ในโลกธุรกิจอาหารทะเลที่แข่งขันกันดุเดือด Qfresh คือหนึ่งในแบรนด์ที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “การเข้าใจผู้บริโภค” คือกุญแจสำคัญของการเติบโต จากการเริ่มต้นด้วยสินค้า Ready-to-cook สำหรับแม่บ้านรุ่นใหม่ สู่การรีแบรนด์ครั้งใหญ่ด้วยภาพลักษณ์สดใสที่เข้าถึงง่าย และล่าสุดกับการขยายตลาดสู่ Gen Z ที่กำลังเปลี่ยนสมการของการบริโภคอาหารในอนาคต
เส้นทางและความสำเร็จของ Qfresh
แบรนด์คิวเฟรช (Qfresh) ผู้นำตลาดอาหารทะเลแช่แข็งในประเทศไทย เป็นส่วนสำคัญของจักรวาลธุรกิจอาหารทะเล ภายใต้กลุ่มไทยยูเนี่ยน ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2017 และปัจจุบันกำลังเตรียมฉลองความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจครบรอบ 8 ปี ด้วยการเติบโตอย่างต่อเนื่องและการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง
การเดินทางของ QFresh เริ่มต้นในปี 2017 เมื่อบริษัทตัดสินใจเข้าสู่ตลาดอีคอมเมิร์ซและการจำหน่ายผ่านช่องทาง Modern Trade โดยมุ่งเน้นการสร้างสินค้า Ready-to-cook สำหรับกลุ่มแม่บ้านที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อและความต้องการความสะดวกในการประกอบอาหาร
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2019 เมื่อทีมงานตัดสินใจปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์อย่างรุนแรง โดยเปลี่ยนจากบรรจุภัณฑ์สีน้ำเงินที่ดูเป็นทางการและเข้าถึงยากมาเป็นสีชมพูที่สดใสและเป็นมิตรกับผู้บริโภค การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่เพียงแต่ทำให้แบรนด์ดูทันสมัยและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทั้งอาหารทะเลและสินค้าพร้อมทานต่างๆ
ในปี 2024 QFresh ได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ด้วยการเปิดตัวสินค้ากุ้งสไลด์ที่ออกแบบมาเพื่อเจาะตลาดกลุ่มครอบครัวและผู้ที่ใส่ใจสุขภาพ พร้อมกับการขยายกลยุทธ์การตลาดเพื่อเข้าถึงกลุ่ม Gen Z ที่มีพฤติกรรมการบริโภคที่แตกต่างจากรุ่นก่อน

อาณาจักร QFresh ศักยภาพและสายการผลิต
ความแข็งแกร่งของกลุ่มธุรกิจ QFresh สะท้อนได้จากโครงสร้างการผลิตที่มีขนาดใหญ่และครอบคลุมหลายประเทศ ปัจจุบันกลุ่มบริษัทมีโรงงานผลิตทั้งหมด 8 แห่ง โดยแบ่งเป็น 3 แห่งในประเทศอินเดียและอีก 5 แห่งในประเทศไทย การกระจายโรงงานในลักษณะนี้ช่วยให้บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเชิงต้นทุนและความเชี่ยวชาญของแต่ละภูมิภาค
โรงงานกุ้งที่เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจมีทั้งหมด 3 แห่ง โดย 2 แห่งตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นท่าเรือสำคัญและศูนย์กลางการขนส่ง และอีก 1 แห่งที่จังหวัดสงขลา ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบกุ้งคุณภาพสูงของประเทศ การเลือกทำเลที่ตั้งโรงงานในลักษณะนี้ช่วยลดต้นทุนการขนส่งและรับประกันคุณภาพของวัตถุดิบตั้งแต่ต้นทาง
โรงงานแซลมอนมีบทบาทสำคัญในการขยายฐานลูกค้าสู่ตลาดระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นในรูปแบบ OEM ให้กับบริษัทมิตซูบิชิ ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทการค้าระดับโลก นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์แซลมอนยังถูกจำหน่ายในประเทศผ่านห่วงโซ่ค้าปลีกแม็คโคร รวมถึงการขยายไปสู่ปลากะพงที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นในตลาดในประเทศ
โรงงาน Culinary ที่สร้างใหม่นี้เป็นการลงทุนที่ท้าทายและมีศักยภาพสูง เพราะเป็นการผลิตอาหารพร้อมทานที่มีความซับซ้อนมากกว่าผลิตภัณฑ์ทะเลดิบทั่วไป ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ข้าวกล่อง พาย ติ่มซำ ไปจนถึงซาลาเปา ได้รับการตอบรับอย่างดีในตลาดยุโรปและอเมริกา นอกจากนี้ยังมีการร่วมมือกับแบรนด์ระดับโลกอย่าง McDonald’s ในการผลิตพายสับปะรดและผลิตภัณฑ์อื่นๆ
ธุรกิจขนมขบเคี้ยวเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ของ QFresh ด้วยการเติบโตอย่างรวดเร็วและการส่งออกไปยังตลาดเอเชียที่สำคัญอย่างเกาหลีใต้ จีน และญี่ปุ่น รวมถึงประสบการณ์ในการจำหน่ายผ่านห่วงโซ่ร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในตลาดมวลชน
เมื่อพิจารณาสัดส่วนยอดขายจากเป้าหมายปี 2024 ที่ 4,000 ล้านบาท จะเห็นได้ว่ากุ้งยังคงเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่สร้างรายได้ถึง 60% หรือประมาณ 2,350 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและความเป็นผู้นำในตลาดกุ้งของบริษัท ส่วน FCM ที่ครอบคลุมแซลมอนและปลาต่างๆ มีสัดส่วนรองลงมา แต่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจ Culinary และสินค้าสไลด์เป็นตลาดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูงและถือเป็นอนาคตของบริษัท

กลยุทธ์การเติบโตและการตลาด บนเป้าหมาย 500 ล้าน และการเข้าถึง Gen Z
เป้าหมายทางการเงินของ QFresh แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยตั้งเป้าหมายที่จะขยายธุรกิจจากยอดขายปัจจุบัน 300 ล้านบาทให้เป็น 500 ล้านบาทภายใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งหมายถึงการเติบโตถึง 66% นี่เป็นเป้าหมายที่ท้าทายแต่สามารถทำได้ เมื่อพิจารณาจากแผนงานและกลยุทธ์ที่มีอยู่ ในขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจโดยรวมมีเป้าหมายที่จะเติบโตจาก 4,000 ล้านบาทเป็น 5,000 ล้านบาทภายในปี 2028 ซึ่งเป็นการเติบโต 25% ที่สะท้อนถึงความมั่นคงและความยั่งยืนของธุรกิจ
การขยายฐานลูกค้าเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ QFresh ใช้ในการเติบโต โดยการปรับเปลี่ยนจากการมุ่งเน้นกลุ่มแม่บ้านวัยกลางคนที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป มาสู่การขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุม Gen Z นักเรียน และนักศึกษา ซึ่งมีพฤติกรรมการบริโภคที่แตกต่าง มีความคุ้นเคยกับเทคโนโลジี และต้องการความสะดวกสบายในการเตรียมอาหาร กลยุทธ์นี้ต้องการการปรับเปลี่ยนทั้งในด้านผลิตภัณฑ์ การสื่อสาร และช่องทางการจำหน่าย
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Value Added กลายเป็นหัวใจสำคัญของการแข่งขันในตลาดปัจจุบัน QFresh ได้มุ่งเน้นการสร้างสินค้า Ready-to-eat ที่ผ่านการเคลือบแป้งและ Pre-fry แล้ว ทำให้ผู้บริโภคสามารถนำไปใส่หม้อทอดได้ทันที โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการเตรียมที่ซับซ้อน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความรวดเร็วและสะดวกสบายในการรับประทานอาหาร
“One-stop service” ที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์อาหารทะเลทุกประเภท
วิสัยทัศน์ระยะยาวของ QFresh คือการเป็น “One-stop service” ที่ครอบคลุมผลิตภัณฑ์อาหารทะเลทุกประเภท ไม่เพียงแค่กุ้งและแซลมอนที่เป็นจุดแข็งในปัจจุบัน แต่รวมถึงปลาหมึก ปลาชนิดต่างๆ สาหร่าย หอย และผลิตภัณฑ์อาหารทะเลอื่นๆ ที่ผู้บริโภคต้องการ การขยายความหลากหลายของผลิตภัณฑ์นี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการรักษาลูกค้าและเพิ่มมูลค่าการซื้อต่อครั้ง
ช่องทางการจำหน่ายของ QFresh ในปัจจุบันยังคงอาศัยการขายแบบออฟไลน์เป็นหลัก โดยคิดเป็น 98% ของยอดขายทั้งหมด ผ่านช่องทาง Modern Trade ที่สำคัญอย่าง Makro, Lotus, CJ Express และห่วงโซ่ค้าปลีกสมัยใหม่อื่นๆ ขณะที่การขายออนไลน์ยังคิดเป็นเพียง 2% แต่มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะผ่านแพลตฟอร์ม TikTok ที่คาดว่าจะเติบโตถึง 200-300% ในอนาคตอันใกล้
ความสำเร็จของ TikTok Live เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของศักยภาพในช่องทางดิจิทัล เมื่อบริษัทได้ทดลองใช้ Influencer อย่างคุณแก้มบุ๋มในการทำ Live ขายสินค้า ผลปรากฏว่าสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 70,000 บาทภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพลังของการตลาดดิจิทัลและความพร้อมของผู้บริโภคในการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์
นวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ความแข็งแกร่งด้านการวิจัยและพัฒนาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ QFresh สามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ด้วยทีม R&D ที่มีขนาดใหญ่กว่า 60 คน ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่สำคัญในอุตสาหกรรมอาหาร ทีมงานเหล่านี้มีหน้าที่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถสร้างสินค้าใหม่ได้ปีละหลายร้อยรายการ และตั้งเป้าหมายให้สินค้าใหม่มีสัดส่วนประมาณ 10% ของยอดขายรวม
การวิจัยตลาดเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดย QFresh ได้ทำการวิจัยเชิงลึกกับกลุ่ม Gen Z ในพื้นที่สยามสแควร์ ซึ่งเป็นจุดรวมตัวของวัยรุ่นและคนหนุ่มสาว ผลการวิจัยพบข้อมูลที่น่าสนใจว่า Gen Z มีความชื่นชอบกุ้งมากที่สุดเมื่อเทียบกับอาหารทะเลอื่นๆ ซึ่งตรงกับจุดแข็งของ QFresh ที่เป็นผู้นำในตลาดกุ้ง นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มนี้มีการใช้ไมโครเวฟในการเตรียมอาหารถึง 6-7 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเปิดโอกาสในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับวิธีการปรุงอาหารแบบใหม่
จากข้อมูล Insight ที่ได้รับ ทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์จึงได้คิดค้นแนวคิดเมนูใหม่ๆ ที่น่าสนใจ อย่างกุ้งเผา กะเพรากุ้ง และเมนูแบบ Ready-to-eat ที่มาพร้อมกับน้ำจิ้มที่ปรุงเสร็จแล้ว ทำให้ผู้บริโภคสามารถรับประทานได้ทันทีหลังจากอุ่นด้วยไมโครเวฟ ความคิดสร้างสรรค์เหล่านี้ไม่เพียงแต่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค แต่ยังช่วยเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
การค้นหาโอกาสใหม่ๆ ผ่าน Customer Centric
การค้นพบโอกาสในสินค้าใหม่ยังคงเป็นเป้าหมายต่อเนื่อง นอกจากกุ้ง กะพง และแซลมอนที่มีอยู่แล้ว การวิจัยพบว่าผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z มีความต้องการปลาหมึกอย่างมาก ซึ่งเป็นโอกาสทองสำหรับ QFresh ในการขยายพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ที่กว้างขึ้น
ผลิตภัณฑ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่นในช่วงที่ผ่านมาคือ “กุ้งต้ม” ซึ่งเป็นสินค้าที่ถอดฐานแล้วและมีราคาที่เข้าถึงได้ที่ 99 บาท ภายใน 3 เดือนของการ Limited Time Offer สินค้าชิ้นนี้สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 30 ล้านบาท หรือประมาณ 300,000 ชิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แฝงอยู่ในตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีในราคาที่สมเหตุสมผล
สำหรับผลิตภัณฑ์ที่กำลังจะเปิดตัวใน Q3 มีทั้งปอเปี๊ยะทอดอินโดที่พัฒนาร่วมกับ Chef Ping และกุ้งป๊อปที่สามารถเข้าหม้อทอดได้ทันที ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สะท้อนถึงการใช้แนวคิดการผสมผสานระหว่างความเป็นไทยกับเทรนด์อาหารนานาชาติ เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย
พันธมิตรเชิงกลยุทธ์และการ Collaboration
การสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์เป็นหนึ่งในจุดแข็งที่สำคัญของ QFresh ในการขยายธุรกิจและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ การร่วมมือกับเชฟมืออาชีพเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้บริษัทสามารถเข้าถึงความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ที่หลากหลายในวงการอาหาร
การร่วมมือกับ Chef Ping เป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จของ Co-innovation ซึ่งนำเมนู “ปอเปี๊ยะฮินดู” หรือปอเปี๊ยะกุ้งที่กลายเป็นไวรัลใน TikTok มาพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ Ready-to-eat ที่สะดวกสำหรับผู้บริโภคทั่วไป การแปลงเมนูที่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดียให้เป็นสินค้าที่ผลิตในระดับอุตสาหกรรมต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทั้งด้านเทคนิคการผลิต การรักษารสชาติ และการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์นี้กำหนดเปิดตัวใน Q3 ประมาณเดือนกันยายน และคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคที่ติดตามเทรนด์อาหาร
แผนการขยายความร่วมมือกับเชฟยังคงดำเนินต่อไป โดยมีแผนที่จะร่วมมือกับเชฟท่านอื่นๆ ใน Q4 ของปีนี้และต่อเนื่องในปี 2026 การสร้างเครือข่ายเชฟในลักษณะนี้จะช่วยให้ QFresh มีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตอบโจทย์รสนิยมของผู้บริโภคกลุ่มต่างๆ รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือและความน่าสนใจผ่านชื่อเสียงของเชฟที่มีชื่อเสียง
สร้างความแข็งแกร่งผ่านธุรกิจ B2B
ในด้านการสนับสนุนผู้ประกอบการ B2B บริษัทได้จัด Workshops ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอาหารอย่างคุณต๋า คุณเขต และพี่เกษม เพื่อถ่ายทอดความรู้ที่สำคัญแก่ผู้ประกอบการร้านอาหาร เนื้อหาที่ให้ความรู้ครอบคลุมหลายด้าน ตั้งแต่การบริหารจัดการต้นทุน การละลายสินค้าอย่างถูกวิธี การจัดเก็บวัตถุดิบให้คงคุณภาพ ไปจนถึงการบริหารจัดการบุคลากรอย่างมีประสิทธิภาพ การให้ความรู้เหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ได้อย่างเต็มศักยภาพ แต่ยังสร้างความผูกพันและความไว้วางใจระหว่างบริษัทกับลูกค้า
การสร้างพันธมิตรกับร้านอาหารเป็นอีกกลยุทธ์สำคัญในการขยายการรับรู้แบรนด์และเพิ่มช่องทางการขาย โดยเฉพาะในโครงการครบรอบ 8 ปี ที่มีการร่วมมือกับ 8 ร้านอาหารที่เป็น Everyday Food เพื่อใช้สินค้าของ QFresh ในการประกอบอาหารและจัดแคมเปญพิเศษ การเลือกร้านอาหารที่เป็น Everyday Food มีความสำคัญเพราะเป็นร้านที่ผู้บริโภคทั่วไปเข้าถึงได้และมีการบริโภคอย่างสม่ำเสมอ
แคมเปญครบรอบ 8 ปี
งาน 8th Anniversary Celebration เป็นการฉลองที่ยิ่งใหญ่และมีความหมายสำหรับ QFresh ในการทบทวนความสำเร็จที่ผ่านมาและเปิดตัวทิศทางใหม่สำหรับอนาคต โดยการเปิดตัวแคมเปญการตลาดกระตุ้นยอดขาย “Sealebration” รวมมูลค่ามากกว่า 3 ล้านบาท มอบสิทธิพิเศษและความคุ้มค่าแก่ผู้บริโภค ด้วยโปรโมชันและกิจกรรมลุ้นของรางวัลแบบจัดเต็ม โดยสามารถร่วมสนุกได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน – 30 พฤศจิกายน 2568 พร้อมกันนี้เตรียมพบกับอีเวนท์พิเศษ “8th Birthday Sealebration” ในวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ณ ลาน Eden 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ภายในงาน มีคอนเสิร์ตจากศิลปิน LYKN ชื่อดัง มีเมนูพิเศษจาก 8 ร้าน Premium Street Food และกิจกรรมที่น่าสนใจอีกมากมาย