantip ที่อยากจะมั่นใจว่าทุกรีวิวและความเห็นมาจากคนจริงๆ
- Whoscall ใช้เพิ่มเกราะป้องกันมิจฉาชีพและแก๊งคอลเซ็นเตอร์
- Ragnarok Landverse เกมออนไลน์ที่ต้องการให้เกมปลอด Bot
และเพื่อแสดงให้เห็นว่า World จริงจังกับตลาดประเทศไทยบริษัท Tools for Humanity ได้ประกาศลงทุนกว่า 25 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้นักพัฒนาชาวไทยสร้างแอปพลิเคชันต่อยอดจากเทคโนโลยี World ID ด้วย
สรุปแล้ว สิ่งที่ World กำลังทำอาจเรียกได้ว่าเป็นความพยายามสร้าง “คอมมูนิตี้ของมนุษย์ที่ถูกยืนยันแล้ว” (Verified Human Community) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
กลยุทธ์การแจก Worldcoin เพื่อดึงดูดผู้ใช้ ก็คือการใช้เทคนิค Network Effect เพื่อเร่งสร้างขนาดของคอมมูนิตี้นี้ให้ใหญ่พอที่จะมีอำนาจต่อรอง
เมื่อคอมมูนิตี้นี้ใหญ่พอ มันจะกลายเป็นเหมือน “พื้นที่พรีเมียม” ที่ปลอด Bot และ AI ปลอมแปลง ซึ่งมีมูลค่ามหาศาลสำหรับแบรนด์และแพลตฟอร์มต่างๆ ที่ต้องการเข้าถึง “ลูกค้าตัวจริง” โดยไม่ต้องเสียงบประมาณไปกับบัญชีปลอมๆ
นี่คือหัวใจของโมเดลธุรกิจ B2B ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือการขายสิทธิ์ในการเข้าถึงคอมมูนิตี้ที่น่าเชื่อถือนี้ให้กับภาคธุรกิจ ในขณะที่ ปัจจุบันมีผู้ใช้งาน World แล้วกว่า 33 ล้านคนทั่วโลกโดยในประเทศไทยมีแล้ว 2 ล้านคน สิ่งนี้ก็น่าจะสะท้อนให้เห็นว่าปัญหา “การแยกคนออกจาก Bot” กำลังเป็นเรื่องใหญ่ที่คนจำนวนมากให้ความสำคัญ