เจาะไทม์ไลน์ 200 ปี ‘เซลูเรียน’ สีสุดแรร์แห่งวงการศิลปะ และ ‘Color of the Year’ สีแรกของ Pantone จากฉากในตำนาน ‘The Devil Wears Prada’

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ผ่านไปแล้วกว่า 19 ปี กับภาพยนตร์ในตำนานอย่าง The Devil Wears Prada ที่ประสบความสำเร็จอย่างสวยงามไม่ว่าจะเป็นด้านรายได้ที่โกย Box Office ทั่วโลกกว่า 326.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ บนทุนสร้าง 35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในแง่ของคำวิจารณ์ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการยอมรับ และถูกล่าวถึงอย่างกว้างขวางในการนำเสนอโลกแฟชันจนถูกหยิบยกมาเป็นกรณีศึกษาในห้องเรียนธุรกิจ และแฟชันอยู่บ่อยครั้ง

จนในที่สุดทาง 20th Century Studios ได้ประกาศเคาะวันฉาย ‘The Devil Wears Prada 2’ อย่างเป็นทางการช่วงเดือนพฤษภาคม 2026 ในการกำกับของ ‘เดวิด แฟรงเคิล’ คนเดิม พร้อมขนทัพนักแสดงหน้าเก่ามาครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Meryl Streep, Anne Hathaway และ Emily Blunt

ระหว่างที่กำลังรอภาคสองอยู่นี้ จึงได้โอกาสย้อนดูภาคหนึ่งอีกรอบ และเชื่อว่าคนที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วน่าจะตราตรึงใจกับฉากในตำนานอย่าง ‘สีเซลูเรียน’ ที่แอนเดรียผู้ไม่สันทัดในโลกแฟชัน โดนเจ้าแม่นิตยสาร Runway ฉอดสั่งสอนไปแบบยาวๆ ซึ่งพอไปศึกษาเพิ่มเติมเลยพบว่าจริงๆ แล้ว สีเซลูเรียนมีอินไซต์ และ Fact สนุกๆ หลายอย่างที่ได้รวบรวมมาฝากกัน

 

ย้อนไทม์ไลน์ 200 ปี ‘สีเซลูเรียน’

 

สำหรับสีเซลูเรียน มีรหัส RGB คือ 155, 183, 212 แลคำว่า Celurean ถูกใช้เป็นคำคุณศัพท์ระบุเฉดสีฟ้าเข้ม หรือน้ำเงินสว่าง คล้ายสีของท้องฟ้าที่แจ่มใสไร้เมฆ พบการใช้ครั้งแรกในภาษาอังกฤษราวปี 1590s และมีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า caeruleus ที่มีความหมายถึงสีฟ้าหรือสีน้ำเงินเข้ม ซึ่งรากฐานของคำนี้คือ caelum ที่แปลว่า ‘ท้องฟ้า’ หรือ ‘สวรรค์’ ได้ด้วย 

ในปี ค.ศ. 1805 นักเคมีชาวสวิส อัลเบรชท์ เฮิพฟ์เนอร์ (Albrecht Höpfner) ได้ค้นพบวิธีการสร้างสีเซลูเรียนเป็นครั้งแรก ด้วยการเผาส่วนประกอบตั้งต้นอย่าง โคบอลต์ซัลเฟต  ดีบุก เกลือ และซิลิกา ด้วยอุณหภูมิ 1,000- 1,200 องศาเซลเซียสจนเกิดเป็น ‘โคบอลต์สแตนเนต’ (Cobalt Stannate) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของสีเซลูเรียน

ทั้งนี้แม้จะสามารถผลิตได้แล้ว แต่กว่าจะผลิตได้ในเชิงพาณิชย์ และส่งผลกระทบต่อวงการศิลปะจริงๆ ต้องใช้เวลากว่า 55 ปี เพราะวัตถุดิบหลักอย่างโคบอลต์มีราคาสูงมาก และใช้เวลาในการผลิตนาน จนกลายเป็นเม็ดสีที่แพงเมื่อเทียบกับสีฟ้าอื่นๆ ที่มีอยู่แล้ว เช่น อัลตรามารีน (Ultramarine) หรือโคบอลต์บลู (Cobalt Blue)

 

George Rowney & Company ผู้ขายสีเซลูเรียนเจ้าแรก ในชื่อ ‘Coeruleum’

 

ปี 1860 เทคโนโลยีเตาเผาที่พัฒนาไปไกลขึ้น ทำให้นักเคมีสามารถควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ได้เป็นครั้งแรก จนผลิตเม็ดสีเซลูเรียนที่ ‘คงความบริสุทธิ์ของสี’ โดยไม่เพี้ยนไปเป็นเขียวหม่น เหลือง หรือดำเหมือนในยุคก่อน  ความก้าวหน้านี้เปิดทางให้ George Rowney & Company ก่อตั้งโดย จอร์จ โรว์นีย์ (George Rowney) ผู้เชี่ยวชาญด้านสีชาวอังกฤษ นำสีเซลูเรียนออกสู่ตลาดเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการเป็นคนแรก ภายใต้ชื่อการค้าว่า ‘Coeruleum’

ต่อมา George Rowney & Company ได้รวมกิจการกับ Daler Board Company เป็น Daler-Rowney และปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัท F.I.L.A. (Fabbrica Italiana Lapis ed Affini S.p.A.) ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องเขียน และอุปกรณ์ศิลปะสัญชาติอิตาลีที่ได้เข้าซื้อกิจการในปี 2016

 

สีที่จับภาพท้องฟ้าได้ดีที่สุด เกิดเป็นผลงานศิลปะมากมายใน ศตวรรษที่ 19-20

 

หลังจากที่สีเซลูเรียนสามารถผลิตได้ในเชิงพาณิชย์ทำให้ราคาลดลงมาจนจับต้องได้ ทำให้ศิลปินในยุคนั้นโดยเฉพาะกลุ่ม Impressionists และ Post-Impressionists ใส่สีเซลูเรียนเข้าไปในจานสีของตัวเองมากขึ้น เพราะเป็นสีฟ้าที่บริสุทธิ์และสว่างที่สุดในกลุ่มโคบอลต์ ทำให้สามารถนำเสนอสีของท้องฟ้า และอากาศเวลากลางวันได้อย่างสมจริง ต่างจากสีที่ใช้ก่อนหน้าอย่าง Ultramarine ที่ยังราคาแพงมาก และเข้มเกินไป หรือ Prussian Blue ที่มักจะเปลี่ยนสีเมื่อผสมกับสีอื่น

ผลงานของศิลปินชื่อดังในยุคนั้น อย่าง ‘La Gare Saint-Lazare’ (1877) โดย Claude Monet จิตรกรชาวฝรั่งเศส คือตัวอย่างหนึ่งของการใช้สีเซลูเรียนในการจับภาพท้องฟ้า และไอน้ำจากหัวรถจักรในสถานีรถไฟ Gare Saint-Lazare (ปารีส ฝรั่งเศส) ที่แม้จะเป็นภาพทีแสดงถึงความเป็นอุตสาหกรรม เมืองใหญ่ และความเร่งรีบของฝูงชนที่พลุกพล่าน แต่ภาพกลับดูสว่าง สะอาดตา และปลอดโปร่ง ด้วยการผสานสีเซลูเรียนเข้ากับองค์ประกอบสีฟ้าอื่นร่วมได้ เช่น อัลตร้ามารีน และเวอรีเดียน 

โดยการผสมสีเซลูเรียนร่วมกับสีน้ำเงินโคบอลต์ หรือสีสันสดใสอื่นๆ แพร่หลายมากขึ้นในเวลาต่อมา

 

Oscar de la Renta และ YSL ไม่ใช่คนจุดประกาย ‘เซลูเรียน’ แต่เป็น Pantone

 

“You’re also blithely unaware of the fact that in 2002, Oscar de la Renta did a collection of cerulean gowns. And then I think it was Yves Saint Laurent, wasn’t it, who showed cerulean military jackets”

 

ในช่วงที่มิแรนด้าฉอดแอนเดรีย ได้ยกตัวอย่างถึง Oscar de la Renta และ YSL ที่ใช้สีเซลูเรียนมาสร้างคอลเลกชันในปี 2002 ซึ่งน่าเสียดายที่ต้องบอกว่าบทพูดนี้ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อสร้างอรรถรส และทำให้เรื่องราวลื่นไหลเท่านั้น 

บทความของ New York Times เผยว่า “คอลเลกชั่นปี 2002 ของออสการ์ เดอ ลา เรนตา และแซงต์ โลรองต์ ไม่ได้เกิดขึ้นจริง” ทั้งยังให้ข้อมูลว่า ในปีนั้น หมวกคอสแซครัสเซีย เสื้อโค้ทปักลายประดับด้วยขนสัตว์ และชุดราตรีสีชมพูอ่อน-ทอง คือตัวเอกในโชว์ของเดอ ลา เรนตา ไม่มีโทนสีฟ้าเข้ามาข้องเกี่ยวแม้แต่น้อย

ส่วนฝั่ง แซงต์ โลรองต์ประกาศอำลาวงการในเดือนมกราคมปีเดียวกันนั้น โดยคอลเลกชั่นกูตูร์สุดท้ายคือการจัดแสดงย้อนหลัง ซึ่งในขณะนั้น ทอม ฟอร์ดเป็นผู้ออกแบบเสื้อผ้าให้กับ YSL และคอลเลกชันที่ว่านั้นคือ ชุดคาฟตันลายเสือดาว และชุดสูทกระโปรงกำมะหยี่สีดำ

ดังนั้น หากจะพูดให้ถูก ต้องย้อนกลับไปในปี 1999 ซึ่งเป็นปีแรกที่ Pantone Color Institute ประกาศสีประจำปี และ ‘เซลูเรียน’ คือสีประจำปี 2000 ในชื่อ ‘Celurean PANTONE 15-4020 TCX’

 

Pantone ประกาศให้ เซลูเรียน เป็นสีประจำปีสีแรก และอิทธิพลต่อแวดวงธุรกิจ

 

“Back in 1999 we were all worried about ‘Y2K’ and whether our computers would crash… We chose a color for 2000 that would personify the future: a millennial blue because it was inviting, hopeful, clean and enduring. We wanted to embrace the idea of the steadfast, constant sky.” – Leatrice Eiseman 

 

Leatrice Eiseman Executive Director ของ Pantone Color Institute (1985)  เผยว่า สาเหตุที่เลือกสี เซลูเรียน เพราะอยากนำเสนอภาพอนาคตที่สดใส ท่ามกลางความกังวลว่าคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะทำงานผิดเพี้ยนเมื่อขึ้นปีสหัสวรรษใหม่ หรือที่เรียกกันว่ายุค ‘Y2K’ โดยสีเซลูเรียนเองนำเสนอความหมายถึง ความมั่นคง และความสงบ

เลียทริซ ยังเผยอีกว่า “เราประหลาดใจมากกับความสนใจที่เกิดขึ้น” และเพราะกระแสตอบรับที่ท่วมท้นนี้เอง ทำให้ Pantone ไม่สามารถหยุดโครงการไว้แค่ปีเดียวได้ และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีการคัดเลือกสีประจำปีใหม่ทุกปี โดยสีที่เลือกนั้นจะสะท้อนถึง ‘จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย’ ออกมาได้ดีที่สุด จนกลายเป็นหมุดหมายทางวัฒนธรรมที่เป็นสัญลักษณ์ระดับโลกที่ทุกคนตั้งตารอคอย

ส่วนอิทธิพลของสีเซลูเรียนเองแม้ว่าจะเป็นสีแรก และเฉดสีฟ้าจะได้รับความนิยมอยู่แล้ว แต่การผลักดันให้เซลูเรียนเป็นสีแห่งปีทำให้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายขึ้นชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นด้านแฟชัน หรือการออกแบบผลิตภัณฑ์ และแน่นอนว่ายังเป็นอิทธิพลที่เป็นต้นกำเนิดของฉากในตำนานจาก The Devil Wears Prada ด้วย

 

‘The Devil Wears Prada’ ภาพยนตร์ระดับ Iconic แห่งยุค ที่มักถูกหยิบมาเป็นกรณีศึกษาในชั้นเรียน

 

กว่า 19 ปีหลังเข้าฉาย The Devil Wears Prada ยังคงเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ถูกพูดถึงซ้ำอยู่เสมอ ทั้งในวงสนทนาเรื่องแฟชัน วัฒนธรรมป๊อป ไปจนถึงคลาสเรียนด้านสื่อ การออกแบบ และการตลาดที่มักหยิบฉากหรือประเด็นจากเรื่องนี้มาใช้ประกอบการเรียนรู้ เพื่อตอกย้ำให้ผู้ชมเห็นว่า อิทธิพลของแฟชั่นและสีนั้นยิ่งใหญ่และลึกซึ้งกว่าที่เรามองเห็น ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ในปี 2026 The Devil Wears Prada ภาค 2 จะมีแง่คิดมุมมองในโลกอุตสาหกรรมแฟชันมากฝากเราอย่างไรบ้าง

 

Source: Winsor Newton UK , Refinery29 , 20th Century Studios , Pantone , Leatriceeiseman , Box Office Mojo


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE