Facebook นับว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างมากของการทำการตลาดและนักการตลาดไม่ว่าจะจาก SME จนถึงระดับแบรนด์ใหญ่เอง ต่างก็พึ่งพา Facebook ในการเข้าถึง Consumer ต่าง ๆ และพยายามเปลี่ยน Consumer เหล่านั้นให้กลายมาเป็นลูกค้าตัวเองให้ได้ ด้วยวิธีต่าง ๆ กันออกไป ซึ่งการที่ใช้ Facebook นี้ก็นับว่าเป็นเรื่องปวดหัวอยู่เช่นกัน เพราะ Facebook มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องนโยบายการใช้งานอยู่ตลอดเวลาและมีการเปลี่ยนแปลงเรื่อง Algorithm อยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้นักการตลาดหลาย ๆ คน รู้สึกเหมือนโดนต้อนให้จนมุม และเหมือนถูกบีบบังคับให้ต้องทำโฆษณาหรือจ่ายเงินเพิ่มขึ้นต่าง ๆ ผ่าน Facebook ขึ้นไปนั้นเอง แต่การที่นักการตลาดจะมาจ่ายเงินเพิ่มทุกครั้งนั้น สักวันหนึ่งก็คงจะจ่ายไม่ไหวอย่างแน่นอน ดังนั้นการทำความเข้าใจว่าระบบการทำงาน Facebook นั้นทำงานอย่างไร และหาเครื่องมือมาช่วยเพื่อสามารถเล่นกับระบบ Algorithm ต่าง ๆ ของ Facebook ไว้ให้ได้นั้นจึงสำคัญมาก
เครื่องมือในยุคนี้ที่จะช่วยในการทำงานนั้นมีมากมาย จากที่ต้องใช้กำปั้นหรือมีดไม้มาทำสงครามในการตลาดกัน เครื่องมือกลายเป็นอาวุธอย่างปืนกล หรือปืนสไนเปอร์ ที่สร้างผลได้อย่างมีประสิทธิภาพต่าง ๆ ได้มากกว่าอย่างทันที ซึ่งเครื่องมือนี้ก็มีเครื่องมือตั้งแต่ฟรีและเสียเงิน แต่หากคุณได้ใช้และใช้ให้เป็นแล้วละก็จะสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารทางการตลาดคุณได้ทันที ทั้งนี้วันนี้ผมจะเอา 5 เครื่องมือที่ควรมีและควรใช้ในการมาต่อกรกับ Facebook Algorithms
1. Preferred Audience Targeting : เครื่องมือแรกนั้นจะเรียกว่าเป็นเครื่องมือที่กึ่งฟรีกึ่งต้องจ่ายเงิน เพราะ Preferred Audience Targeting นั้นจริง ๆ แล้ว Facebook เปิดให้ใช้งานได้ฟรีกับผู้ใช้เพจที่ใช้เป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น ซึ่ง Preferred Audience Targeting สามารถทำให้โพสนั้น สามารถระบุได้เลยว่าคนที่จะเห็นโพสนี้เป็นใครผ่านการทำ Segmentation ไมว่าจะเพศ อายุ ถิ่นที่อยู่ ความสนใจ และภาษา หรือสามารถใช้ Target แฟนของคู่แข่งคุณได้ทันที ทำให้โพสที่ออกไปจะตรงกลุ่มคนความสนใจของคนที่เป็นเป้าหมายคุณได้มาก ๆ แต่ถ้าคุณไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการทำเพจ สิ่งที่เป็นทางออกคือการจ่ายเงินให้ 3rd party tools อย่าง Sprootsocial หรือ Sprinklr ที่มีระบบให้เข้าไปกำหนดว่าโพสใครจะเห็นได้
2. Facebook IQ Audience Insights : เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือฟรีที่ Facebook นั้นให้ใช้งานด้วยการซื้อโฆษณาจาก Facebook แล้ว Facebook จะเปิดเครื่องมือที่เรียกว่า Audience Insights ให้เข้าไปใช้ ด้วยการใช้ Audience Insights นี้ทำให้นักการตลาดนั้นเห็นว่ากลุ่มเป้าหมายที่อยากได้นั้นมีจำนวนเท่าไหร่ เป็นเพศอะไร อายุประมาณเท่าไหร่ สถานะภาพต่าง ๆ และมีความสนใจ จนถึงใช้อุปกรณ์อะไรในการเข้าถึง Facebook เป็นส่วนใหญ่ได้ ทำให้นักการตลาดเอาข้อมูลตรงนี้ไปวางแผนต่อได้เลยว่าจะต้องสร้างโพสแบบไหนให้โดนใจกลุ่มคนเป้าหมายเหล่านี้ขึ้นมา หรือถ้าจะต้องเข้าไปทำกิจกรรมกับเพจต่าง ๆ จะเลือกเพจไหน หรือจะต้องทำโพสให้เหมาะสมกับอุปกรณ์อะไรออกมา
3. Social Monitoring : เมื่อทำ Facebook หรือ Social Media สิ่งสำคัญคือการติดตามดูว่าสิ่งที่ทำ หรือคู่แข่งนั้นทำอะไรอยู่ การใช้ติดตามเองแบบ manual นั้นอาจจะทำให้เกิดการเสียเวลาและเปลืองทรัพยากรคนไปอย่างมาก และอาจจะได้ไม่ครบถ้วนอีกด้วย การใช้ Social Media Monitoring ก็สามารถช่วยได้ ด้วยการที่เครื่องมือนี้จะไปเก็บค่าต่าง ๆ มาแสดงผล ทำให้คุณสามารถติดตามความเคลื่อนไหวของ Social ต่าง ๆ ได้ผ่านเครื่องมือ และปรับตัวหรือเจออะไรที่ผิดปกติได้ทันทีถ้าใช้ทุกวัน
4. Social Listening : การรู้ว่าผู้บริโภคนั้นชอบเรื่องอะไรใน Facebook นั้นไม่พอ แต่การรู้ด้วยว่าผู้บริโภคชอบคุยเรื่องอะไร มีความเห็นและมุมมองแบบไหนนั้นสำคัญ ด้วยเหตุนี้การใช้เครื่องมืออย่าง Social Listening นั้นจะช่วยทำให้นักการตลาดสามารถจับหัวข้อที่ผู้บริโภคคุยกันเด่น ๆ ได้ออกมา ทำให้สามารถเข้าใจได้ว่าสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการจะคุยหรือต้องการจะรู้คืออะไร เพื่อที่จะสามารถสร้างโพสที่มีเนื้อหา และภาษาที่ตรงกับสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการได้ทันที
5. Social Analytics : สุดท้ายแล้วการทำทุกอย่างต้องมีการวัดผลขึ้นมา การที่จะวัดผลได้เหล่านี้ถ้าใช้ Business Profile ตัว Facebook หรือ Social media ต่าง ๆ จะให้หน้า Analytics ที่มีความละเอียดสูงและให้ export ข้อมูลต่าง ๆ มาเพื่อวิเคราะห์เองต่อไปได้ด้วย ซึ่งนักการตลาดควรเปลี่ยนไปใช้ Business Profile เพื่อเหตุนี้ ซึ่งจะทำให้นักการตลาดได้ข้อมูลว่า คนมาปฏิสัมพันธ์เวลาไหน ข้อความไหน เพศไหนชอบแบบไหน อายุเท่าไหร่ และมีผลไปถึงเรื่องอื่น ๆ อย่างไรต่อไป ซึ่งการวิเคราะห์เชิงลึกเหล่านี้ ให้ประโยชน์มากมายต่อนักการตลาดที่ทำ Facebook และ social media marketing แน่นอน
