Unique Unite’ รวมพลัง ‘แบรนด์รุ่นใหม่’ ชู ‘Unique DNA’ สร้างเส้นทางสู่แบรนด์ระดับสากล

  • 16
  •  
  •  
  •  
  •  

 

ในโลกของธุรกิจ SMEs ความสำเร็จไม่เคยเกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่เกิดจากความพยายามที่ไม่หยุดนิ่งของเจ้าของธุรกิจ ที่ยืนหยัดในอัตลักษณ์ของตัวเอง มุ่งมั่นพัฒนากลยุทธ์ พัฒนา Storytelling ที่ต้องการสื่อสารให้ถูกทิศทาง ปรับหน้าตาของสินค้าให้กระทบใจลูกค้าเมื่อแรกเห็นและเกิดการจดจำ นอกจากสู้กับตัวเองแล้วยังต้องสู้กับตลาดการค้าที่นับวันยิ่งเข้มข้นขึ้นและที่สำคัญคือการไม่ละทิ้ง Passion มุ่งมั่นสู่เป้าหมาย ย่อมเห็นเส้นทางของการเติบโต ดังเช่นทั้ง 5 แบรนด์เหล่านี้ที่สะท้อนพลังของ Unique Unite อย่างแท้จริง จากธุรกิจเล็ก ๆ แต่หัวใจใหญ่พอที่จะพาแบรนด์ก้าวไกล ทั้งในประเทศไทยและสู่สายตานานาชาติ

 

 

Pennii Premium Popcorn: จากขนมให้ลูก สู่พรีเมียมเฮลท์ตี้ป๊อปคอร์นไทย

เรื่องราวของ Pennii เริ่มจากความรักของ “พรพิมล ปักเข็ม” คุณแม่ที่อยากทำขนมเพื่อสุขภาพให้ลูก ๆ ได้ทาน จนกลายเป็นการสร้างแบรนด์แบบจริงจังและขยายเข้าสู่การเปิดป๊อปอัพสโตร์ในห้างสรรพสินค้าชั้นนำ
ด้วย ความใส่ใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่วัตถุดิบ โดยใช้เนยแท้จากฝรั่งเศส ชีสแท้ ใช้น้ำมันเมล็ดชาภัทรพัฒน์ และ Air Pop Technology จากสหรัฐอเมริกาที่ลดการใช้น้ำมันได้ถึง 95% ขณะเดียวกันเศษข้าวโพดที่เหลือยังสามารถนำไปเป็นอาหารสัตว์โดยไม่ปนเปื้อนน้ำมัน สอดคล้องกับแนวคิด Sustainable & Zero Waste ไปจนถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่วางให้อยู่ในระดับพรีเมียม ทำให้เข้าถึงใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายในที่สุด

 

หลังพบเจอกับวิกฤตโควิด-19 ทำให้ตัดสินใจขยายช่องทางสู่ช่องทางซูเปอร์มาร์เก็ตและออนไลน์ พร้อมพัฒนา Corporate Identity และ Branding ให้คมชัดจากการเข้าร่วมโครงการ IDEA LAB ของกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) รสชาติขายดีอย่างคาราเมลและช็อกโกแลต ยังมีความคิดจะสร้างสรรค์รสชาติใหม่ ๆ ที่สะท้อนความเป็นไทยสู่สายตาโลก อาทิ รสทุเรียนหมอนทอง รสต้มยำกุ้ง รสชีสที่พัฒนาร่วมกับการบินไทยเพื่อเสิร์ฟบน Business Class และรสเนยเค็มโพรไบโอติกสำหรับผู้บริโภคสายสุขภาพ ทำให้ Pennii กลายเป็นแบรนด์ ป๊อปคอร์นพรีเมียม ที่ไม่ใช่แค่ขนมทานเล่น แต่เป็นงานคราฟต์ที่สะท้อนความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน จุดแข็งของแบรนด์คือการสร้าง การรับรู้คุณค่า (Value Perception) ที่เหนือกว่า ทั้งในรสชาติ การคัดสรรวัตถุดิบ และบรรจุภัณฑ์ วันนี้ Pennii Premium Popcorn จึงเป็น“ของขวัญจากความใส่ใจ” ที่วางขายในฮ่องกง ดูไบ เซี่ยงไฮ้ และกำลังเดินหน้าต่อเพื่อสร้างชื่อ “พรีเมียมเฮลท์ตี้ป๊อปคอร์นจากประเทศไทย” บนเวทีโลก

 

 

Itim Lamoon: จากรสชาติผลไม้ไทย สู่ไอศกรีมบนสายการบินนานาชาติ

Itim Lamoon (ไอติม ละมุน) เกิดขึ้นจากความตั้งใจของ “ชญาณ์พิมพ์ สังฆธรรม” ที่อยากสร้างไอศกรีมไทยคุณภาพสูง โดยเชื่อมโยงเกษตรกรท้องถิ่นเข้ากับผู้บริโภคภายใต้คอนเซ็ปต์ Farm to Scoop ซึ่งใช้วัตถุดิบจากสวนเกษตรอินทรีย์ทั่วประเทศ อาทิ มะพร้าวจากดำเนินสะดวก และทุเรียนจากจันทบุรี ทำให้ทุกคำของไอศกรีมละมุนคือการถ่ายทอดความอุดมสมบูรณ์ของผืนดินไทย กลยุทธ์ของแบรนด์ไม่ได้อยู่ที่การแข่งขันด้านรสชาติเท่านั้น แต่คือ การเล่าเรื่อง (Storytelling) ที่ผูกโยงกับภูมิปัญญาท้องถิ่น การสื่อสารเช่นนี้ไม่เพียงสร้างความแตกต่าง แต่ยังทำให้ผู้บริโภครู้สึกมีส่วนร่วมกับเรื่องราว เชื่อมโยงผู้บริโภคกับเกษตรกรไทย โดยเฉพาะเกษตรอินทรีย์ที่สอดคล้องกับ ESG และแนวทางความยั่งยืนระดับโลก เน้นให้ผู้บริโภคได้สัมผัสผลผลิตจากดินอุดมสมบูรณ์ ปลอดสารเคมี สะท้อนคุณภาพของผู้ผลิตไทย ซึ่งเป็นจุดแข็งสำคัญในการส่งออกและสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าทั่วโลก

 

แม้เคยต้องเผชิญวิกฤตโควิด-19 จนโรงงานและร้านถูกสั่งปิด แต่ด้วยระบบมาตรฐานการผลิตที่วางไว้อย่างเข้มแข็ง ประกอบกับการใช้ Data-driven marketing วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ทำให้แบรนด์สามารถพัฒนารสชาติที่ตรงใจกลุ่มลูกค้า และหลังจากเข้าร่วม IDEA LAB ในปี 2566 ไอติมละมุนได้ปรับภาพลักษณ์ใหม่จากแบรนด์ท้องถิ่นธรรมดากลายเป็น แบรนด์พรีเมียม ขึ้นได้อย่างสง่างาม ภาพลักษณ์ที่แข็งแรงยังช่วยเปิดประตูสู่ตลาดต่างประเทศ จนในวันนี้ไอติมละมุนจัดส่งให้สายการบิน Singapore Airlines ด้วยรูปแบบ OEM (รับจ้างผลิต) และกำลังขยายสู่ Emirates Airline พร้อมทั้งเตรียมทำตลาดในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย

 

 

Areeherb: จากภูมิปัญญาคุณยาย สู่สมุนไพรไทยในดีไซน์สากล

ในวันที่สมุนไพรไทยเคยถูกมองว่า “เชย” หรือเป็นเพียงเครื่องแกงในครัว Areeherb เลือกที่จะไม่ยอมแพ้ แต่กลับหันมารีแบรนด์ใหม่ ด้วยความเชื่อมั่นว่า ภูมิปัญญาไทยคือขุมทรัพย์ ที่สามารถสร้างคุณค่าได้ในตลาดสากล และทำการเล่าเรื่องใหม่ให้คนทั่วโลกได้เห็นว่า สมุนไพรไทยสามารถสร้างผลิตภัณฑ์สุขภาพคุณภาพสูงได้ โดยผู้ก่อตั้ง “เฉลิมพล อารีย์เกื้อตระกูล” เติบโตมากับภูมิปัญญาของครอบครัว จึงต่อยอดความรู้สมุนไพร ร่วมมือกับชุมชนและมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สกัดที่ได้มาตรฐาน

 

เมื่อเข้าร่วมโครงการ IDEA LAB แบรนด์ได้รีแบรนด์ใหม่ทั้งหมด จากภาพลักษณ์ที่ดูท้องถิ่นเกินไป สู่ดีไซน์โมเดิร์น ใช้ภาษาอังกฤษบนบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้เหมาะกับตลาดต่างประเทศ แต่ยังคงกลิ่นอายของความเป็นไทยเอาไว้ผลลัพธ์คือ ยอดขายเติบโตขึ้นกว่า 50% และสามารถส่งออกไปยังตะวันออกกลาง รวมถึงเข้าห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์สโตร์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เส้นทางเดินของ Areeherb จึงเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า “ภูมิปัญญาดั้งเดิม” เมื่อนำมาปรับด้วยความคิดใหม่ สามารถกลายเป็นแบรนด์สากลได้อย่างแท้จริง

 

 

Avagan: เปลี่ยนข้อจำกัดสุขภาพให้กลายเป็นตลาดใหม่

จาก Pain Point ของ เกื้อกูล เจริญวรรณวงศ์ ที่แพ้แลคโตสและไม่สามารถรับประทานผลิตภัณฑ์จากนมได้ แต่ยังคงมีความหลงใหลในชีสเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังพบว่าคนกว่า 50–60% มีปัญหาคล้ายกัน การมองเห็นตลาดขนาดใหญ่ที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองเต็มที่ ทำให้คิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีส Plant-based แบรนด์ Avagan โดยเลือกใช้เมล็ดมะม่วงหิมพานต์จากกระบี่เป็นวัตถุดิบหลัก ที่ไม่เพียงสร้างความแตกต่างแต่ยังทำให้ผลิตภัณฑ์มีเรื่องราวเชิงท้องถิ่นที่แข็งแรง แบรนด์ไม่ได้หยุดเพียงการผลิตชีสสำหรับชาววีแกน แต่ขยายการสื่อสารไปยังผู้บริโภคทุกคนที่ห่วงใยสุขภาพ ชูคุณค่าของผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากคอเลสเตอรอล แคลอรีต่ำ และไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้

 

กลยุทธ์นี้ทำให้ Avagan ไม่ได้เป็นเพียง “สินค้าสำหรับกลุ่มเฉพาะ” แต่สามารถเจาะตลาดแมสได้อย่างกว้างขวาง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง Cheese Stick ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ยิ่งทำให้แบรนด์มีศักยภาพในการขยายตัว นอกจากนี้แบรนด์ยังวางหมากสู่ตลาดโลกด้วยการเข้าร่วมงาน Matching ในอินเดียและดูไบ พร้อมทั้งเดินหน้าขอการรับรองฮาลาลเพื่อปูทางการส่งออกอย่างจริงจัง การเติบโตของแบรนด์ในวันนี้ตอกย้ำสโลแกนที่ว่า “สุขภาพดีเริ่มต้นจากทุกคำที่ทาน” ซึ่งสะท้อนถึงเจตนารมณ์ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงตอบโจทย์ผู้บริโภคที่แพ้นม แต่ยังเป็นทางเลือกสุขภาพสำหรับทุกคนได้อย่างชัดเจน

 

 

103 Paper Shop: A Next Life ของกระดาษและความฝัน

103 Paper Shop ของ วิทยา ชัยมงคล สะท้อนแนวคิดที่ว่า “ทุกสิ่งสมควรได้มีชีวิตใหม่” การรีไซเคิลกระดาษในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการผลิตซ้ำในเชิงอุตสาหกรรม แต่เป็นการเปลี่ยนเศษกระดาษให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์คราฟต์ที่มีเอกลักษณ์และคุณค่าทางศิลปะ สิ่งที่ทำให้แบรนด์นี้น่าสนใจคือการที่ผู้ก่อตั้งไม่ได้มาจากสายธุรกิจ แต่เลือกที่จะเรียนรู้ทีละขั้นผ่านการเข้าร่วมโครงการอบรมและเวิร์กช็อปต่าง ๆ การค้นหาตัวตนของแบรนด์ผ่านการทบทวน DNA ทำให้แบรนด์สามารถชัดเจนในทิศทางการสื่อสารมากขึ้น ชื่อ “103” ถูกตีความใหม่ให้สะท้อนถึงคุณค่าที่ชัดเจนมากขึ้น นั้นคือ 1 (คุณภาพสูงสุด), O (Original และ Organic), และ 3 (Tree ที่หมายถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน) สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของการออกแบบ แต่เป็นการสร้าง “เรื่องเล่า” ที่เสริมพลังให้กับแบรนด์

 

แม้เส้นทางยังไม่ง่าย แต่การกล้าที่จะนำผลงานไปแสดงในเชิงศิลปกรรมแม้จะไม่ได้รางวัล ก็กลับสร้างโอกาสใหม่ให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เห็นคุณค่าในงานคราฟต์ที่มีเรื่องราว ปัจจุบันแม้การส่งออกยังอยู่ในระดับเล็ก แต่ก็เริ่มเข้าถึงตลาดต่างประเทศที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและงานแฮนด์เมด การสร้างแบรนด์ที่ไม่หยุดนิ่ง เรียนรู้ตลอดเวลา และกล้าที่จะก้าวออกนอกกรอบ คือสิ่งที่ทำให้ 103 Paper Shop ยังคงเดินทางต่อไปอย่างมั่นคง

 

Key Success

เมื่อพิจารณาเรื่องราวของทั้ง 5 แบรนด์ จะเห็นได้ว่าทุกแบรนด์มี Unique DNA ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือ ไม่ได้หยุดอยู่แค่การสร้างอัตลักษณ์ แต่เลือกใช้เอกลักษณ์นั้นเป็น กลยุทธ์ ในการสร้างตลาด สื่อสารกับผู้บริโภค และขยายโอกาสทางธุรกิจ จากแบรนด์เล็ก ๆ ที่ดูเหมือนมีข้อจำกัด กลับกลายเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพแข่งขันทั้งในประเทศและตลาดสากล ความ “เล็ก” ของแบรนด์เหล่านี้เมื่อใช้กลยุทธ์ที่ถูกทาง สามารถสร้างพลังที่ยิ่งใหญ่ สร้างแรงบันดาลใจให้ธุรกิจ SME ไทยก้าวไปได้ไกลกว่าที่คิด

 

นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายแบรนด์ที่น่าสนใจ มาร่วมเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจจากแบรนด์ไทยที่กล้าก้าวไกล
ได้ในงาน Unique Unite ภายใต้โครงการส่งเสริมเครือข่ายแบรนด์ไทยสู่ตลาดสากล ปี 2568 โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 16-25 กันยายน 2568 เวลา 10.00 – 22.00 น. ณ กูร์เมต์ มาร์เก็ต
สยามพารากอน


  • 16
  •  
  •  
  •  
  •