ส่องกลยุทธ์ Insight to Impact เบื้องหลังความสำเร็จของ KAsset ที่ทำให้ครองแชมป์เบอร์ 1 ด้านการลงทุนอย่างยั่งยืน

  • 24
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ในยุคที่ ‘ความยั่งยืน’ หรือ ‘Sustainability’ ไม่ได้เป็นแค่เทรนด์ฉาบฉวยเพื่อสร้างภาพลักษณ์อีกต่อไปแต่เป็น “องค์ประกอบสำคัญ” ขององค์กรที่จะประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนในอนาคต นั่นทำให้ในเวลานี้หลายองค์กรในประเทศไทยต่างพยายามปรับตัวและสื่อสารเรื่องนี้กันอย่างคึกคัก แต่จะมีสักกี่แห่งที่ทำเรื่องนี้อย่างจริงจังและสร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้จริง?

ในบทความนี้ Marketing Oops! จะพาไปเจาะลึกเบื้องหลังความสำเร็จของ บลจ.กสิกรไทย (KAsset) ที่ไม่ได้แค่ ‘ทำ’ เรื่อง “ความยั่งยืน” ในองค์กรเท่านั้น แต่ยังสร้างผลิตภัณฑ์ที่เชื่อมโยงกับ “Sustainability” จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้าน “การลงทุนอย่างยั่งยืน” ของไทยได้อย่างแข็งแกร่ง และสิ่งนี้ทำให้ KAsset กลายเป็น Trusted Partner ของนักลงทุนจำนวนมากในเวลานี้

KAsset ทำได้อย่างไร? และกลยุทธ์สำคัญอย่าง “Insight to Impact” นั้นหน้าตาเป็นแบบไหนกันแน่

 

การลงทุนอย่างยั่งยืนคืออะไร?

ก่อนจะไปพูดถึงกลยุทธ์ของ KAsset มาทำความเข้าใจเรื่องการ “ลงทุนเพื่อความยั่งยืน” หรือ“Sustainable Investment” กันก่อน ซึ่งคำนี้หลายคนได้ยินแล้วอาจจะนึกถึงการลงทุนที่ไม่หวังผลกำไร ซึ่งนั่นเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง เพราะในปัจจุบัน การลงทุนอย่างยั่งยืนคือการเลือกลงทุนในบริษัทที่ “เก่งและดี” ควบคู่กัน

 

 

ความหมายของ “เก่งและดี” ก็คือต้องทำกำไรได้ ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน หมายถึงมีความใส่ใจดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance หรือ ESG) ที่ดีด้วย ซึ่งเหตุผลที่แนวคิดนี้กลายเป็นเมกะเทรนด์ของโลกการลงทุน ไม่ใช่แค่เพราะว่าเป็นเรื่องที่ดีกับโลกเท่านั้น แต่เพราะมันสมเหตุสมผลในเชิงธุรกิจและการลงทุน ซึ่งเรื่องนี้ คุณวิน พรหมแพทย์ CFA, ประธานกรรมการบริหาร บลจ.กสิกรไทย เล่าให้ฟังว่ามีอยู่หลายๆ เหตุผลด้วยกัน

เรื่องแรกคือการลงทุนเพื่อความยั่งยืน สามารถ “ช่วยบริหารความเสี่ยง” ได้เพราะบริษัทที่ไม่ใส่ใจเรื่อง “ความยั่งยืน” นั้นมีความเสี่ยงซ่อนอยู่มหาศาล คุณวินยกตัวอย่างเคสของแบรนด์รถยนต์ Volkswagen ที่โกงผลการทดสอบการปล่อยมลพิษจากเครื่องยนต์ดีเซล พอความจริงถูกเปิดโปง หุ้นก็ร่วงไปกว่า 40% ในเวลาอันสั้น นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่าหากขาดธรรมาภิบาล และไม่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ก็สามารถสร้างความเสียหายทางการเงินอย่างรุนแรงให้กับนักลงทุนได้ การลงทุนในบริษัทที่โปร่งใสจึงช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ลงได้มาก

อีกเหตุผลคือการลงทุนเพื่อความยั่งยืน เป็นการ “ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า” เพราะทุกวันนี้ “เงิน” ของโลกกำลังไหลไปหาบริษัทที่ทำเรื่องความยั่งยืนให้ความสำคัญกับเรื่อง สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ข้อมูลทั่วโลกแสดงให้เห็นว่าเม็ดเงินลงทุนในสินทรัพย์ ESG เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ลูกค้าและนักลงทุนสถาบันรายใหญ่ต่างเรียกร้องให้บริษัทที่เข้าไปลงทุนต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ถ้าเราเป็นเจ้าของธุรกิจแล้วไม่ปรับตัว ก็อาจจะตกขบวนและไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกต่อไปนั่นเอง

เรื่องสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจใหม่ก็คือการลงทุนเพื่อความยั่งยืนนั้น “ช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดี” เรื่องนี้แม้จะยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน 100% แต่ก็มีหลักฐานที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าบริษัทที่ได้คะแนน ESG สูง มีแนวโน้มที่จะสร้างผลประกอบการที่ดีกว่าในระยะยาว อย่างในตลาดหุ้นไทยช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้ตลาดโดยรวมจะติดลบ แต่หุ้นกลุ่มที่ได้เรตติ้ง ESG ระดับ AAA กลับติดลบน้อยกว่ากลุ่มอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด เพราะบริษัทเหล่านี้มักจะมีความสามารถในการจัดการความเสี่ยงที่ดีกว่าและมีความยืดหยุ่นต่อวิกฤตมากกว่านั่นเอง

สุดท้ายที่แน่นอนที่สุดก็คือการลงทุนอย่างยั่งยืนช่วย “สร้างผลกระทบเชิงบวกให้โลก” (Positive Impact) จะเรียกว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะเป็นการใช้พลังของเงินทุนเพื่อสนับสนุนบริษัทที่กำลังสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาพลังงานสะอาด การดูแลพนักงานอย่างเป็นธรรม หรือการมีธรรมาภิบาลที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วก็เป็นประโยชน์ต่อสังคมและโลกโดยรวมนั่นเอง

 

“Insight to Impact” ไม่ใช่แค่ “รู้” แต่ต้อง “รู้ลึก”

กลับมาที่กลยุทธ์ของ KAsset ที่มาพร้อมกับแนวคิด “Insight to Impact” อธิบายง่ายๆ ก็คือ “ใช้ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง สร้างผลลัพธ์ที่มีผลกระทบเชิงบวกด้าน ESG ในวงกว้างให้เกิดขึ้นจริง” โดย KAsset ไม่ได้คิดผลิตภัณฑ์การลงทุนตามกระแสหรือการทำให้ได้ตามตามเช็กลิสต์ที่มีอยู่เท่านั้น แต่เป็นการลงมือทำอย่างมีเป้าหมาย เพื่อทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในมิติของเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ทำได้จริง

 

 

เรื่องนี้คุณธิดาศิริ ศรีสมิต CFA, Chief Investment Officer บลจ.กสิกรไทย ได้เล่าให้ฟังว่ากลยุทธ์นี้จะมีอยู่สองส่วน ในส่วนของ “Insight” หรือ การวิเคราะห์ข้อมูลและนำมาประมวลผลจัดลำดับสกรีนธุรกิจที่มีคะแนน ESG ไม่ดีออกไป และอีกส่วนก็คือ Impact” ที่เกิดขึ้นจริงที่มองทั้งการบริหารจัดการใน KAsset เอง และการสร้างผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงสะท้อนผ่านผลิตภัณฑ์การลงทุน เพื่อไม่ให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Greenwashing หรือการทำไม่ได้อย่างที่ประกาศเอาไว้นั่นเอง

 

Insight: ไม่ได้มองแค่เปลือก แต่เจาะลึกถึงแก่น

หลายคนอาจคิดว่าการลงทุน ESG คือการคัดบริษัทที่ไม่ดีออกไป (Negative Screening) แบบยุคก่อนอย่างเช่นเราจะไม่ลงทุนกับบริษัทที่ส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมหรือสังคมเช่นเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ การพนัน หรือสื่อลามกอนาจาร แต่ KAsset ไปไกลกว่านั้นมาก เพราะ KAsset จะมีการ “วิเคราะห์เข้มข้น 100%” ก็คือหุ้นทุกตัวที่ KAsset ลงทุน ไม่ว่าจะในกองทุน ESG หรือกองทุนทั่วไป จะต้องผ่านกระบวนการวิเคราะห์ปัจจัย ESG ทั้งหมด

ถามว่าวิเคราะห์อย่างไร? คุณธิดาศิริ เล่าว่า KAsset ก็ไม่ได้คัดหุ้นแบบง่ายๆ โดยพึ่งพาข้อมูลจากภายนอกเท่านั้น แต่มีการ “สร้างระบบการให้คะแนน ESG ของตัวเอง” ขึ้นมาเรียกว่า ESG Scoring Assessment” โดยจะรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง ทั้งรายงานของบริษัท, การพูดคุยกับผู้บริหารโดยตรง, ข้อมูลจาก Data Provider และข่าวสารต่างๆ เพื่อให้ได้ “Insight” ที่ลึกซึ้งที่สุด

กลยุทธ์ Insight นี้ พูดง่ายๆ คือ “ความลึกซึ้งของข้อมูล” คือสิ่งที่สร้างความแตกต่าง ทำให้ KAsset ไม่ตกหลุมพรางของ Greenwashing หรือการฟอกเขียวที่บริษัทอาจรายงานแค่ข้อมูลสวยๆ แต่ไม่ได้ลงมือทำจริงในขณะที่นักลงทุนเองก็มั่นใจได้ว่ากองทุน ESG ที่เปิดให้ลงทุนนั้นถูกคัดสรรมาแล้วเป็นอย่างดีเช่นกัน

 

Impact: ลงมือทำจริง ตั้งแต่ในบ้าน สู่พอร์ตลงทุน

เมื่อ KAsset มี “Insight” ที่แม่นยำแล้ว ก็ถึงเวลาสร้าง “Impact” ให้เกิดขึ้นจริง ซึ่ง KAsset ทำตั้งแต่การ “สร้าง Impact ในบ้าน” เช่นการ “ตั้งเป้าใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) 100%” ในอีก 5 ปีข้างหน้า การ “จัดการขยะจริงจัง รวมถึงการวางแผนสร้าง Impact ในพอร์ตลงทุน” (AUM Emissions) โดยมีกลยุทธ์ที่เรียกว่า “Ice Cubes” vs “Burning Logs” มองลึกลงไปในแต่ละบริษัทที่จะเลือกลงทุน ว่ามีแผนการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนและจับต้องได้หรือไม่

ในแง่ของการลงมือทำจริง KAsset ยัง “ตั้งเป้า Net Zero ให้พอร์ตลงทุน” (Net Zero AUM Emission) ด้วยอธิบายง่ายๆ ก็คือตั้งเป้าหมายให้พอร์ตลงทุนทั้งหมดของ KAsset ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่ากับศูนย์ภายในปี 2065 และมีเป้าหมายระยะกลางที่ชัดเจนก็คือภายในปี 2030 พอร์ตการลงทุนของ KAsset กว่า 50% จะต้องมาจากบริษัทที่ประกาศเป้าหมาย Net Zero ด้วย

อีก Impact ที่สำคัญก็คือ Impact ต่อสังคม (Social Engagement) ที่ทาง KAsset ทำจริงด้วยก็คือหลายๆโครงการ เช่นโครงการ KAsset Investment Bootcamp ที่ให้ความรู้การลงทุนแก่นิสิตนักศึกษา รวมถึงการสร้างคอนเทนต์ย่อยง่ายผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ทุกคนเข้าใจเรื่องการลงทุนอย่างถูกต้องมากขึ้น ซึ่งเมื่อเราเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว และได้มีโอกาสไปบอกต่อคนอื่น เขาก็จะได้รับความรู้ที่ถูกต้องต่อไป ซึ่งนี่ก็คือการสร้างความเข้าใจด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนนั่นเอง

 

ผลลัพธ์ที่พิสูจน์ความเป็นผู้นำอุตสาหกรรม

 

แนวคิด “Insight to Impact” ไม่ใช่แค่สโลแกนสวยๆเท่านั้น แต่สิ่งนี้สร้างผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมให้ KAsset กลายเป็นผู้นำในตลาดด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง โดยตอนนี้ KAsset สามารถครองส่วนแบ่งตลาดใน กองทุน ESG Fund อยู่ที่ 29% และ กองทุน SRI Fund (กองทุนเพื่อความยั่งยืน) สูงถึง 37% ด้วยมูลค่าสินทรัพย์รวมภายใต้การจัดการ (AUM) กว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากที่สุดในอุตสาหกรรม

 

นับว่าเป็นเจ้าตลาดของกองทุน ESG ที่ใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ โดยมีกองทุนเด่นๆ 3 กองก็คือ

  • K-TNZ-ThaiESG: กองทุนหุ้น ThaiESG ที่ใหญ่ที่สุดในไทย และเป็นกองแรกและกองเดียวที่ใช้กลยุทธ์ Target Net Zero ปัจจุบันมีมูลค่า 2,980 ล้านบาท
  • K-ESGSI-ThaiESG: กองทุนตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนภาครัฐที่ใหญ่ที่สุดในไทยมูลค่า 6,270 ล้านบาท กองทุนนี้แค่ครึ่งปีที่ผ่านมาก็ให้ผลตอบแทนถึง 10%
  • K-CHANGE: กองทุนหุ้น ESG ต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในอุตสาหกรรมมูลค่าสูงถึง 15,000 ล้านบาทใน 1 ปีที่ผ่านมาทำผลตอบแทนได้ราว 12%

(ที่มา : AIMC ณ วันที่ 30 มิ.ย. 68)

ความเป็นผู้นำของ KAsset ยังได้รับการยอมรับจากเวทีประกวดรางวัลมากมาย เช่น รางวัล Best Asset Management Company – ESG จาก  SET Awards 2024, รางวัล Best ESG Manager จาก Best of the Best Awards 2025 รวมถึงรางวัล Asset Management Company of the Year จาก The Asset Triple A Sustainable Investing Awards 2025 ด้วย

 

 

เรื่องราวของ KAsset เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจว่า การสร้างแบรนด์ให้เป็นผู้นำด้านการลงทุนอย่างยั่งยืนในยุคนี้นั้นต้องเกิดจากการ “ทำจริงและทำอย่างลึกซึ้ง” ไม่ใช่แค่การตลาดฉาบฉวยจริงๆ ในส่วนของนักลงทุน การเลือกลงทุนกับผู้นำด้าน ESG อย่าง KAsset ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเลือกระหว่าง “ผลตอบแทน” กับ “การทำดี” อีกต่อไป เพราะกลยุทธ์ Insight to Impact ของ KAsset ทำให้เราเห็นแล้วว่าการลงทุนอย่างยั่งยืนสามารถลดความเสี่ยงในระยะยาวและสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีได้พร้อมๆ กัน

ที่สำคัญที่สุดในแง่มุมของสังคมการมีผู้เล่นรายใหญ่ที่ลุกขึ้นมา “นำ” และยกระดับมาตรฐานการลงทุนให้ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างจริงจัง ก็เปรียบเสมือนการส่งสัญญาณบวกไปยังบริษัทอื่นๆ ให้หันมาใส่ใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้ว ผลลัพธ์เชิงบวกก็จะกลับมาสู่พวกเราทุกคนและโลกใบนี้อย่างยั่งยืนนั่นเอง

สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ที่ https://www.kasikornbank.com/k_3HfF6vC

 

-กองทุนนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน


  • 24
  •  
  •  
  •  
  •