อินเตอร์เน็ตเพื่อทุกสิ่ง หรือที่เราเรียกว่า Internet of Things (IoT) เป็นกระแสที่จะส่งผลต่อเกมธุรกิจในปี 2017 กิจการหลายๆเจ้าเห็นโอกาสจากการใช้ IoT และเชื่อว่า IoT จะช่วยทำให้ความสัมพันธ์กับลูกค้าเข็มแข็งขึ้นและทำให้ธุรกิจเติบโต
IoT จะช่วยเพิ่มคุณภาพ ผลิตผล ความน่าเชื่อถือ ลดต้นทุนและความเสี่ยง หากมีโมเดล IoT ที่ใช่ กิจการนั้นจะมีลูกค้าใหม่ๆ ได้เห็นและเข้าใจสิ่งใหม่ๆ และเพิ่มความพอใจให้ลูกค้าได้
โดยเหตุผลแรกที่ธุรกิจเอา IoT มาใช้คือเพื่อยกระดับคุณภาพสินค้าและบริการ เหตุผลต่อมาคือเพื่อเพิ่มคุณภาพแรงงานและความน่าเชื่อถือของการทำงานของธุรกิจ
ฉะนั้น ลองมาดูว่า IoT จะมีผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไรกันบ้างในปี 2017 กันดีกว่า
1) IoT และบล็อกเชน (Blockchain)จะทำงานด้วยกัน
บล็อกเชนสามารถประยุกต์กับหลายๆวงการนอกจาก FinTech เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นตัวเชื่อมระหว่างความเป็นส่วนตัว ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการรองรับการเพิ่มขยายได้ในอนาคต บล็อกเชนใช้ได้กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้หลายตัว เพื่อติดตามผลและประสานระหว่างอุปกรณ์เหล่านั้นได้ ทำให้ลดต้นทุนให้กับผู้ผลิตอุปกรณ์ IoT ได้มาก อัลกอริธึ่มของบล็อกเชนทำให้ข้อมูลของลูกค้ามีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
ในปี 2017 IoT กับบล็อกเชนจะทำงานด้วยกันเพื่อเพิ่มความปลอดภับและความเป็นส่วนตัวมากขึ้นสำหรับแอปพลิเคชั่น ฮาร์ดแวร์ และพรสวรรค์ต่างๆ
ใครอยากรู้จักบล็อกเชนมากยิ่งขึ้น คลิกที่นี่
กว่าธุรกรรมจะเสร็จสมบูรณ์ ต้องผ่านการรับรองจากระบบเครือข่ายตามลำดับ
2) การปฏิเสธการกระจายการให้บริการจะมีมากขึ้นสำหรับอุปกรณ์ IoT
DDoS (Distributed Denial of Service) คือการโจมตีโดยครอบงำบริการออนไลน์ที่มีการเข้าชมจากหลายแหล่ง ทำให้ทรัพยากรของเครือข่ายหรือเครื่องไม่สามารถใช้งานกับผู้ใช้ได้
DDoS ได้เกิดขึ้นกับ 1,600 เว็บไซต์ในอเมริกา ซึ่งเป็นเรื่องเล็กมากหากเทียบกับภัยที่มาจากอุปกรณ์ที่สามารถเชื่อมต่อได้ ฉะนั้น DDoS อาจเกิดเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ของ IoT ได้ด้วย อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเซิร์ฟเวอร์ของบริการอย่าง Twitter, NetFlix, NYTimes และ PayPal มาแล้ว ซึ่งหากเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ที่เชื่อต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ ก็จะมีผลกระทบต่อซอฟท์แวร์และเว็บไซต์เป็นล้านๆ อุปกรณ์ของ IoT ที่มีเทคโนโลยีที่ใช้กัยในชีวิตประจำวันอย่างเช่นกล้องเซอร์กิดปิดและอุปกรณ์ที่ใช้กับบ้านอัจฉริยะสามารถถูกมัลแวร์ปล้นได้ง่ายๆเลย แถมถูกใช้ไม่ให้ทำงานร่วมกับเซิฟเวอร์ด้วย
องค์ประกอบของ IoT ได้แก่ผู้ใช้งาน อุปกรณ์ เกจเวย์ ระบบเชื่อมต่อ คลาวด์ และแอปพลิเคชัน
3) IoT กับช่วงเวลาที่ใช้มือถือ (Mobile Moment)
IoT ถึงแม้นำภัยมาให้จาก DDoS แต่ก็นำโอกาสมาให้และเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันของธุรกิจทั้งในตลาดเดิมและตลาดใหม่ๆได้ IoT ไม่ใช่แค่มีผลต่อข้อมูลที่เราเก็บ แต่ผลกับวิธีการเก็บข้อมูล สถานที่ เวลา แม้กระทั่งสาเหตุที่เราต้องเก็บข้อมูลด้วย เทคโนโลยีที่ทำให้เกิด IoT ไม่ได้แค่มาเปลี่ยนอินเตอร์เน็ต แต่เปลี่ยนทุกอย่างที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ต
ช่วงเวลาที่ใช้มือถือเป็นช่วงเวลาที่คนเราจะหยิบมือถือมาเพื่อให้ได้สิ่งที่เราอยากได้ “ทันที” รวมถึงข้อมูลที่เราอยากรู้ด้วย และช่วงเวลาแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตทุกอย่างด้วยไล่ไปตั้งแต่อุปกรณ์อัจฉริยะในบ้าน รถอัจฉริยะ นาฬิกาอัจฉริยะ ไปจนถึงผู้ช่วยเสมือนจริง อุปกรณ์พวกนี้มีความสามารถที่จะเข้าถึงกระแสข้อมูล กลาเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ใช่แค่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค แต่โต้ตอบกับผู้บริโภคได้ด้วย
4) IoT, ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence), และคอนเทนเนอร์
ในสถานการณ์ของ IoT ปัญญาประดิษฐ์ หรือที่เราเรียกย่อๆว่า AI ช่วย “คิด” คัดกรองข้อมูลเป็นล้านๆ ให้หลายๆบริษัทได้รู้ว่าข้อมูลไหนที่สำคัญมีความหมายต่อกิจการจริงๆ ช่วยทบทวนและวิเคราะห์ข้อมูลที่กิจการได้เก็บมาแล้วหาแนวทางที่คล้ายๆกันเพื่อตัดสินใจในเรื่องต่างๆของธุรกิจได้ดีกว่าต่อไป
ปี 2017 เราจะได้เห็นซอฟท์แวร์ IoT ในบริการต่างๆไม่ว่าจะเป็น คลาวด์ เอจ และเกจเวย์ เราจะเห็น IoT แก้ปัญหาในเรื่องต่างๆได้โดย IoT บริการคลาวด์ที่ใช้ Machinelearning และ AI ก็จะต้องใช้ข้อมูลที่มาจาก อุปกรณ์ IoT ด้วย
5) IoT และความสามารถในการเชื่อมต่อ
เราใช้เทคโนโลยีอย่างWi-Fi, Bluetooth, Low Power Wi-Fi , Wi-Max, Ethernet , Long Term Evolution (LTE) และ Li-Fi ที่ใช้แสงเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างเครือข่ายและเซนเชอร์ มาเชื่อมต่อส่วนต่างๆของ IoT กับเซนเซอร์ได้ การเชื่อมต่อแบบไร้สารเช่น 3GPP narrowband, NB-IoT, LoRaWAN และSigfox จะถูกทดสอบหมดรวมไปถึงกฎเกณฑ์ต่างๆเพื่อให้อุปกรณ์ IoT มีมาตรฐานความสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้
6) IoT และคนมีฝีมือและพรสวรรค์ที่ยังขาด
องค์กรที่เริ่มโครงการที่เกี่ยวข้องกับ IoT อย่างเมืองอัจฉริยะและการอำนวยความสะดวกในอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องเผชิญกับปัญหาที่มีผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้เพราะมีน้อยและเป็นที่ต้องการและรับประกันอนาคตของ IoT ร้อยละ 45 ของบริษัท IoT ทั้งหมดพยายามดิ้นรนหาคนเก่งๆในด้านนี้ ร้อยละ 30 ก็เจอปัญหาในการจ้างนักการตลาดดิจิทัลเก่งๆเข้ามา
ทำให้ในปี 2017 บริษัทต้องลงทุนฝึกอบรมในด้าน IoT มีการรับรองคุณวุฒิ ให้เป็นโปรแกรมการฝึกสอนหลักๆในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี
7) IoT และโมเดลธุรกิจแบบใหม่
การเริ่มต้นการลงทุนในธุรกิจใด ๆ โดยไม่มีโมเดลธุรกิจที่เป็นรูปธรรมชัดเจนสำหรับ IoT อาจทำให้เกินภาวะฟองสบู่ในตลาดได้ โมเดลธุรกิจต้องตอบสนองทุกความต้องการสำหรับธุรกิจอย่างอีคอมเมิร์ซและตลาดผู้บริโภค รูปแบบธุรกิจใหม่รวมทั้งค่าใช้จ่ายร่วมกันของอุปกรณ์กับผู้บริโภคลดค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าของและการทำ UX น้อยยุ่งยากและมีความสุขมากขึ้น
ในปี 2017 เราจะเห็นสินค้าประเภทใหม่ๆที่ถูกเพิ่มเข้ามาในตลาดสมาร์ทดีไวซ์ องค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญคือการรวบบริการกับผลิตภัณฑ์เข้าไว้ด้วยกัน เช่นอุปกรณ์ Alexa ของ Amazon ซึ่งอาจเป็นแค่ลำโพงไร้สายอีกตัว ที่แค่สังไม่กี่คำ มันก็รับรู้เสียงเพลงสตรีมมิ่ง และจอง Uber ให้เราได้ทันที
httpv://www.youtube.com/watch?v=xenOYWVwkGY
IoT คือระบบนิเวศน์ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ของทุกๆอย่างจะเป็นอัตโนมัติมากขึ้นและจะทำงานร่วมกับเทคโนโลยีอื่นๆมากขึ้น ทำให้ IoT ใช้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น ทำให้ชีวิตทั้งที่บ้านและที่ทำงานงสะดวกสบายขึ้น ตั้งแต่เปิดตู้เย็น ที่จอดรถ ไปถึงบ้านอัจฉริยะ IoT ทำให้เรามีชีวิตดิจิทัลมากขึ้น อุตสาหกรรม IoT จะมีเม็ดเงินสะพัดกว่าหลายร้อยล้านดอลล่าร์ในอนาคตอันใกล้ IoT จะไม่ใช่แค่สินค้าแต่เป็นบริการ เราจะประยุกต์ใช้มันได้หลากหลายรูปแบบนับไม่ถ้วน
แหล่งที่มา
https://www.linkedin.com/pulse/7-trends-iot-2017-ahmed-banafa