ในวันที่ตลาดศูนย์บริการรถยนต์แบบฟาสต์ฟิต (Fast Fit) แข่งขันกันดุือดด้วยมาตรฐานและโปรโมชัน การสร้างความแตกต่างในทุกวันนี้อาจไม่ใช่แค่เรื่องของความเร็ว ความครบครัน หรือโปรโมชั่นที่คุ้มค่าเท่านั้นแล้ว แต่เป็นเรื่องของ “ความไว้วางใจ” หรือ Trust ซึ่ง ล่าสุด Cockpit (ค็อกพิท) ภายใต้การบริหารของบริดจสโตน เข้าใจจุดนี้ และได้ปล่อยแคมเปญภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่ฉีกกรอบเดิม ๆ ของวงการ เพื่อตอกย้ำจุดแข็งที่ซ่อนอยู่อย่าง “Local Expert” หรือ “ผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่” ของตัวเองออกมา
แคมเปญนี้ Cockpit ได้ร่วมมือกับ คุณแก๊ปโบ้-สิระ สิมมี ผู้กำกับที่สร้างชื่อจากบทบาทไรเดอร์สุดป่วนในซีรีส์ ‘สงครามส่งด่วน’ ซึ่งปัจจุบันได้เปิดโปรดักชั่นเฮาส์ของตัวเองในชื่อ “อะไรเอ่ย” (Any Remark) มาถ่ายทอดอินไซต์ที่แบรนด์ค้นพบ ให้ออกมาเป็นภาพยนตร์โฆษณาสุดสร้างสรรค์พร้อมกลิ่นอารมณ์ขันสไตล์แก๊ปโบ้ ที่ไม่ได้แค่สร้างเสียงหัวเราะเท่านั้น แต่เป็นความตั้งใจจะทลายกำแพงความลังเลในใจของผู้บริโภคลงให้ได้

จาก Pain Point สู่ Core Message “ผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่”
คุณตอง-นิรัตติศัย หงษ์ดิลกกุล ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของ Cockpit เล่าถึงโจทย์ของแคมเปญนี้ว่า แม้ Cockpit จะเป็นแบรนด์ที่มีสาขามากที่สุดในไทยถึง 264 สาขา แต่ยังพบว่ากลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ยังไม่รู้จักแบรนด์ดีพอ และมักมีความลังเลที่จะเข้าใช้บริการ โจทย์หลักจึงเป็นการสื่อสารจุดแข็งที่แตกต่างออกไป นั่นคือ “ความสัมพันธ์” และ “ความเชี่ยวชาญ” ที่ลูกค้าประจำในแต่ละพื้นที่มีให้กับ Cockpit เสมอมา
อินไซต์นี้ถูกนำมาขยายผลเป็นแนวคิด “Local Expert” ที่ช่างของ Cockpit ไม่ได้เป็นแค่พนักงานของบริษัท แต่เป็นเหมือน “ช่างใกล้บ้านที่ไว้ใจได้” ให้คำแนะนำที่จริงใจ แก้ปัญหาได้ตรงจุด และสร้างความสัมพันธ์จนลูกค้ารู้สึก “ติดช่าง” ซึ่งเป็นสิ่งที่แบรนด์คู่แข่งที่เน้นความเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกสาขาอาจให้ไม่ได้
หากึ่งกลางระหว่าง Insight และความ Creative
การร่วมงานกันระหว่าง Cockpit และแก๊ปโบ้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เป็นการต่อยอดจากความคุ้นเคยที่แก๊ปโบ้เคยร่วมงานลงเสียงให้กับแบรนด์มาก่อน จนมาถึงการ Pitching ไอเดียจน “อะไรเอ่ย” ได้งานในครั้งนี้ โดยเบื้องหลังแนวคิดของ TVC ที่ออกมา แก๊ปโบ้มองทะลุถึงปัญหาที่ว่า แม้ Cockpit จะมีมาตรฐานและผูกกับแบรนด์ใหญ่อย่างบริดจสโตน แต่การสื่อสารกับผู้บริโภคในวงกว้างยังน้อยเกินไป หลายคนยังไม่รู้จักหรือไม่นึกถึงเป็นตัวเลือกแรก
หัวใจสำคัญในการทำงานของแก๊ปโบ้คือ “การหาจุดกึ่งกลาง” ไม่ใช่แค่ระหว่างแบรนด์กับตัวโฆษณา แต่เป็นจุดที่ Insight ของแบรนด์และ Insight ของผู้กำกับมาบรรจบกัน ซึ่งในโปรเจกต์นี้ ทั้งแบรนด์และผู้กำกับเห็นตรงกันในจุดที่ว่า “คนยังลังเล” ที่จะเข้า Cockpit เมื่อได้แก่นความคิดที่แข็งแรงแล้ว การหา Execution ที่สร้างสรรค์จึงตามมา
แก๊ปโบ้เล่าว่า ไอเดียส่วนใหญ่มักเกิดจากสิ่งรอบตัวในชีวิตประจำวัน สิ่งที่คนทั่วไปสามารถ relate ได้ การหยิบเอาโมเมนต์การลุ้นฟุตบอลมาผูกกับความลังเลว่าจะ “เข้าหรือไม่เข้า” หรือการนำเสนอความรู้สึกของลูกค้าที่กลัวจะโดนหลอก มาตีความเป็นธีม “ไม่อยากขาย” ต่างก็เป็นวิธีการบาลานซ์ระหว่าง Message ที่แบรนด์ต้องการจะสื่อ กับวิธีการเล่าที่สนุกและเข้าถึงใจคนดูได้อย่างลงตัว
วิเคราะห์ 4 พล็อตเรื่องสุดจี้ ที่ตีโจทย์ความลังเล
แคมเปญนี้ถูกเล่าผ่านภาพยนตร์โฆษณา 4 เรื่อง ที่เผยแพร่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม – พฤศจิกายน 2568 โดยแต่ละเรื่องถูกออกแบบมาเพื่อทลายกำแพงในใจของผู้บริโภคทีละชั้น
1. จะเข้าไม่เข้า: โฆษณาตัวแรกหยิบเอาความลังเลของลูกค้าใหม่มาขยี้ด้วยการเล่าเรื่องแบบ Parallel กับฉากลุ้นฟุตบอลว่าจะ “เข้าหรือไม่เข้า” ประตู เป็นการเปิดประเด็นแบบดึงดูดความสนใจ ใช้การสื่อสารแบบตรงไปตรงมาและสร้างความ relatable ให้กับคนที่ไม่เคยใช้บริการ Cockpit มาก่อน ให้กล้าที่จะลองเปิดใจเข้ามา แล้วพบกับบริการที่อบอุ่นและเป็นมืออาชีพ
2. ไม่อยากขาย: เจาะลึกไปที่ Pain Point สำคัญของผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงหรือคนที่ไม่สันทัดเรื่องรถ คือความกลัวที่จะถูก “ยัดเยียด” การขายหรือการซ่อมที่ไม่จำเป็น โฆษณานี้สร้างความเชื่อมั่นด้วยการนำเสนอภาพช่างที่ให้ข้อมูลตามจริง อะไรไม่เสียก็ไม่แนะนำให้เปลี่ยน ซึ่งสะท้อนความจริงใจที่เป็นหัวใจของ “Local Expert” ได้อย่างชัดเจน
3. ติดช่าง: นี่คือ Key Message ที่ตอกย้ำความสำเร็จของกลยุทธ์ Local Expert ได้ดีที่สุด การใช้ภาพลูกค้า “ตัวติดกับช่าง” เป็นการตีความความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) ออกมาเป็นภาพที่เข้าใจง่ายและน่าจดจำ สะท้อนให้เห็นว่าเมื่อลูกค้าเจ็บจากที่อื่นมา แต่มาจบปัญหาที่ Cockpit ด้วยคำแนะนำที่จริงใจ ก็พร้อมที่จะเป็นลูกค้าประจำไปตลอด โฆษณาตัวนี้จะปล่อยในเดือนตุลาคม 2568
4. รวมมิตร: เป็นการนำทั้ง 3 เรื่องราวมาร้อยเรียงกันอีกครั้ง เพื่อสรุปและย้ำเตือน Message ทั้งหมดของแคมเปญให้ฝังลึกในใจผู้บริโภคโดยตัวนี้จะปล่อยในเดือนพฤศจิกายน 2568
กลยุทธ์การสื่อสารที่ไม่ได้จบแค่ TVC
ความน่าสนใจของแคมเปญนี้ไม่ได้อยู่แค่ตัวโฆษณา แต่ยังรวมถึงแผนการสื่อสารที่เฉียบคมซึ่งเป็นแนวคิดของคุณตอง-นิรัตติศัย ที่เน้นช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยร่วมมือกับ Influencer จำนวนมากในการสร้างคอนเทนต์ต่อยอด ทั้งการทำคลิปล้อเลียน (Parody) การรีแอค (React) และการแชร์ประสบการณ์จริงที่สอดคล้องกับเนื้อหาในโฆษณา ทำให้ Message ของแบรนด์ถูกกระจายออกไปในวงกว้างและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
โฆษณาตัวที่ 5 สร้างคุณค่าคืนสู่สังคม
นอกจากการสร้างแบรนด์เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคแล้ว Cockpit ยังมองไปถึงการสร้างคุณค่าคืนสู่สังคม โดยเตรียมปล่อยโฆษณาตัวที่ 5 ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วง 7 วันอันตราย โดยโฆษณาตัวนี้จะฉีกแนวจาก 4 ตัวแรกอย่างสิ้นเชิง เพื่อรณรงค์เรื่องความปลอดภัยบนท้องถนน
โดย Cockpit จะชี้ให้เห็นว่าอุบัติเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากสภาพรถยนต์ที่ไม่พร้อมใช้งาน และ Cockpit ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ ต้องการเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดอุบัติเหตุ โดยจะนำเสนอในรูปแบบภาพยนตร์ยาวที่อาจจะไม่ได้พูดถึงแบรนด์โดยตรง แต่ใช้แทคติกให้แบรนด์โผล่มาเล็กน้อย เพื่อสร้างไวรัลและตอกย้ำว่าการดูแลรถให้ “คุ้ม ครบ ไว” ที่ Cockpit ไม่ได้ให้แค่ความคุ้มค่า แต่ยังมอบ “ความปลอดภัยในชีวิต” กลับไปด้วย
โดยสรุป แคมเปญใหม่ของ Cockpit ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างแบรนด์ที่ลึกซึ้งกว่าแค่การรับรู้ (Awareness) แต่เป็นการสร้างความไว้วางใจ (Trust) และความเชื่อมโยงทางอารมณ์ (Emotional Connection) กับผู้บริโภค การดึงอินไซต์ “Local Expert” มาเล่าผ่านมุมมองที่สดใหม่และเต็มไปด้วยอารมณ์ขันของ “แก๊ปโบ้” และทีมงาน “อะไรเอ่ย” คือการพิสูจน์ว่า แม้จะเป็นธุรกิจบริการที่ดูจริงจัง แต่ก็สามารถสื่อสารด้วยวิธีที่สนุกสนานและเข้าถึงใจคนได้อย่างน่าทึ่ง