จากนักเรียน MBA สองคนที่ค้นพบ “ความรู้สึก” ในไอศกรีมช่วงฤดูหนาวที่บอสตัน สู่การสร้างแบรนด์ไอศกรีมคราฟต์ที่ปฏิเสธกฎเกมการแข่งขันด้วยราคา และเติบโตเป็นธุรกิจร้อยล้านบาทด้วยกลยุทธ์ “ส่งผ่านความรู้สึกดี” ผ่านทุกสกู๊ปไอศกรีม นี่คือเรื่องราวของ Guss Damn Good ที่พิสูจน์แล้วว่า การทำธุรกิจด้วยหัวใจและความเข้าใจลูกค้า สามารถสร้างความยั่งยืนได้แม้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง บทสัมภาษณ์พิเศษจาก คุณระริน ธรรมวัฒนะ Co-founder / Chief Ice Cream Artist และ คุณนที จรัสสุริยงค์ ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท กัสส์ แดมน์ กู๊ด จำกัด
แรงบันดาลใจจากดินแดนหิมะ สู่ไอศกรีมที่ส่งผ่านความรู้สึก
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว คุณระรินและคุณนที สองเพื่อนที่พบกันขณะเรียน MBA ที่บอสตัน ได้ค้นพบแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนวงการไอศกรีมไทยไปตลอดกาล
“เราสองคนเป็นคนชอบกินไอศกรีม และเราเจออินไซต์ที่อเมริกาว่า คนที่นั่นทานไอศกรีมในหน้าหนาวเพื่อที่จะเหมือนเป็นการ remind of summer (ย้อนระลึกถึงฤดูร้อน)” คุณนทีเล่าให้ฟัง “เขามองไอศกรีมเป็นมากกว่า frozen dessert คือเขามองว่าไอศกรีมมันมีความรู้สึก”
จากแนวคิดนี้ ทั้งคู่จึงตัดสินใจนำกลับมาพัฒนาในประเทศไทย โดยมองเห็นช่องว่างในตลาดไอศกรีมไทยที่ขาดแบรนด์ที่เน้นไอศกรีมสกู๊ปล้วนๆ ที่ไอศกรีมเป็นพระเอกจริงๆ ซึ่งแตกต่างจากกระแสไอศกรีมที่เน้นท็อปปิ้งเป็นหลักในขณะนั้น
“Boston Texture” เอกลักษณ์ที่สร้างความแตกต่าง
หนึ่งในจุดขายหลักของ Guss Damn Good คือ “Boston Texture” ซึ่งเป็นเนื้อไอศกรีมที่มีลักษณะเฉพาะตัว
“เราเชื่อว่าบอสตันเป็นเมืองที่โคโลเนียล มีความเป็นอินเตอร์ระดับหนึ่งที่ไม่ไปทางอเมริกันจ๋าๆ ที่มันแบบนี้สุดๆ มันก็จะมีความเบาลงมานิดนึงครับ เราเลยเรียกมันว่า Boston Texture เป็นเท็กเจอร์ที่เราชอบ” คุณระรินอธิบาย
Boston Texture นี้เป็นเนื้อสัมผัสที่อยู่ระหว่างไอศกรีมสไตล์อเมริกันที่หนักกับเจลาโต้สไตล์อิตาเลียนที่เบา ทำให้ได้ความเนียนนุ่ม เหนียว แต่ไม่หนักเกินไป
กลุ่มเป้าหมายหลักของ Guss Damn Good คือ First Jobber หรือคนวัยทำงานที่เริ่มต้นชีวิตการทำงาน ไปจนถึงผู้ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ที่มองหาไอศกรีมระดับพรีเมียม ซึ่งมีราคาเริ่มต้นประมาณ 85 บาทขึ้นไป
จุดเริ่มต้นคอลแลปกับ Copper
ความร่วมมือพิเศษระหว่าง Guss Damn Good และ Copper เริ่มต้นจากเรื่องราวที่น่าสนใจ
“เกิดจากความประทับใจส่วนตัวจากการเป็นลูกค้าของ Copper มาก่อนอยู่แล้ว และได้มีโอกาสพบกับคุณเกษม ผู้ก่อตั้ง Copper ที่โรงงานผลิตวัตถุดิบแห่งหนึ่งในฝรั่งเศสโดยบังเอิญ” คุณระรินเล่า “เนื่องด้วยมีเพียงแค่ 2 แบรนด์ของไทยที่ได้รับเชิญไปจาก Supplier”
จากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน จึงเกิดเป็นคอลแลบอเรชั่นครั้งพิเศษนี้ขึ้น “เราเป็น craft ice cream ทุกรสจะมีเรื่องราวดีๆ อยู่รอบตัว จับเอาเรื่องราวรอบตัวมาทำ 10 ปีนี้ได้ทำสตอรี่ต่างๆ ให้กับแบรนด์มาร่วม 100 กว่าแบรนด์แล้ว”
สำหรับความร่วมมือกับ Copper คุณระรินเผยว่า “ทางคอปเปอร์อยากเสิร์ฟไอศกรีมคราฟท์ เลยได้นำมาเสิร์ฟที่นี่ แต่บุฟเฟ่ต์ที่คอปเปอร์ เป็นมากกว่าบุฟเฟ่ต์ทั่วไป (beyond buffet) เป็นเหมือนบุฟเฟ่ต์ที่เป็น fine dining”
กลยุทธ์ที่แตกต่าง: ไม่เล่นเกมลดราคา
Guss Damn Good มีจุดยืนที่ชัดเจนในการทำตลาด โดยไม่หันไปใช้กลยุทธ์โปรโมชั่นแบบคู่แข่งในตลาด
“เราแทบไม่ค่อยดูคู่แข่งเท่าไหร่ครับ เพราะว่า Guss Damn Good มีวิธีคิดที่เราไม่ได้จะต้องใช้โปรโมชั่นในการลดราคาขนาดนั้น” คุณนทีกล่าว “เราจึงไม่ได้ไปดูคู่แข่งว่าตอนนี้คู่แข่งลดราคาอะไรอยู่บ้าง”
“เราไม่เคยลดราคาทำโปรอะไรเลย ไม่เคยคิดจะทำบุฟเฟ่ต์ไอศกรีมเลย เพราะเป็นคราฟท์ไอศกรีม ไอศกรีมทำมือ”
แทนที่จะแข่งด้วยราคา Guss Damn Good เลือกที่จะเน้นคุณภาพและการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า โดยมีแคมเปญ Guss Grocery ที่ช่วยรักษายอดขายได้ดี
ขยายธุรกิจ B2B และแผนการเติบโต
“ต่อจากนี้ จะเริ่มโฟกัสที่ B2B มากขึ้นด้วย ในโอกาสการมาคอลแลปครั้งนี้กับคอปเปอร์ด้วย เราใช้ความพยายามเยอะในการทำให้ยอดขายไม่ตก” คุณระรินเผย
ปัจจุบัน Guss Damn Good มีแบรนด์ในเครือทั้งหมด 20 สาขา ประกอบด้วย:
- Guss Damn Good 18 สาขา
- Adam & Eve แบรนด์โยเกิร์ตซอฟต์เสิร์ฟกรีกที่ไร้น้ำตาล ราคา 89 บาท
- Balcony Cream Tea ทำจากชาไต้หวัน เปิดที่เพลินจิต
- จรัส แบรนด์ไอติมทอดสไตล์ไทยๆ เปิดที่บรรทัดทอง
“เชื่อว่า ในอนาคตจะขายเป็น retail ได้มากขึ้น อาจเข้าไปอยู่ใน 7-11 และโมเดิร์นเทรดต่างๆ ได้ในอนาคต อาจจะเห็นได้ภายในปลายปีนี้ หรือต้นปีหน้า”
สำหรับแผนขยายธุรกิจ มีเป้าหมายเติบโต 20% ในปีหน้า และพิจารณาการขยายไปต่างประเทศด้วย
ความหมายของความสำเร็จและวิสัยทัศน์อนาคต
เมื่อถูกถามถึงความสำเร็จ คุณระรินให้นิยามที่น่าสนใจ “ความสำเร็จขององค์กรจากการที่พนักงานหลักยังคงอยู่และภูมิใจในองค์กร”
สำหรับอนาคต “เราไม่ได้มองแค่ไอศกรีม ตอนนี้เราไม่ได้มองแค่ไอศกรีม ทุกอย่างไฮบริดกันไปหมด แปลงร่างกันไปหมด กระเพาะเราเท่าเดิม แต่ส่วนแบ่งกระเพาะเราเยอะไปหมดเลย”
Guss Damn Good วางวิสัยทัศน์ให้เป็นแบรนด์ที่สร้าง “ความรู้สึกดี” แก่ผู้คนในหลากหลายผลิตภัณฑ์ ไม่จำกัดเพียงไอศกรีม แต่อาจขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น กาแฟ คุกกี้ หรือแม้กระทั่งอาหารสัตว์เลี้ยง
เปิดเผยเบื้องหลังชื่อ “Guss” และความหมายที่ลึกซึ้ง
“คำว่า Guss มาจาก Focus และ Gut Feeling ตอนเริ่มทำ เราไม่ได้รู้มูลค่าตลาดอะไรเลย เราอยากให้มีไอศกรีมที่มีความรู้สึก มีเรื่องราว เต็มไปด้วยรสชาติที่คราฟท์” คุณนทีเผยเบื้องหลังการตั้งชื่อ
“Guss Damn Good คนนิยามกันว่า ย่อมาจากความอร่อย เป็นไอติมที่ไม่มีเหมือนใคร ครีเอท conversation ระหว่างผู้คนได้ดี รสชาติไอศกรีม อาทิ รส ‘u are so beautiful’ เป็นรสชาติที่ส่งความรู้สึกให้กันได้ทั้งสองฝ่าย ยังหารสชาติแบบนี้ชัดเจนไม่ได้จากที่ไหน นอกจากที่ Guss Damn Good”
สถิติความสำเร็จ 10 ปี และการสร้างคุณค่าที่แท้จริง
หลังจาก 10 ปีที่ดำเนินธุรกิจ Guss Damn Good มียอดขายประมาณ 100 ล้านบาทเมื่อปีที่ผ่านมา และกลายเป็นผู้บุกเบิกตลาดไอศกรีมคราฟต์ในไทย
“คนไทยชอบ Guss Damn Good เพราะเป็น craft ice cream เจ้าแรก วัตถุดิบที่ใช้ เป็นนมสดจากฟาร์ม และครีมสดจากฝรั่งเศส ซอลคาราเมลต่างๆ ทำแบบคราฟต์ทั้งหมด คนทานแล้วรู้สึกถึงความ Value ของไอศกรีม”
การเติบโตของ Guss Damn Good ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มาจาก word of mouth และการทำคอลแลบอเรชั่นกับแบรนด์ต่างๆ
“10 ปีที่ผ่านมา Guss Damn Good เป็น word of mouth ซะเป็นส่วนใหญ่ เป็นเหมือนมีเดียบางอย่างสำหรับแบรนด์ต่างๆ awareness ของเรามาจากการคอลแลปกับแบรนด์ใหญ่ที่ผ่านมา เรา activate good feeling ให้กับผู้คน”
บทสรุป: สูตรสำเร็จของไอศกรีมคราฟต์ที่ไม่ใช่แค่ของหวาน
Guss Damn Good สร้างความสำเร็จด้วยการยึดหลัก 3 ประการ คุณภาพเหนือราคา ด้วยการไม่เล่นเกมโปรโมชั่น เอกลักษณ์ Boston Texture ที่แตกต่างจากคู่แข่ง และ การสร้างความรู้สึกผ่านเรื่องราว แทนการขายเพียงผลิตภัณฑ์ จากจุดเริ่มต้นใน Flea Market สู่ธุรกิจ 100 ล้านบาทพร้อม 20 สาขา แสดงให้เห็นว่าการทำธุรกิจด้วยหัวใจและการเข้าใจลูกค้าลึกซึ้ง สามารถสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืนได้ในยุคที่การแข่งขันรุนแรง
บทสัมภาษณ์นี้แสดงให้เห็นถึงการเดินทางที่น่าสนใจของ Guss Damn Good จากการเป็นเพียงความฝันของนักเรียน MBA สองคน สู่การเป็นผู้นำตลาดไอศกรีมคราฟต์ในไทย ด้วยปรัชญาการทำธุรกิจที่เน้นคุณค่าและความรู้สึกมากกว่าการแข่งขันด้วยราคา