
ถ้าเมื่อ 3 ปีก่อน ใครบอกว่า TikTok จะเป็นแพลตฟอร์มหลักของแบรนด์ใหญ่ๆ หลายคนอาจจะยังส่ายหัว แต่ในปี 2025 นี้ ถ้าใครยังไม่มี TikTok เป็นหนึ่งในช่องทางการสื่อสารก็คงบอกได้เลยว่ากำลังปล่อย “โอกาสทอง” ให้หลุดลอยไปอย่างน่าเสียดายก็ว่าได้
ที่บอกแบบนี้ เหตุผลก็เพราะว่า TikTok ไม่ได้เป็นโซเชียลมีเดียคลิปสั้นที่ให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่ในแง่การตลาด TikTok เปรียบเหมือนกับ “Community” และเป็นเครื่องมือ “สร้างยอดขาย” ที่ดีมากๆในยุคนี้ โดยข้อมูลล่าสุดพบว่า TikTok มียอดใช้จ่ายทั่วโลก (Global Consumer Spending) ทะลุ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 4.89 แสนล้านบาท ไปแล้ว
อย่างไรก็ตามการเริ่มต้นในวันนี้ก็ “ยังไม่สาย” แต่การจะปั้นช่องท่ามกลางคอนเทนต์มหาศาลก็ต้องบอกตรงๆว่าไม่ง่ายแต่ก็ “ไม่ยากเกินไป” ดังนั้นบทความนี้ Marketing Oops! เลยไปย่อยอินไซต์สำคัญจาก “คู่มือการตลาด TikTok ฉบับปี 2025” โดย Buffer แพลทฟอร์มบริการบริหารจัดการโซเชียลมีเดียวชื่อดัง มาให้ครีเอเตอร์ นักการตลาด แบรนด์และคนทำธุรกิจให้มาได้เรียนรู้กันแบบเต็มๆ
1. ทำไมแบรนด์ยังต้องทุ่มงบให้ TikTok ในปี 2025?
แน่นอนเราเห็น TikTok เป็นแพลทฟอร์มที่กำลังมาจากหลายเหตุผล แต่หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้หลายแบรนด์ยังลังเลอยู่ก็คือ ความคิดผิดๆที่ว่า “TikTok มีแต่ เด็ก Gen Z” เท่านั้น
Buffer บอกว่า ข้อมูลนั้นเก่าไปแล้วเพราะตอนนี้ กลุ่มผู้ชม TikTok “กลุ่มผู้ใหญ่” กำลังโตอย่างต่อเนื่อง และนี้คือข้อมูลที่ทำให้เห็นชัดเจนว่า TikTok เป็นช่องทางที่ต้องมีในตอนนี้

กลุ่มเป้าหมาย “ผู้ใหญ่” กำลังโต ไม่ใช่แค่ Gen Z! Buffer อ้างอิงข้อมูลว่า กลุ่มคนวัยทำงานอายุ 35-44 ปี บน TikTok ตอนนี้มีสัดส่วนถึง 19% หรือคิดเป็น 190 ล้านคน นี่คือกลุ่มที่มีกำลังซื้อชัดเจนและกำลัง
ตลาดยังไม่ “อิ่มตัว” : Buffer อ้างข้อมูลว่า ผู้ใช้ในอเมริกาที่ Active ที่สุด เพียง 25% เป็นคน “ผลิต” คอนเทนต์ถึง 98% ของทั้งหมด นั่นแปลว่าคนส่วนใหญ่ยังเป็น “ผู้ดู” (Viewers) มันยังมี “ที่ว่าง” (Blue Ocean) อีกมหาศาลให้แบรนด์เข้าไปแจ้งเกิด
“ความจริงใจ” ชนะ “ความเป๊ะ”: นี่คือเรื่องที่เน้นย้ำกันบ่อยมากๆว่า TikTok เป็นแพลทฟอร์มที่ คอนเทนต์ “ดิบ”, สบายๆ, ดูไม่ได้วางแผน มักจะเวิร์กกว่าโฆษณาโปรดักชันเนี้ยบๆ ดังนั้น แบรนด์ที่กล้า “เรียล” จะชนะใจคนดูได้แน่นอน
สถิติที่น่าสนใจ
- 45% ของผู้ใช้ ค้นหาข้อมูลสินค้า “เพิ่มเติม” หลังเจอบน TikTok (ทำหน้าที่เหมือน Search Engine)
- 1 ใน 5 ของผู้ใช้ “เคยซื้อ” ของที่เห็นบน TikTok
- 30% ของผู้ใช้เคยซื้อของจาก TikTok Shop และที่น่าทึ่งคือ กลุ่มที่ซื้อเยอะสุดคืออายุ 35-54 ปี
นี่คือสถิติที่แสดงให้เห็นธรรมชาติของ TikTok ที่ทำได้แบบ Full-Funnel ก็ว่าได้
2. วางรากฐานให้ดีด้วย Business Account
ก่อนจะไปปั้นคอนเทนต์ Buffer แนะนำให้แบรนด์วางรากฐานช่องให้ดีก่อนด้วยการตั้งค่า “หน้าร้าน” ให้ถูกต้องโดยมีหลายเรื่องที่ต้องดูเรื่องแรกก็คือการใช้ Business Account แต่ต้องระวังเรื่องเพลง
Buffer แนะนำให้แบรนด์เปลี่ยนไปใช้ Business Account (บัญชีธุรกิจ) ทันที เพื่อเข้าความสามารถ Analytics ขั้นสูง และระบบ Ads ที่มีประโยชน์สำหรับการทำธุรกิจมากกว่า
แต่ก็ต้องมีสิ่งที่ต้องรู้ก็คือ บัญชี Business จะถูก “จำกัด” ให้เข้าถึงเฉพาะ Commercial Music Library หรือ “คลังเพลงเพื่อการพาณิย์” เท่านั้น นั่นแปลว่าเราจะไม่สามารถใช้เพลงฮิตติดกระแสที่กำลังไวรัลได้ทั้งหมด นี่คือสิ่งที่แบรนด์ต้องวางแผน และเลือกใช้เพลงที่ได้รับอนุญาต หรือมีป้าย “Approved for business use” เท่านั้น
3. ตั้งค่าโปรไฟล์ให้คนหาเจอ

โปรไฟล์ TikTok ก็เหมือน “หน้าร้าน” ของแบรนด์ดังนั้น Buffer ก็เลยแนะนำให้คิดตั้งแต่แรกให้ดีทั้งรูป ชื่อช่อง รวมถึง Bio ให้สื่อสารว่าคอนเทนต์ในช่องของเราเน้นเรื่องอะไรมีความสอดคล้องกันและตรงกันกับช่องทางอื่นๆที่เรามีฃ
“รูปโปรไฟล์” หรือ Profile Picture ต้องชัดเจนและสอดคล้องกับทุกช่องทาง แบรนด์ให้ใช้โลโก้ ครีเอเตอร์ ต้องหน้าชัด
“ชื่อช่อง” หรือ “Name” เป็นอีกเรื่องที่คนมองข้ามเพราะทุกวันนี้ TikTok ถูกใช้เป็น Search Engine มากขึ้นทุกวัน ดังนั้น Buffer ก็เลยแนะนำให้ใช้ประโยชน์จากช่อง “Name” (ที่ไม่ใช่ช่อง @Username) โดยการใส่ Keyword ที่เกี่ยวกับ Niche ของแบรนด์ลงไปเพื่อให้คนรวมถึงระบบรู้ว่าคอนเทนต์เราเกี่ยวกับกอะไรและกลุ่มเป้าหมายเราเป็นใคร ตัวอย่างเช่น “จอย สอนการตลาด” หรือ “คิม รีวิวคาเฟ่” เป็นต้น
“Bio” หรือคำอธิบายโปรไฟล์ก็ต้องอธิบายให้ชัดเจนว่าเราคือใคร, ทำอะไร, และคอนเทนต์ของเราเกี่ยวข้องกับอะไรช่วยให้คนดูได้อะไร ส่วน “ลิงก์หน้าโปรไฟล์” สำหรับบัญชีธุรกิจ ส่วนใหญ่ต้องมีผู้ติดตาม เกิน 1,000 คน จึงจะสามารถใส่ลิงก์ได้ ซึ่งถ้ามีผู้ติดตามเกินก็สามารถใส่ลิงก์อย่างเช่นเว็บไซต์ของแบรนด์ หรือช่องทางโซเชียลมีเดียวอย่าง IG หรือ facebook เข้าไปได้
4. จัดหน้าร้านด้วยการ Pin Posts 3 แบบ
แนะนำให้ใช้ประโยชน์จากการปักหมุด 3 โพสต์บนสุดของโปรไฟล์ ให้เหมือนการจัดแสดงสินค้าที่เด่นๆหน้าร้าน โดย Buffer แนะนำให้เลือกปักหมุดคลิป 3 รูปแบบก็คือ
- คลิปแนะนำแบรนด์/ตัวตน (เราคือใคร, ช่องนี้เกี่ยวกับอะไร)
- คลิปที่ไวรัลหรือปังที่สุด (เพื่อดึงดูดผู้ติดตามใหม่)
- คลิปที่เนื้อหาดีมีประโยชน์ แต่ยอดวิวอาจไม่ดีนัก (เพื่อดันคอนเทนต์คุณภาพ)
5. ปั้นคอนเทนต์ด้วยคลิปยาว Long-Form

ตอนนี้ใครทำคอนเทนต์ในคงรู้กันแล้วว่า คำว่า “TikTok ต้องสั้น” ไม่มีอีกต่อไปแล้วเพราะ TikTok เริ่มให้ความสำคัญกับคลิปที่มีความยาวเกิน 1 นาทีมากขึ้นแล้วในตอนนี้
ข้อมูลจาก Buffer ชี้ว่า บอกว่าวิดีโอที่ “ยาวเกิน 60 วินาที” มีแนวโน้มที่จะได้ Reach มากกว่า 43.2% และได้ Watch Time มากกว่า 63.8% เมื่อเทียบกับวิดีโอสั้นๆ
เหตุผลก็เพราะ TikTok กำลังขยับตัวไปสู้กับ YouTube ดังนั้นก็เลยต้องการให้คนใช้เวลาบนแพลตฟอร์มนานขึ้น ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่แบรนด์จะใช้การเล่าเรื่อง (Storytelling) หรือให้ความรู้แบบเจาะลึกได้มากขึ้นกว่าเดิม
6. Photo Carousel และ Text ก็กำลังมาแรง
จริงอยู่ที่ใน TikTok การทำคอนเทนต์วิดีโอคือดีที่สุด แต่ Buffer บอกว่าการโพสต์แบบ Photo Carousel และ แบบ Text ก็กำลังมาแรงเช่นกัน
จากการวิเคราะห์ข้อมูลของ Buffer พบว่าคอนเทนต์แบบ “Photo Carousel” หรือการโพสต์แบบอัลบั้มรูปที่ปัดดูได้ และแบบ “Text-based” หรือโพสต์เป็นข้อความก็เป็นวิธีที่กำลังมาแรงเช่นกัน โดยมียอดวิว (Views) ไล่ตามคอนเทนต์วิดีโอมาติดๆ โดยข้อมูลจาก Buffer พบว่าวิดีโอได้วิวมากกว่า Text แค่ 18% และมากกว่า Photo/Carousel เพียง 7% เท่านั้น
เหตุผลที่การโพสต์สองรูปแบบนี้ทำงานได้ดีก็เพราะมันทำหน้าที่ “หยุดสายตา” (Stop-scrolling) ให้คนหยุดปัดเพื่อ “อ่าน” หรือ “ปัดดูทีละภาพ” ซึ่งช่วยให้คนใช้เวลากับโพสต์นั้นมากขึ้นซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่ออัลกอริทึมของ TikTok เองด้วย
แล้วการโพสต์แต่ละรูปแบบเหมาะกับอะไรก็ต้องบอกว่า Photo Carousel จะเหมาะสำหรับการสรุป How-to เป็นขั้นตอน โชว์ผลงาน Before-After การ แชร์ Tips & Tricks เป็นข้อๆ หรือสรุปเทรนด์ต่างๆได้ ส่วน Text-based ใช้แชร์ข้อคิดสั้นๆ, Quote เด็ดๆ, หรือตั้งคำถามกระตุ้น Engagement ก็ได้เช่นกัน
สำหรับข้อดีของทั้งสองแบบนี้ก็คือเนื้อหาย่อยง่าย , คนมักจะ “เซฟ” (Save) เก็บไว้อ่านทีหลัง และยังช่วยเปลี่ยนมู้ดของช่องไม่ให้มีแต่วิดีโอจนน่าเบื่อได้ด้วย
7. LIVE แบบมือโปรและปิดการขาย

การ LIVE คือหัวใจสำคัญที่จะช่วยสร้างยอดขายได้เป็นอย่างดี นี่คือเทคนิคที่แบรนด์ต้องรู้เพื่อเปลี่ยน “ผู้ชม” ให้เป็น “ผู้ซื้อ” ให้ได้ โดยสิ่งแรกที่ต้องทำคือต้อง “เตรียมตัวให้ดี” ไม่ว่าจะเป็น การ “สร้าง Teaser Video” ปล่อยวิดีโอสั้นๆ กระตุ้นความสนใจล่วงหน้า และใส่ “สติกเกอร์นับถอยหลัง” ให้ผู้ชมตั้งการแจ้งเตือน
จัดตะกร้า LIVE ด้วยการวางแผนลำดับสินค้า รูปภาพ และโปรโมชั่นล่วงหน้า เพื่อให้การเล่าเรื่องไหลลื่น และลองใช้ฟีเจอร์ใหม่ Auto Product Sorting ช่วยจัดลำดับสินค้าให้อัตโนมัติตามความสนใจของลูกค้า
ให้ “บูสต์ LIVE ด้วยเครื่องมือ Ads (LIVE GMV Max) โซลูชันโฆษณาที่ทำให้ให้ไลฟ์สตรีมเข้าถึง “คนที่มีแนวโน้มจะซื้อจริง” ได้มากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพการเข้าชมไลฟ์ และเชื่อมโยงสินค้ากับกลุ่มเป้าหมายที่ตั้งใจซื้อสูงสุด
เข้าร่วมโปรแกรมจาก TikTok Shop เช่น LIVE Flash Deal (โปรโมชันแบบจำกัดเวลา) และ LIVE Specials (คูปองไลฟ์สำหรับร้านค้า) ต่อยอดด้วย LIVE Highlights (Auto-Generated Clips) ระบบจะช่วยตัดช่วงเวลาไลฟ์ที่ “ขายดี” หรือ “มีการมีส่วนร่วมสูงสุด” มาเป็น “วิดีโอสั้น” (Highlights) ให้อัตโนมัติ ช่วยให้ช่วยเวลาขายยาวนานยิ่งขึ้น แม้ไลฟ์จะจบไปแล้ว และยังช่วยขยายการมองเห็นทั้งบนหน้าร้านค้าได้ด้วย
Buffer เน้นย้ำว่า TikTok Shop ซึ่งบูมมากในไทยเป็นเครื่องมือปิดการขาย (Bottom-of-Funnel) ที่มีประสิทธิภาพมากๆ โดย Buffer แนะนำกลยุทธ์โดยนอกจากการ LIVE ที่อธิบายไปแล้วก็คือ
-
- ร่วมมือกับ Affiliates: ใช้นายหน้าหรืออินฟลูเอนเซอร์ช่วยโปรโมตสินค้า
- เสนอส่วนลดพิเศษ: สร้างแรงจูงใจให้ตัดสินใจซื้อทันที
8. โพสต์ TikTok เวลาไหนดีสุด (สำหรับช่องใหม่ที่ยังไม่มี Data)
มาถึงคำถามคลาสสิกที่นักการตลาดอยากรู้ที่สุด: “โพสต์ TikTok เวลาไหนดีที่สุด?” Buffer แนะนำว่า คำตอบที่ดีที่สุดในระยะยาวคือดูข้อมูล Analytics ของช่องเราเองเพราะผู้ติดตามแต่ละช่องมีพฤติกรรมไม่เหมือนกัน
แต่สำหรับคนเปิดช่องใหม่และเรายังไม่มีข้อมูลผู้ติดตาม Buffer ได้ทำการศึกษาครั้งใหญ่โดยวิเคราะห์ข้อมูลจากโพสต์กว่า 1 ล้านโพสต์ เพื่อหา “เวลาทอง” (Best Time to Post) โดยเฉลี่ยสำหรับช่องที่เพิ่งเริ่มต้น หรือยังไม่มีข้อมูลของตัวเอง
จากการศึกษาพบว่า เวลาที่ได้ Engagement ดีที่สุด (โดยเฉลี่ย)
- อันดับ 1: วันอาทิตย์ 20:00 น. (2 ทุ่ม) เพราะเป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่ผ่อนคลาย เตรียมตัวสำหรับสัปดาห์ใหม่ และมีแนวโน้มไถฟีดเพื่อความบันเทิง
- อันดับ 2: วันอังคาร 16:00 น. (4 โมงเย็น) เพราะเป็นช่วงท้ายของวันทำงาน หลายคนเริ่มมองหาคอนเทนต์เบาๆ ดู
- อันดับ 3: วันพุธ 17:00 น. (5 โมงเย็น) เพราะ เป็นช่วงเวลาเลิกงานของคนส่วนใหญ่ในวันกลางสัปดาห์
สำหรับแบรนด์และครีเอเตอร์ที่เพิ่งเริ่มต้น ให้ลองยึด 3 เวลานี้ ในการทดลองโพสต์ และหลังจากโพสต์ไปสักระยะ (เช่น 1-2 เดือน) ค่อยกลับไปดูข้อมูล Analytics ของช่องตัวเองเพื่อหา Sweet Spot ที่แท้จริงต่อไป
สรุปอินไซต์สำหรับ Marketer
โดยสรุป อินไซต์จาก Buffer ชี้ให้เห็นว่า TikTok ในปี 2025 มีเรื่องที่เปลี่ยนไปหลายอย่างไม่ว่าจะเป็น กลุ่มอายุที่คนวัยผู้ใหญ่เข้ามาอยู่ใน TikTok มากขึ้นนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนต้องมอง TikTok เป็นช่องทางการสื่อสารที่ทรงพลังในยุคนี้
อีกเรื่องก็คือ TikTok เป็นเครื่องมือทางการตลาดแบบ Full-Funnel ไม่ใช่แค่สร้าง Awareness แต่ต้องมองไปถึงการปิดการขาย (Conversion) โดยมี TikTok Shop เป็นเครื่องมือหลัก และหากใครสามารถใช้ TikTok LIVE ได้ก็จะเป็นอีกแต้มต่อใหญ่ที่จะเอาชนะคู่แข่งได้
ที่สำคัญในการทำคอนเทนต์ TikTok ก็คือ คอนเทนต์ที่ดู “ดิบ” และ “สด” คือสิ่งที่ผู้ใช้คาดหวังนอกจากนี้ก็คือต้องอย่าติดอยู่กับการทำ “คลิปสั้น” อย่างเดียว ควรต้องผสมผสานทั้งวิดีโอยาว แบบเกิน 1 นาที เพื่อเล่าเรื่อง และอาจผสมด้วยการทำ Photo Carousel เพื่อย่อยข้อมูลด้วยก็ได้
สุดท้ายอย่าลืมเรื่องสำคัญที่สุดก็คือการทำ SEO เพราะ TikTok กำลังกลายเป็นช่องทาง Search กำลังมาแรง แบรนด์ต้องวาง Keyword ในช่อง “Name” และในคอนเทนต์ เพื่อให้ลูกค้า “ค้นหา” เราเจอให้ได้
อ่านคู่มือฉบับเต็มแบบละเอียดได้ที่ Buffer
