กลับมาอย่างยิ่งใหญ่สมการรอคอยสำหรับ KBTG Techtopia งาน Tech Conference แห่งปีที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยในปีนี้มาในธีม At World’s Beginning ที่ KBTG พาเราย้อนกลับมาสู่จุดเริ่มต้น เพื่อตั้งคำถามที่สำคัญที่สุดในยุคที่ AI พัฒนาอย่างก้าวกระโดดว่า เราจะใช้เทคโนโลยีที่ทรงพลังนี้ขับเคลื่อนมวลมนุษยชาติไปในทิศทางไหนกันแน่?
บรรยากาศที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เมื่อวันที่ 2 กันยายน ที่ผ่านมา คึกคักอย่างยิ่งโดยมีทั้งคนในแวดวงเทคโนโลยี นักธุรกิจ นักการตลาด และผู้บริหาร รวมๆแล้วกว่าหลายพันคน ที่มารวมตัวกันเพื่ออัปเดตเทรนด์และองค์ความรู้จาก Speaker ระดับโลกกว่า 80 ชีวิต บน 3 เวทีหลักที่อัดแน่นด้วยเนื้อหาเข้มข้นตลอดทั้งวัน
ความพิเศษของปีนี้ ไม่ได้มีแค่เวทีเสวนาเท่านั้น แต่ KBTG ยังยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าร่วมงานไปอีกขั้นด้วยโซน Showcase Exhibition ที่จัดเต็มกว่าทุกครั้ง ขนทัพนวัตกรรมล่าสุดจาก KBTG Labs และพาร์ทเนอร์ชั้นนำมาให้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ยังมีโซนใหม่อย่าง Community Circle ที่เปิดพื้นที่ให้ 10 คอมมูนิตี้สายเทคฯ มาเปิดวงคุยแลกเปลี่ยนความรู้กันอย่างเป็นกันเอง เรียกว่าสะท้อนแนวคิดหลักของงานที่ว่า เทคโนโลยีที่ดีที่สุดต้องมี “คน” เป็นศูนย์กลางได้เป็นอย่างดี
ความน่าสนใจของงาน KBTG Techtopia ในปีนี้คืออะไร? Marketing Oops! สรุปทุกไฮไลท์สำคัญมาให้ได้อ่านกันในบทความนี้
Human + AI ความหวังของมนุษยชาติ

คุณกระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล, Group Chairman แห่ง KBTG ได้ขึ้นเวทีกล่าวเปิดงานพร้อมกับฉายภาพอนาคตที่ AI จะเป็นส่วนสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของโลก โดยคุณกระทิงย้ำว่าใน เวลานี้ AI กำลังมาถึงทางแยก (Crossroads) ที่สำคัญ 6 ทางแยก
ทางแยกที่ 1: AI Agents – เรากำลังเข้าสู่ยุคของ Agentic AI ที่สามารถทำงานซับซ้อนและตัดสินใจแทนมนุษย์ได้ แต่คำถามคือ AI Agent เหล่านี้จะเป็น “ผู้รับใช้ของความชั่วร้าย” หรือ “ผู้ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเชิงบวก” ซึ่งท้ายที่สุดแล้วมันเป็นเพียงเครื่องมือที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ของผู้สร้างมันขึ้นมา
ทางแยกที่ 2: Governing and Containing AI – เราจำเป็นต้องใช้ AI อย่างมีจริยธรรมและมีความรับผิดชอบ ผ่านการกำกับดูแล (Governance), การปรับ AI ให้สอดคล้องกับคุณค่าของมนุษย์ (Alignment) และการควบคุมให้อยู่ในกรอบจริยธรรม (Containment).
ทางแยกที่ 3: Practical Applications vs. AGI – เราจะสร้างสมดุลระหว่างการมุ่งหน้าสู่ Artificial General Intelligence (AGI) ที่มีความสามารถเทียบเท่ามนุษย์ กับการสร้างแอปพลิเคชัน AI ที่ใช้งานได้จริงและจับต้องได้ในปัจจุบันได้อย่างไร
ทางแยกที่ 4: Global Collaboration – ไม่มีประเทศหรือบริษัทใดที่สามารถแก้ปัญหาความท้าทายของ AI ได้เพียงลำพัง ความร่วมมือจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็น “หนทางเดียว” ที่จะทำให้ AI ช่วยยกระดับมนุษยชาติได้
ทางแยกที่ 5: Devourer of Resources or Holy Grail – AI ใช้ทรัพยากรและพลังงานมหาศาล เราต้องเลือกที่จะพัฒนา AI ที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ AI เป็นเครื่องมือสร้างนวัตกรรม ไม่ใช่แค่เทคโนโลยีที่ผลาญทรัพยากรของโลก
ทางแยกที่ 6: Leveling the Play Field or Exacerbate Inequalities – เราจะใช้ AI เพื่อทำให้ “ปัญญา” กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ (Democratize Intelligence) หรือจะปล่อยให้ประโยชน์กระจุกตัวอยู่แค่คนกลุ่มบน จนทำให้ช่องว่างและความเหลื่อมล้ำในสังคมยิ่งถ่างกว้างออกไป
อย่างไรก็ตามท่ามกลางทางแยกมากมายเหล่านั้น สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดคือสิ่งที่คุณกระทิงทิ้งท้ายไว้ว่า “AI ด้วยตัวมันเองจะไม่เปลี่ยนโลก แต่เป็นมนุษย์ที่ใช้ AI ต่างหากที่จะเปลี่ยนโลก”
คุณกระทิงสรุปว่า การรวมพลังระหว่างมนุษย์และ AI คือสัญญาณแห่งความหวังของมวลมนุษยชาติที่จะช่วยให้เราสามารถแก้ปัญหายากๆ และสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไปได้ในที่สุด
มุมมองอนาคต AI จาก “Godfather of AI” Dr. Andrew Ng
อีกหนึ่ง Speaker ที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนให้หลั่งไหลมาที่ Stage 1 ในช่วงเช้า คือ Virtual Fireside Chat ที่ได้ Dr. Andrew Ng Managing General Partner ของ AI Fund ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “Godfather of AI” มาร่วมพูดคุยกับคุณกระทิงถึงทิศทางของ AI ในอนาคต
Dr. Andrew Ng ให้มุมมองว่า AGI (Artificial General Intelligence) ยังคงเป็นสิ่งที่ห่างไกลอีกหลายสิบปี แต่ความก้าวหน้าของ AI จะเป็นไปอย่างต่อเนื่องและค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด คุณ Andrew เชื่อว่า AI จะช่วยเพิ่ม Productivity ให้กับมนุษย์อย่างมหาศาล โดยเฉพาะความสามารถของ AI ที่มาช่วยเขียนโค้ดได้
โดยคุณ Andrew แนะนำให้ทุกคนโดยเฉพาะคนไทยที่สนใจเรียนรู้ด้านเทคโนโลยีควรเรียนรู้ทักษะการเขียนโค้ดโดยมี AI ช่วย (AI-assisted coding) เพื่อเสริมศักยภาพของตนเอง นอกจากนี้ยังย้ำด้วยว่า การเรียนรู้การใช้งาน AI เป็นสิ่งจำเป็นมากๆในยุคนี้
“Likable Polymath”ทักษะที่มนุษย์ต้องมีในยุค AI

อีกหนึ่งเซสชั่นที่ตรึงผู้ฟังแน่นขนัดใน Stage 2 คือ “The Essential Human Skill in the Age of AI” โดย คุณโจ้ ธนา เธียรอัจฉริยะ Chairman of the Board of Directors and Independent Director จาก Bluebik Group และเจ้าของเพจ “เขียนไว้ให้เธอ” ที่มาให้คำตอบในมุมของคนที่ไม่ใช่คนสายเทคว่าในวันที่ AI เก่งขึ้นทุกวัน มนุษย์ธรรมดาจะอยู่รอดและเติบโตได้อย่างไร
โดยคุณธนาให้คำตอบเอาไว้สรุปได้เป็นคำที่ว่า “Likable Polymath” หรือ “ผู้รู้รอบด้านที่น่าคบหา”
คุณธนาอธิบายว่า มนุษย์ต้องพัฒนาทักษะจากเดิมที่รู้ลึกแค่เรื่องเดียว (I-Shaped) ไปสู่การรู้ลึกและรู้กว้าง (T-Shaped) และขั้นสุดคือการรู้ลึกอย่างน้อย 2 เรื่องที่แตกต่างกันแล้วนำมาเชื่อมโยงกัน (Y-Shaped) สิ่งนี้คือ “Polymath” หรือผู้รู้รอบด้าน
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดและ AI ไม่มีทางทำได้คือการเป็นคน “Likable” หรือน่าคบหา ซึ่งเป็น X-Factor ที่ AI ไม่มีทางทำได้ มันคือ Human Elements ล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็น Trust (ความน่าเชื่อถือ), Creativity (ความคิดสร้างสรรค์), และ Collaborations (ความร่วมมือ)
คุณธนา บอกว่าในวันที่ทุกคนเข้าถึงข้อมูลและความรู้ได้เท่ากัน สิ่งที่จะทำให้คนหนึ่งไปได้ไกลกว่าอีกคน ก็คือการเป็นคนที่ “น่าคบหา” หรือเป็นคนที่มี “กัลยาณมิตร” คอยสนับสนุนนั่นเอง
ถอดรหัส Unicorn จาก คุณยอด แห่ง LINE MAN Wongnai

ตัดกลับมาที่ Stage 1 กับเรื่องราวของสตาร์ทอัพระดับ Unicorn หนึ่งเดียวของไทยใน Session “Super Unicorn: Journey from Food Reviews to Super Platform Success” โดย คุณยอด ชินสุภัคกุล CEO จาก LINE MAN Wongnai ที่มาเผย 4 คุณสมบัติสำคัญสู่การเป็น Unicorn คือ
- Resilient คือความสามารถในการฟื้นตัวกลับมาได้อย่างรวดเร็วเมื่อเจอปัญหา เหมือนคนที่ “ฟันแทงไม่เข้า” สามารถรักษาแผลใจตัวเองได้ดี เมื่อเจอปัญหาหนักแค่ไหน แค่นอนแล้วตื่นมา ปัญหาก็จะดูเล็กลงและพร้อมเดินหน้าต่อได้ทันที
- Lifelong Learning ในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะ AI ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ การเปิดรับและเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอจึงเป็นคุณสมบัติที่ขาดไม่ได้สำหรับผู้ที่จะสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
- Optimistic คือความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าโซลูชันของเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ ต้อง “หลอกตัวเองให้สำเร็จก่อนที่จะหลอกคนอื่น” เพื่อสร้างโลกอีกใบหนึ่งขึ้นมา และดึงดูดให้คนเก่งๆ มาร่วมสร้างวิสัยทัศน์นั้นให้เป็นจริง
- Ethical การสร้าง Unicorn เป็นเกมระยะยาว (Long-term game) ที่ใช้เวลานาน ระหว่างทางจะมีโอกาสและสิ่งล่อใจมากมายที่อาจทำให้หลุดจากเส้นทางได้ การมีจริยธรรมและหลักการที่ยึดถือจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ คุณยอดยังเผยเคล็ดลับการสู้กับยักษ์ใหญ่ว่า Superpower ที่สำคัญที่สุดคือ Execution การลงมือทำอย่างจริงจังและการ Micromanage ที่คุณยอดบอกว่าทุกวันนี้ก็ยังต้องทำ และมีความจำเป็น โดยเฉพาะในธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง
“Micromanage ไปเถอะ ธุรกิจที่แข่งขันสูงๆ ผมดูทุกรายละเอียด เพราะผมไม่ได้มาเพื่อให้ทีมมีความสุข แต่ผมมาเพื่อชนะ” คุณยอดถึงวิธีคิดการทำงานของบริษัทระดับยูนิคอร์นชั้นนำของประเทศไทย
World ID: เทคโนโลยีใหม่พิสูจน์ความเป็นมนุษย์ในยุค AI

ในยุคที่ตัวตนในโลกออนไลน์ถูกปลอมแปลงได้ง่ายขึ้นทุกวัน และปริมาณการใช้งานอินเทอร์เน็ตกว่าครึ่งถูกขับเคลื่อนด้วย AI และ Bot ใน Session “Are you human? Building Trust in the Age of AI” โดย คุณภัคพล ตั้งตงฉิน Country Manager จาก Tools for Humanity ก็ได้มาจุดประกายคำถามสำคัญว่า เราจะพิสูจน์ความเป็นมนุษย์ในโลกดิจิทัลได้อย่างไร ในเมื่อเทคโนโลยีเดิมอย่าง CAPTCHA กำลังจะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป
คุณภัคพลได้แนะนำให้เรารู้จักกับ Worldcoin โปรเจกต์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบคำถามแห่งยุคนี้โดยเฉพาะ ผ่านเทคโนโลยี “Proof of Personhood” หรือการยืนยันความเป็นมนุษย์ ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสร้างความไว้วางใจบนโลกออนไลน์แห่งอนาคต
Worldcoin คือ ระบบที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้าง “Digital Passport” ที่สามารถยืนยันได้ว่าผู้ใช้งานคือ “มนุษย์จริง” ไม่ใช่ AI หรือ Bot โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ
- The Orb อุปกรณ์ทรงกลมที่ทำหน้าที่ยืนยันความเป็นมนุษย์เพียงครั้งเดียว โดยจะสแกน “ม่านตา” (Iris) ของเราและแปลงเป็นรหัสที่ไม่ซ้ำใครเรียกว่า Iris Code
- World ID คือ “พาสปอร์ตดิจิทัล” ที่เราจะได้รับหลังจากสแกนม่านตากับ Orb แล้ว World ID นี้จะถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยในแอปพลิเคชันบนมือถือของเรา และสามารถนำไปใช้เพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์กับแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ที่เข้าร่วมได้ โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน
- World App คือ แอปพลิเคชันที่ทำหน้าที่เป็นกระเป๋าเงินดิจิทัล (Wallet) สำหรับจัดเก็บ World ID และยังเป็นศูนย์กลางของ Ecosystem ที่มี Mini Apps กว่า 400 รายการให้ใช้งาน
ปัจจุบันเทคโนโลยีนี้ได้เริ่มนำมาปรับใช้ในประเทศไทยแล้วกับพาร์ทเนอร์อย่าง Pantip ที่มีการเพิ่ม Badge ยืนยันความเป็นมนุษย์ข้างชื่อผู้ใช้, Whoscall ที่เพิ่มป้าย “Verified Human” สร้างความมั่นใจในการรับสาย และ Eventpop ที่ใช้ World ID ป้องกัน Bot กว้านซื้อตั๋วคอนเสิร์ต
ทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มต้นของการสร้างอินเทอร์เน็ตที่มนุษย์สามารถเชื่อใจกันได้อีกครั้งในยุคของ AI
Cyborg Intelligence: เมื่อ AI คือส่วนหนึ่งของมนุษย์ โดย ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร

อีกหนึ่ง Session ที่เปิดมุมมองแห่งอนาคตได้อย่างน่าทึ่งคือ “Research in Cyborg Intelligence” โดย ดร.พัทน์ ภัทรนุธาพร Co-director of MIT Advancing Humans with AI Research Program & Assistant Professor จาก MIT Media Lab ที่มาพร้อมแนวคิดว่า AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือภายนอก แต่สามารถ “ผสานรวม” เข้ากับมนุษย์เพื่อเสริมสร้างศักยภาพได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ดร.พัทน์ ที่เพิ่งเปิดห้องแล็บ Cyborg Psychology ที่ MIT Media Lab เล่าให้ฟังว่างานวิจัยในแล็บแห่งนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุน “Human Flourishing” หรือการทำให้มนุษย์เจริญงอกงามอย่างเต็มศักยภาพใน 3 ด้านคือ Wisdom (ปัญญา), Wonder (ความสงสัยใฝ่รู้), และ Wellbeing (สุขภาวะ)
ดร.พัทน์ ได้โชว์ผลงานวิจัยล้ำๆ ที่กำลังสร้างอนาคตให้เราได้เห็นกันด้วยเช่นเรื่องเกี่ยวกับ “Living Memories” โปรเจกต์ที่ให้เราสามารถเรียนรู้โต้ตอบกับบุคคลในประวัติศาสตร์อย่าง ลีโอนาร์โด ดาวินชี ผ่าน AI ซึ่งผลวิจัยพบว่าช่วยเพิ่มแรงจูงใจและความอยากรู้อยากเห็นในการเรียนรู้ได้ดีกว่าการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว
หรือ “จะเป็นโปรเจ็กต์อย่าง Future You” แพลตฟอร์มที่ให้เราได้พูดคุยกับตัวเองในอนาคตที่สร้างโดย AI ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยลดความวิตกกังวลและเพิ่มแรงจูงใจในการพัฒนาตัวเองให้ไปสู่เป้าหมายในชีวิตได้จริง จนถูกนำไปใช้งานแล้วในกว่า 190 ประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้ ดร.พัทน์ ยังชี้ให้เห็นถึง “ด้านมืด” (Dark Patterns) ของ AI ที่ต้องระวัง ไม่ใช่แค่ การปลูกฝังความทรงจำปลอม (False Memories) ที่อาจทำให้เราเข้าใจความจริงผิดๆ การลดทอนทักษะ (Deskilling) และลดทอนความเป็นมนุษย์ (Dehumanization) ลงได้
ดร.พัทน์ ทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันสังคมเรามีเทคโนโลยีที่ถูกทำให้เหมือนมนุษย์มากขึ้นเยอะมาก Humanized Machine แต่ในอีกทางเราก็ยังปฏิบัติกับมนุษย์เหมือนเป้นเครื่องจักร Machinized Human (มนุษย์ที่เหมือนเครื่องจักร) สิ่งนี้อันตรายมากๆสำหรับสังคม เราจะสูญเสียบุคลากรเก่งๆ และสูญเสียความสามารถในการแข่งขันไปอีกแค่ไหนเพราะเราทำกับมนุษย์เหมือนเครื่องจักรเครื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องคิดก็คือ
“เราจะใช้เทคโนโลยีอย่างไรทำให้มนุษย์กลายเป็นมนุษย์มากขึ้น” ดร.พัทน์ ปิดท้าย
สัมผัสนวัตกรรมจับต้องได้ที่โซน Showcase Exhibition
นอกเหนือจากเนื้อหาบนเวทีแล้ว โซน Showcase Exhibition ในปีนี้ก็สร้างความตื่นตาตื่นใจได้ไม่แพ้กัน โดยเฉพาะบูธหลักของ KBTG Labs ที่ขนทัพนวัตกรรมที่พัฒนาร่วมกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำมาจัดแสดงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม KBTG Labs x MIT Media Lab: ที่นำเสนอโปรเจกต์สุดล้ำอย่าง “Talk to the Hand” AI ที่มาในรูปแบบเมาส์ผู้ช่วย, “Multiple You” แพลตฟอร์มแนะแนวอาชีพด้วย AI และ “Future You” ที่ให้เราได้พูดคุยกับตัวเองในอนาคต
ในกลุ่ม KBTG x Chula ก็มีเทคโนโลยีที่เป็นความร่วมมือระหว่าง KBTG กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการสร้าง “Document AI” สำหรับจัดการเอกสาร, “AI-Powered Medical Simulations” สำหรับนักศึกษาแพทย์ และ “LUCA” AI เพื่อนคู่คิดสำหรับการเรียนการสอน
นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีที่น่าสนใจและใกล้ตัวผู้บริโภคอย่าง “Credit Card Promotion Recommendation Chatbot” AI Chatbot ที่จะทำให้คุณหยุดใช้เงินฟุ่มเฟือย , “AssetMind” AI ช่วยออกแบบห้องและประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ และ “AI Call Assistant” ผู้ช่วยรับสายโทรศัพท์ป้องกันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มาให้ได้ทดลองใช้กันในงานนี้ด้วย
Playground Workshop เปลี่ยนทฤษฎีสู่การลงมือทำจริง
ปิดท้ายด้วยโซนที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามจนที่นั่งเต็มแทบทุกรอบอย่าง Playground Workshop พื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้ลงมือปฏิบัติจริงกับผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก บรรยากาศในโซนนี้เต็มไปด้วยความคึกคักจริงๆ
ในปีนี้ KBTG จัด Workshop ให้ถึง 8 ห้อง ไม่ว่าจะเป็นห้อง “How to start a startup” โดย Disrupt ที่เต็มไปด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ที่ใฝ่ฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตนเอง, หรือห้อง “Crafting Worlds: AI Storytelling with Generative AI Imagery” โดย KBTG Labs ที่ผู้เข้าร่วมต่างสนุกสนานกับการเปลี่ยนจินตนาการให้กลายเป็นภาพจริงด้วย AI.
นอกจากนี้ ในห้อง “Building AI Agents with Databricks” บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความท้าทาย ทุกคนต่างเข้ามาเรียนรู้การเขียนโค้ดเพื่อสร้าง AI Agent ของตัวเองขึ้นมา ขณะที่ห้อง “Future of Work: Agentic AI platform for Enterprise” โดย Data Pro และ IBM ก็ได้รับความสนใจจากผู้ที่มองหาโซลูชันสำหรับองค์กร ที่จะได้เรียนรู้การสร้าง AI Agent เพื่อนำไปปรับใช้ในธุรกิจโดยไม่ต้องเขียนโค้ด
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความคึกคักที่เกิดขึ้นในงาน KBTG Techtopia: At World’s Beginning ซึ่งก็นับเป็นอีกปีที่ทำให้เราได้เห็นว่า KBTG ไม่ได้เป็นแค่บริษัทเทคโนโลยีผู้พัฒนาเทคโนโลยีให้กับธนาคารกสิกรไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำทางความคิดที่พร้อมจะพาประเทศไทยก้าวประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลกเทคโนโลยีที่ซึ่งต้องมี “มนุษย์” เป็นศูนย์กลาง
#KBTG #KBTGTechtopia #AtWorldsBeginning