ic!berlin วางโพสิชั่นเหนือตลาดด้วย “Quiet Luxury” กับกลยุทธ์ Localized Marketing พลิกวิกฤตเศรษฐกิจ สร้างยอดขายเติบโต

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

การเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ของ ic!berlin โดยบริษัท อายลิ้งค์ วิชั่น ภายใต้ธีม “THE SILVER LIGHT OF THE MOON” ไม่เพียงเป็นการเปิดตัวสินค้าใหม่ แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การตลาดที่เชิงรุกและการปรับตัวของแบรนด์ระดับโลกในตลาดที่มีการแข่งขันสูง โดยประเทศไทยได้กลายเป็นตลาดสำคัญอันดับ 2 ของโลกสำหรับ ic!berlin

 

ภาพรวมตลาดและการวิเคราะห์โอกาส

ตลาดแว่นตาค้าปลีกในประเทศไทยมีมูลค่ารวมประมาณ 6,000 ล้านบาท โดย ic!berlin สามารถทำยอดขายได้ประมาณ 100 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงส่วนแบ่งการตลาดที่แข็งแกร่งในกลุ่มแว่นตาระดับพรีเมี่ยม

อายลิ้งค์ วิชั่นในฐานะผู้นำเข้าและจำหน่ายแว่นตาชั้นนำระดับโลกกว่า 20 แบรนด์ สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดแว่นตาฟังก์ชั่นนอลในประเทศไทยเกิน 80% ของตลาดรวม โดย ic!berlin เป็นเรือธงในการทำตลาดและถือครองตำแหน่งผู้นำในกลุ่ม Functional eyewear ด้วยส่วนแบ่ง 70-80%

ทั้งนี้ ตลาดแว่นตาในไทยแบ่งออกเป็น 50% แฟชั่น และ 50% ฟังก์ชั่นนอล โดย ic!berlin มีจุดแข็งในกลุ่มลูกค้าที่มีอายุ 25-70 ปี ซึ่งกลุ่มหลักที่มีกำลังซื้อสูงสุดคือช่วงอายุ 30-40 ปี ด้วยราคาขายปลีกกรอบแว่นตาที่ 16,000-17,000 บาท

คุณประพันธ์ ผดุงเกียรติสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท อายลิ้งค์ วิชั่น จำกัด และ มร.ดาวิเด ลุนกี้ ผู้จัดการทั่วไปของ ic!berlin ประเทศเยอรมัน

รุกตลาดด้วยกลยุทธ์ “Quiet Luxury”

การเข้าสู่ตลาดก่อนคู่แข่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ic!berlin สามารถสร้างฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในประเทศไทย โดยแบรนด์เข้าสู่ตลาดไทยตั้งแต่ปี 2003 และสร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมระบบบานพับที่เป็นเอกลักษณ์และจดลิขสิทธิ์ ซึ่งสามารถถอดประกอบได้โดยไม่ต้องใช้สกรู การเป็นผู้บุกเบิกตลาดทำให้แบรนด์สามารถสร้างการรับรู้และความไว้วางใจจากผู้บริโภคไทยได้เป็นอย่างดี ก่อนที่คู่แข่งรายอื่นจะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาด

กลยุทธ์ “Quiet Luxury” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ ic!berlin มีความยืดหยุ่นในการรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ แบรนด์มีการวางตำแหน่งเป็นสินค้าหรูที่เน้นความเรียบหรูและคุณภาพมากกว่าการอวดโลโก้หรือสัญลักษณ์ที่โดดเด่น ความเป็น “quiet luxury” นี้ทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถใช้งานได้หลากหลายโอกาสโดยไม่ต้องกังวลเรื่องความเหมาะสมกับชุดหรืองาน นอกจากนี้ยังช่วยให้แบรนด์ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตเศรษฐกิจเท่ากับแบรนด์หรูอื่นๆ ที่เน้นการอวดสถานะ

การตลาดแบบ Localized เป็นกลยุทธ์ที่ ic!berlin ใช้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น โดยเป็นประเทศเดียวในโลกที่แบรนด์มี Brand Ambassador ซึ่งได้แก่ดาราไทยชื่อดังอย่างคุณหมาก – ปริญ สุภารัตน์ ที่ทำหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์มาเป็นเวลา 4 ปีติดต่อกัน การใช้ดาราท้องถิ่นช่วยสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับผู้บริโภคไทย และยังมีการจัดกิจกรรมพิเศษต่างๆ เช่น คอนเสิร์ตและปาร์ตี้เพื่อสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำให้กับลูกค้า กลยุทธ์นี้ได้ผลเป็นอย่างดีในการสร้างยอดขายและการรับรู้ของแบรนด์ในวงกว้าง แต่อย่างไรก็ตามเร็วๆ นี้เราอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง Brand Ambassador เพื่อเข้าใกล้กับคนรุ่นใหม่มากขึ้น

ความท้าทายของสภาพเศรษฐกิจ กระทบยอดขายหนักถึง 30%

แม้ว่าตลาดโลกจะเผชิญกับความท้าทายอย่างมากในปี 2024 และ ic!berlin คาดการณ์ว่ายอดขายจะลดลง 20-30% จากปีที่แล้ว ซึ่งแย่กว่าช่วง COVID-19 เนื่องจากปัจจัยหลายอย่างที่เกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น หนี้ครัวเรือนสูง นักท่องเที่ยวลดลง และภาวะไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ตาม ตลาดไทยยังคงมีความยืดหยุ่นมากกว่าประเทศอื่น เนื่องจากมีแผนการตลาดที่มั่นคงและสม่ำเสมอมาตลอด 20 กว่าปี

ในส่วนงบฯ การตลาดและการลงทุน บริษัทฯ คาดว่าจะใช้งบการตลาดประมาณ 20 ล้านบาทสำหรับแบรนด์ ic!berlin ในปีนี้ เพื่อพยายามพลิกสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเน้นการสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมกับผู้บริโภค

 

กลยุทธ์การตลาดใหม่และแผนอนาคต

การเปิดตัวคอลเลกชันใหม่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการกระตุ้นตลาดและสร้างความสนใจจากผู้บริโภค การนำเสนอ 2 คอลเลกชันพิเศษในครั้งนี้ ได้แก่ คอลเลกชันความร่วมมือกับ Mercedes-Benz และ Mercedes-AMG x ic!Berlin ซึ่งเป็นคอลเลกชันรุ่นที่ 6 และ Fall Winter 25/26 เป็นการแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดระดับสูง คอลเลกชัน Mercedes มีการออกแบบที่หลอมรวมความหรูหราของรถยนต์เข้ากับดีไซน์แว่นตาแบบมินิมอล ขณะที่ Fall Winter 25/26 มาพร้อมกับเทคนิค “Horizontal Color Split” ที่ช่วยให้ใบหน้าดูเรียวยาวขึ้น

การปรับเปลี่ยน Brand Ambassador เป็นส่วนสำคัญของแผนการตลาดระยะยาว เนื่องจากสัญญาของคุณหมาก – ปริญ สุภารัตน์ จะสิ้นสุดลงในช่วงต้นปี 2568 บริษัทมีแผนการเลือกพรีเซ็นเตอร์ใหม่ที่เป็นผู้ชายและมีอายุน้อยลง เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค Generation Z ได้มากขึ้น และช่วยรักษาความสดใหม่ของภาพลักษณ์แบรนด์ ไม่ให้ดูแก่ตามอายุของพรีเซ็นเตอร์ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับกลยุทธ์เพื่อให้เข้าถึงฐานลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพในการเติบโต

การขยายช่องทางจำหน่ายเป็นอีกหนึ่งแผนงานสำคัญที่แสดงถึงความมั่นใจในตลาดไทย ปัจจุบัน ic!berlin มีร้านค้าเฉพาะแบรนด์อยู่ 3 แห่ง ได้แก่ สยามพารากอน เซ็นทรัลพาร์ค ดุสิต และเมกาบางนา โดยมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 2 แห่งในปี 2568 รวมเป็น 5 แห่ง การเลือกทำเลจะเน้นห้างสรรพสินค้าที่มีจำนวนผู้มาเยือนสูงและมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาก เพื่เสริสร้างภาพลักษณ์ความเป็นแบรนด์ระดับโลก นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายดีลเลอร์กระจายทั่วประเทศกว่า 150 ราย ซึ่งรวมถึงดีลเลอร์พรีเมี่ยม 20 ราย ที่ช่วยในการกระจายสินค้าและสร้างการเข้าถึงในพื้นที่ต่างๆ

การปรับภาพลักษณ์แบรนด์หลังการเข้าซื้อกิจการเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ หลังจากที่ Mark’olin บริษัทสัญชาติอิตาลีเข้าซื้อกิจการ ic!berlin เมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีความต้องการที่จะปรับภาพลักษณ์ให้เป็น Global Brand ที่มีเอกลักษณ์เดียวกันทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงการนำจอแสดงผลใหม่จากต่างประเทศเข้ามาใช้ การปรับปรุงการออกแบบโลโก้ และการเปลี่ยนแปลงแท่นโชว์ในร้านค้าให้ดูเป็นสากลและมีความหรูหรามากขึ้น จากเดิมที่อาจดูเป็น “วิศวะ” หรือ “แข็งกระด้าง” แบบเยอรมัน ให้กลายเป็นภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

จุดแข็งสำคัญของแบรนด์ คือฟังก์ชั่นนอลที่มีคุณภาพสูง

จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของ ic!berlin ในตลาดไทยคือการเป็นผู้นำตลาดในระดับโลก โดยประเทศไทยเป็นตลาดอันดับ 2 ของโลกสำหรับแบรนด์นี้ และเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาคเอเชีย ความสำเร็จนี้มาจากเอกลักษณ์ของระบบบานพับที่ได้รับการจดลิขสิทธิ์และไม่สามารถทำซ้ำได้ ทำให้แบรนด์มีความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ประสบการณ์ในการทำตลาดไทยกว่า 20 ปี ทำให้บริษัทเข้าใจพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคไทยเป็นอย่างดี รวมถึงมีเครือข่ายการจำหน่ายที่แข็งแกร่งและครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญในการรักษาความเป็นผู้นำตลาด

จุดอ่อนที่สำคัญของแบรนด์คือการพึ่งพานักท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของฐานลูกค้า ซึ่งทำให้ได้รับผลกระทบเมื่อจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงจากปัจจัยต่างๆ เช่น ปัญหาความปลอดภัยหรือสถานการณ์โลก นอกจากนี้ การที่ผลิตภัณฑ์มีราคาในระดับพรีเมี่ยมที่ 16,000-17,000 บาทต่อกรอบ ทำให้กลุ่มเป้าหมายมีขอบเขตจำกัด และอาจไม่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคในกลุ่มรายได้ปานกลางได้ในวงกว้าง

โอกาสที่สำคัญในอนาคตคือการฉลองครบรอบ 30 ปีของแบรนด์ในปี 2568 ซึ่งเป็นโอกาสในการสร้างกิจกรรมการตลาดพิเศษและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า การขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่ม Generation Z ที่มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่สำคัญ โดยเฉพาะการเปลี่ยนพรีเซ็นเตอร์ใหม่ที่อายุน้อยลงจะช่วยในการเข้าถึงกลุ่มนี้ นอกจากนี้ แนวโน้มการเติบโตของตลาดแว่นตาฟังก์ชั่นนอลที่เพิ่มขึ้นจากการใช้ชีวิตที่ต้องมองหน้าจอมากขึ้น ก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับแบรนด์ที่เป็นผู้นำในกลุ่มนี้

อุปสรรคที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันคือสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั้งในประเทศและทั่วโลก ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือย การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดแว่นตาจากแบรนด์ต่างๆ ที่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งการตลาด รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการลงทุน ล้วนเป็นปัจจัยที่สร้างความท้าทายให้กับการดำเนินธุรกิจในอนาคต

ic!berlin ในประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงตัวอย่างของแบรนด์ระดับโลกที่สามารถปรับตัวและสร้างความสำเร็จในตลาดท้องถิน่ได้อย่างยั่งยืน แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากสภาวะเศรษฐกิจ แต่การมีกลยุทธ์การตลาดที่ชัดเจน การลงทุนในการสร้างแบรนด์อย่างต่อเนื่อง และการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น ทำให้แบรนด์ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดได้

การเปิดตัวคอลเลกชันใหม่ภายใต้ธีม “THE SILVER LIGHT OF THE MOON” จึงไม่เพียงเป็นการเปิดตัวสินค้า แต่เป็นการยืนยันความมุ่งมั่นในการพัฒนาตลาดไทยอย่างต่อเนื่องและเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันในอนาคต


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
pigabyte
การเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น มาเรียนรู้และสนุกไปกับบทความ จาก MarketingOops! กันนะคะ แล้วเราจะได้ค้นพบว่าโลกของ Marketing นั้น So Sexy and Cool!