ชวนรู้จัก ‘Guillaume Broche’ CEO Sandfall Interactive ผู้สร้างเกม Clair Obscur: Expedition 33 ทิ้งความมั่นคงจากบริษัทยักษ์ใหญ่ มาสร้างผลงานระดับโลกของตัวเอง

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

“ถ้าอยู่ที่เดิม ผมคงต้องรออีก 25 ปีกว่าจะได้ทำเกมแบบนี้ ซึ่งผมไม่มีความอดทนขนาดนั้น”

สำหรับใครหลายคน การได้มีหน้าที่การงานในบริษัทขนาดใหญ่ที่มีความมั่นคงนั้นเพียงพอแล้วให้ใช้ชีวิตวัยทำงานไปแบบยาวๆ โดยไม่ต้องห่วงกังวลอนาคตของชีวิต แต่สำหรับ Guillaume Broche (กีโยม บรูช) ความเบื่อระบบจำเจในองค์กรใหญ่ และความทะเยอทะยานอยากนำเกมที่ตนชอบในวัยเด็กกลับมาในเวอร์ชันของตัวเอง ทำให้เขาเลือกที่จะทิ้งความมั่นคงในยักษ์ใหญ่ อย่าง Ubisoft สู่การสร้างผลงานระดับโลกอย่าง เกม ‘Clair Obscur: Expedition 33’ ที่พึ่งคว้ารางวัล ‘Game of the Year’ และรางวัลอื่นรวมกว่า 9 รางวัล จากงานประกาศรางวัล The Game Awards 2025 ไปแบบสดๆ ร้อนๆ 

 

จับจอยตั้งแต่ยังอ่านหนังสือไม่ออก แม้เอาชนะบอสไม่ได้แต่นับเป็นประสบการณ์ที่ดี

 

กีโยม เกิดในครอบครัวชาวฝรั่งเศส ที่พ่อของเขายื่นจอยเกมให้จับตั้งแต่อายุราว 3 ขวบ ซึ่งเป็นในช่วงของยุคเครื่อง Mega Drive แต่ความทรงจำที่ชัดเจนที่สุดคือยุค PlayStation 1

กีโยมเผย กับ The Washington Post ว่าในช่วงที่ตนยังเด็ก ฝรั่งเศสเป็นประเทศหนึ่งที่เปิดรับ และชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยตัวเขาเองได้เติบโตมากับการเป็น ‘เด็กติดเกมญี่ปุ่น’ เช่นกัน โดยเฉพาะแนว JRPG โดยเกมที่เป็นเหมือนครูคนแรก และแรงบันดาลใจสูงสุดคือ ‘Final Fantasy VIII’

 

“เกมนี้ออกมาในช่วงที่ผมกับน้องชายแทบอ่านหนังสือไม่ออกด้วยซ้ำ และในการต่อสู้กับบอสตัวแรกพวกเราเอาชนะมันไม่ได้ เพราะเรากดคำสั่งโจมตีพิเศษไม่เป็น สิ่งที่พวกเราทำได้มีแค่การโจมตีขั้นพื้นฐาน ซึ่งมันแย่มาก”

 

แม้จะไม่สามารถเอาชนะบอสตัวนั้นได้ แต่กีโยมมองว่าเป็นประสบการณ์ที่ดี และ Final Fantasy VIII กลายเป็นแรงบันดาลใจชิ้นใหญ่ของเกม Clair Obscur: Expedition 33 ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาพตัวละครไปจนถึงโทนโรแมนติกของเกม

 

Photo Credit: Sandfall Interactive

 

เริ่มต้นชีวิตทำงานใน Ubisoft และจบลงด้วยความเบื่อหน่าย

 

กีโยมเล่าในช่อง Pouce Café ว่าเคยทำงานที่ Ubisoft ประมาณ 4 ปี และได้ประจำในหลายสาขาทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Assistant Creative Director ที่สาขาปารีส ฝรั่งเศส, Associate Producer ที่สาขา Malmö สวีเดน และ Brand Development Manager Narrative Lead ที่สาขาเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน

โดยผลงานชื่อดังที่กีโยมได้มีส่วนร่วมในการสร้าง เช่น

– Might & Magic: Heroes VII (2015) ในตำแหน่ง Creative Director Assistant

– Tom Clancy’s Ghost Recon: Breakpoint ในตำแหน่ง Project Coordinator

แต่ในขณะที่ประจำอยู่สาขาเซี่ยงไฮ้นี้เองที่ทำให้กีโยมเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับระบบงานในองค์กรใหญ่ที่มีความซ้ำซากจำเจ และกีดกันความคิดสร้างสรรค์ของพนักงานอย่างเขาอย่างมาก 

 

“พูดตรงๆ นะครับ ผมเริ่มรู้สึกเบื่อ ผมรู้ดีว่าถ้าผมยังอยู่ที่นั่น (Ubisoft) ผมคงต้องใช้เวลาอีก 25 ปีกว่าจะได้ขึ้นมาเป็น Creative Director และได้ทำโปรเจกต์ของตัวเองจริงๆ ซึ่งผมไม่มีความอดทนมากขนาดนั้น”

 

ในช่วงที่ประจำอยู่สาขาเซี่ยงไฮ้ คือราวปี 2019-2020 ที่จีนกำลังเผชิญหน้าสถานการณ์ Covid-19 และกีโยมเป็นหนึ่งในคนที่ต้องกักตัวตามมาตรการล็อกดาวน์ และนี่เองที่ทำให้เขาเริ่มต้นโปรเจกต์ส่วนตัวในชื่อ ‘Project W’ เพื่อฝึกใช้ Unreal Engine ด้วยตัวเองในตอนกลางคืน และกลายเป็นสารตั้งต้นของ Clair Obscur: Expedition 33 ในเวลาต่อมา

 

ก่อตั้ง Sandfall Interactive และประกาศหาคนผ่าน Reddit 

 

ในเดือนกันยายน ปี 2020 กีโยมตัดสินใจลาออกจาก Ubisoft และเดิมพันชีวิตไว้กับความฝัน และแพสชันที่มีต่อเกมเต็มตัว พร้อมกับก่อตั้งสตูดิโอ Sandfall Interactive ขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ที่เมือง Montpellier ประเทศฝรั่งเศส ร่วมกับพาร์ตเนอร์อีกสองคนคือ Tom Guillermin ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง CTO และเป็นเพื่อนร่วมงานกันใน Ubisoft สาขาสวีเดน โดยกีโยมเผยว่า ทอมเข้ามาดูแลด้านการเขียนโปรแกรมเต็มรูปแบบ หลังกีโยมตั้งต้นไว้ได้ราว 6 เดือน

ส่วนพาร์ตเนอร์อีกคนคือ François Meurisse ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง COO เพื่อนสมัยมหาวิทยาลัยของกีโยมที่เข้ามาช่วยดูแลเรื่องการบริหารจัดการ การเงิน และงานธุรการ เพื่อก่อตั้งบริษัท

ทั้งนี้ แม้จะมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่ในช่วงแรกงบประมาณของ Sandfall ยังมีไม่มาก กีโยมใช้วิธีประกาศหาทีมงานผ่านโซเชียลมีเดีย อย่าง Reddit และบอร์ดพูดคุยต่างๆ จนได้เจอกับ Jennifer Svedberg-Yen Lead Writer ที่ไม่เคยเขียนบทเกมมาก่อนแต่มาร่วมทีมด้วยแพชชั่นล้วนๆ รวมไปถึงสมาชิกคนอื่นๆ ที่เป็นนักเขียนโปรแกรมหน้าใหม่ รวมแล้วทีม Sandfall ช่วงแรกมีอยู่ 6 คน 

 

“ตอนที่ผมประกาศหาคน (ผ่าน Reddit) ผมไม่ได้มองหาคนที่มีประสบการณ์ 10 ปีในวงการ ผมมองหาคนที่อยากจะพิสูจน์ตัวเอง เหมือนกับที่ผมเป็น”

 

Photo Credit: Sandfall Interactive

 

จุดเริ่มต้น Clair Obscur: Expedition 33

 

“ปรัชญาในการสร้างเกมนี้ คือ ผมแค่ทำเกมในฝันที่ตัวผมเองอยากจะเล่นครับ”

 

Clair Obscur: Expedition 33 คือโลกที่ในแต่ละปีจะมีสิ่งมีชีวิตลึกลับที่รู้จักกันในชื่อ ‘จิตรกรหญิง’ (Paintress) ปรากฏตัวขึ้น และลดตัวเลขบนหินขนาดยักษ์ที่เห็นได้ชัดเจนจากบนเกาะ ‘Lumiere’ แม้จะอยู่ห่างไกล โดยตัวเลขที่ว่านั้นได้เริ่มต้นจาก 100 และถูกลดลงทุกปี ซึ่งเมื่อตัวเลขลดลง ทุกคนในอายุเดียวกันกับตัวเลขบนหินจะถูกทำให้หายไปตลอดกาล หรือเรียกกันว่าเหตุการณ์ ‘กอมมาจ’ (Gommage)

ในแต่ละปีที่ตัวเลขลดลงจึงมีการจัดตั้งทีมนักสำรวจเพื่อพยายามทำลายจิตรกรหญิง และหยุดวงจรนี้ จนมาถึงยุคที่ตัวเลขบนหินลดลงเหลือ 33 จึงเป็นตาของทีมสำรวจหมายเลข 33 หรือ Expedition 33 นำโดยตัวเอกอย่างกุสตาฟที่ต้องออกไปหยุดจิตรกรหญิง ซึ่งเป็นเนื้อหาภายในเกมนั่นเอง

ในด้านของรูปแบบการเล่น Clair Obscur: Expedition 33 ใช้รูปแบบ Turn-based สุดคลาสสิก ที่ถูกพัฒนาให้เป็น ‘Reactive Turn-Based’ ออกแบบมาเพื่อให้รางวัลกับฝีมือผู้เล่น ความตั้งใจ และสมาธิ ไม่ใช่แค่ค่าสเตตัสของตัวละคร ซึ่งกีโยมกล่าวว่า ถ้าผู้เล่น ‘เก่งพอ’ มีสมาธิ และตั้งใจเล่น จะสามารถหลบการโจมตีทั้งหมด สวนกลับบอส และจบการต่อสู้ได้โดยไม่เสียเลือดสักหยด กลายเป็นระบบเกมที่หยิบเอาความคลาสสิกมาสานต่อให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นคนที่ชอบเล่นเกมแนว Turn-based แบบเก่า หรือชอบออกท่าทางโจมตีเท่ๆ ก็สามารถสนุกกับระบบเกมนี้ได้

 

“ผมกำลังนั่งเล่น Sekiro อยู่ แล้วผมก็คิดขึ้นมาว่า ผมรักเกม Turn-based นะ แต่ทำไมผมถึง Parry ไม่ได้? ทำไมผมถึง Dodge ไม่ได้?  ผมอยากจะผสานความรู้สึกตื่นเต้นของการเล่นเกมแอคชั่นแบบนั้น เข้ากับระบบวางแผนของ Turn-based ที่ผมชอบ คุณจะวางจอยลงแล้วรอให้ศัตรูตีไม่ได้ เพราะต้องคอยดูตลอดว่าศัตรูจะทำอะไร”

 

Clair Obscur: Expedition 33 อาจได้รับแรงบันดาลใจจากเกมญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็น Final Fantasy, Dragon Quest, Lost Odyssey และ Persona แต่ในเกมนำเสนอความเป็นฝรั่งเศสอย่างชัดเจนเช่นกัน ตั้งแต่ขนมปังบาแกตต์ และชุดเบเรต์ ไปจนถึงดนตรีประกอบที่เต็มไปด้วยเสียงแอคคอร์เดียน ส่วนในแง่ของเนื้อเรื่อง กีโยมเผยว่า ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนิยายฝรั่งเศสเรื่อง La Horde du Contrevent ซึ่งเป็นนวนิยายแฟนตาซีเกี่ยวกับกลุ่มนักสำรวจที่เดินทางรอบโลก ทั้งนี้เรื่องราวของ Attack on Titan ได้ดึงดูดใจกีโยมอยู่เสมอเช่นกัน

โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สตูดิโอ Sandfall ขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื้องจากสมาชิกยุคแรก 6 คนสู่ 33 คนตามตัวเลขในชื่อเกมที่เผยทีหลังว่าเป็นเรื่องบังเอิญ และยังได้เซ็นสัญญากับ Kepler Interactive เพื่อเป็นผู้จัดจำหน่าย (Publisher) ที่สามารถดึงนักแสดงแถวหน้าของวงการอย่าง Charlie Cox จาก Daredevil และ Andy Serkis จากซีรีส์ Lord of the Rings มาให้เสียงพากย์ตัวละครได้ ทำให้คุณภาพของ Clair Obscur: Expedition 33 เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

 

Clair Obscur: Expedition 33 กวาดรางวัลกลับบ้าน ‘ล้นกระเป๋า’

 

ก่อนหน้านี้ Clair Obscur: Expedition 33 ได้กวาดรางวัลไปกว่า 7 สาขาในงาน Golden Joystick Awards 2025 ไม่ว่าจะเป็นรางวัล สตูดิโอยอดเยี่ยม ที่มอบให้กับทีม Sandfall Interactive หรือรางวัลใหญ่อย่าง Ultimate Game of the Year รวมถึง Game of the Year ใน Thailand Game Awards 2025 และล่าสุดวันนี้กับงาน The Game Awards 2025 ที่กวาดรางวัลได้กว่า 9 สาขา รวมถึง Game of the Year ชนะ Baldur’s Gate 3 ที่เคยทำไว้ 6 รางวัลในปี 2023 

ปัจจุบัน Clair Obscur: Expedition 33 มีรีวิวในระดับ Overwhelmingly Positive (97% ให้คะแนนบวก) บน Steam และทาง Sandfall Interactive ได้เพิ่มคอนเทนต์ใหม่เพื่อเป็นการขอบคุณแฟนๆ ที่นำรางวัลนี้มาให้ด้วย

 

Photo Credit: Sandfall Interactive

 

“So just thank you so much. Uh, you changed our lives. You changed the studio’s life. And it’s really wonderful. So thank you. And for those who come after.” – Guillaume Broche บนเวที The Game Awards 2025

 

Sources: Play Station Blog, Game Radar, BBC, The Game Awards 2025, Washington Post, Pouce Café


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE