ปกติแล้ว แคมเปญของบริษัทประกันภัยมักจะเน้นขายความคุ้มครองและความปลอดภัย โฆษณาหลายตัวเลือกใช้หนุ่มสาวสวมเสื้อสูท ยืนหน้าชื่อแพคเกจแล้วพูดเรื่องตัวเลขความคุ้มครอง ขณะที่บางโฆษณาแสดงฉากอุบัติเหตุน่ากลัว แล้วสื่อว่าต้องมีประกันไว้เป็นแผนสำรองชีวิต
แต่วิริยะประกันภัยนำเสนอในมุมที่แตกต่าง โดยจุดประกายว่า “เวลามีค่าขนาดนี้ แล้วทำไมเราต้องเสียเวลาอยู่กับปัญหานานๆ?” ซึ่งในสายตาของคนที่ต้องเผชิญกับอุบัติเหตุ อาจจะไม่ได้เครียดแค่เรื่องรถเสียหาย แต่หลายคนหงุดหงิดใจเพราะต้องเสียเวลารอ ทั้งการรอเคลม รอเอกสาร รอซ่อม รอประกันตอบ จนรู้สึกติดอยู่ในวงจรปัญหาที่ยืดยาวเกินจำเป็น
แคมเปญ “คนรอมันท้อ ไม่อยากรอต้องวิริยะประกันภัย” จึงเกิดขึ้นบนแนวคิด ง่ายๆ จากการตั้งคำถาม ว่า
“ถ้าชีวิตเราต้องเจอปัญหาอยู่แล้ว ทำอย่างไรให้เราอยู่กับมันให้สั้นที่สุด?” ซึ่งคำตอบที่วิริยะประกันภัยพร้อมจะมอบให้ทุกคน คือประกันภัยที่ดีจะไม่ได้หมายถึงแค่การจ่ายเงินเร็วหรือซ่อมรถไว แต่คือการ”ทำให้เราอยู่กับปัญหาได้น้อยลง” เพื่อให้เวลาที่เหลือ ถูกเอาไปใช้กับสิ่งที่สำคัญกว่า
วิริยะประกันภัยสื่อสารไอเดียนี้ผ่านหนังโฆษณาธีม “คนรอมันท้อ” ที่ทำออกมา 3 เรื่อง ทุกเรื่องน่าสนใจมากเพราะไม่เพียงชัดเจนว่าวิริยะประกันภัยเข้าใจดีถึง “การรอคอย” ที่เป็นจุดเจ็บปวด (Pain Point) ที่สำคัญของลูกค้า แต่ความเข้าใจนี้ ถูกนำมาผสมกับวิธีเล่าเรื่องหรือ Storytelling ที่มีประสิทธิภาพ สะท้อนความรู้สึกของการรอคอยในชีวิตประจ˚าวันที่คนไทยคุ้นเคย ทั้งการรอเพื่อน การรอคู่รัก และการรอในคิวขอพรที่ศาลเจ้า ซึ่งทุกเรื่องทำให้ผู้ชมหัวเราะได้ พร้อมกับที่รู้สึกถึงพลังลบของการรอคอยไปพร้อมกัน
จุดประกายเรื่อง “เวลา” ปฏิวัติอุตสาหกรรมประกันภัยไทย
วิริยะประกันภัยเป็นแบรนด์ที่จุดประกายมุมมองเรื่องการใช้เวลาอย่างมีค่า และให้ความสำคัญกับการที่ลูกค้าต้องเผชิญกับปัญหาให้สั้นที่สุด เพื่อเอาเวลาไปใช้กับเรื่องอื่นที่คุ้มค่า ซึ่งที่ผ่านมา วิริยะประกันภัยมุ่งสื่อสารผ่านสโลแกน “มากกว่าความคุ้มครอง คือความคุ้มค่า” พร้อมกับแฮชแทค “ใช้ทุกวิให้คุ้มค่า” มาเป็นแกนหลักในการสื่อสารตั้งแต่ต้นปี 2568
สำหรับเนื้อหาโฆษณาชุดใหม่ ใครได้ดูแล้วจะเห็นว่าไม่ใช่ภาคต่อจากเนื้อหาที่นำเสนอไปเมื่อต้นปี แกนหลักในการสื่อสาร ได้พูดถึง การเคลมไว-การดูแลทันใจ ของวิริยะประกันภัย ขณะเดียวกัน ก็แสดงจุดยืนพร้อมสนับสนุนให้ทุกคนเห็นความ สำคัญของการใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าทุกวินาที โดยไม่ต้องเสียเวลารอคอยอะไรนาน ๆ เรียกว่าถ้าใครเป็นลูกค้าของวิริยะประกันภัย ก็จะหมดห่วงเรื่องการ “รอ” เพราะวิริยะประกันภัย
คำนึงอยู่เสมอว่า เวลาของลูกค้าทุกคนเป็นสิ่งที่มีค่า
สำหรับหนังโฆษณา 3 เรื่องในธีม “คนรอมันท้อ ไม่อยากรอต้องวิริยะประกันภัย เคลมไว จ่ายจริง” ล้วนบอกเล่าถึงประสบการณ์การรอคอยที่สร้างความทรมานให้กับคนที่ต้องเผชิญกับปัญหาที่ใช้เวลายาวนาน โดย 1 ใน 3 ของหนังโฆษณามีชื่อว่า “ไหนว่าเลี้ยวเดียว” เนื้อเรื่องเล่าถึงเพื่อนสองคนที่นัดหมายกันมาพบเจอที่ร้านอาหาร แต่เพื่อนคนหนึ่งกลับเพิ่งตื่นนอนขณะที่เพื่อนอีกคนไปนั่งรออยู่ที่ร้านอาหารแล้ว
เมื่อ “เพื่อนที่มาเร็ว” ถามว่าเดินทางถึงไหนแล้ว “เพื่อนที่มาสาย” นั้นบอกจากบนเตียงนอนว่าใกล้ถึงแล้ว และบอกว่า “อีกเลี้ยวเดียวก็ถึง” เมื่อปิดประตูและออกจากบ้านไปได้ไม่นาน
หนังโฆษณาเรื่องที่ 2 ชื่อว่า “แป๊บเราไม่เท่ากัน” เรื่องราวเล่าถึงคู่รักที่ก˚าลังฉลองวันครบรอบหวานชื่น ฝ่ายชายนั้นมาเซอร์ไพรส์ฝ่ายหญิงที่บ้านและชวนออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน แต่ฝ่ายหญิงยังไม่ได้แต่งหน้าเสริมสวย จึงขอเวลาไปแต่งตัวจนฝ่ายชายรอจนร้อง “โอ้ย…”
หนังโฆษณาเรื่องที่ 3 ชื่อเรื่องว่า “จากอาหมวยกลายเป็นอาม่า” เรื่องเล่าจากการรอคอยเข้าแถวเพื่อ ขอพรในศาลเจ้าแม่รักสมหวัง ความสนุกของเรื่องคือสาวที่ได้คิวขอพรก่อนนั้นใช้เวลาบรีฟขอพรกับเจ้าแม่ยาวนานมาก ทั้งพรีเซนต์และส่งไฟล์ให้เจ้าแม่จนคิวด้านหลังเริ่มไม่โอเค เปิดศึกแซะจนคนดูต้องยิ้มตาม
ทั้ง 3 สถานการณ์ในหนังโฆษณาชุดนี้สะท้อนความรู้สึกระหว่างรอของแต่ละคนที่แตกต่างกัน ทั้งการรอแฟนแต่งตัว รอเพื่อนลืมนัด หรือแม้แต่การรอขอพร ความรู้สึกจากการรอในเวลาเท่ากันนั้นกลับยาวนานไม่เท่ากัน ท˚าให้หลายคนที่รอเกิดความท้อ ความหงุดหงิด และอีกหลายหลายความรู้สึกที่ผสมปนเปแบบไม่ควรเกิดขึ้น หนังโฆษณาชุดนี้จึงตอกย้ำว่าวิริยะประกันภัยเข้าใจความท้อของคนรอทุกคน และหากไม่อยากรอ ก็ต้องหันมาที่วิริยะประกันภัยประกันภัย ซึ่งด˚าเนินการว่องไวไว้ใจได้
ไม่อยากรอต้องวิริยะประกันภัย
สิ่งที่เราสรุปได้จากแคมเปญ “คนรอมันท้อ” ของวิริยะประกันภัย คือกลยุทธ์การตลาดที่ดี มักเกิดขึ้นได้เมื่อแบรนด์เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง กรณีของวิริยะประกันภัย นั้นสามารถระบุปัญหาการรอคอยที่เป็นจุดเจ็บปวดที่แท้จริง ซึ่งวิริยะประกันภัยยืนยันนโยบายมาตลอดว่าหากเกิดเหตุเมื่อใด ลูกค้าจะไม่ต้องรอและสามารถโทรหาได้ตลอด 24 ชั่วโมง บนขั้นตอนการรับค่าชดเชยทันใจ
ความเข้าใจน˚าไปสู่การสร้างความแตกต่างที่ชัดเจน เห็นได้จากนโยบายของวิริยะประกันภัยที่พร้อมให้บริการด้วยความรวดเร็ว ไม่มีการประวิงเวลา ทั้งการบรรเทา ณ จุดเกิดเหตุ หรือการให้บริการด้านการซ่อมบ˚ารุง รวมถึงการจ่ายสินไหม
อีกสิ่งที่ส˚าคัญคือแคมเปญการตลาดที่ดีควรใช้การสื่อสารที่สร้างอารมณ์ ผ่านเรื่องราวที่คนไทยสามารถเข้าใจและรู้สึกร่วมได้ กรณีของแคมเปญนี้ใช้การเปลี่ยนแปลงคนรอให้กลายเป็น “คนสูงวัยที่อารมณ์ไม่ดี” ถือเป็นอีกเทคนิคการสื่อสารที่สร้างความตระหนักถึงผลกระทบของการรอคอยได้ชัด และการใช้ภาพที่เกินจริง จดจ˚าง่าย นั้นสร้างอารมณ์ร่วมที่ดีมากกับกลุ่มเป้าหมาย
ที่สุดแล้ว แคมเปญที่ครบเครื่องเช่นนี้จะไม่เพียงแต่เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดให้กับวิริยะประกันภัย แต่ยังอาจเปลี่ยนภาพการแข่งขันในอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ให้หันไปยกระดับเรื่องความเร็วในการให้บริการอย่างเป็นรูปธรรมได้ด้วย
ส˚าหรับคนที่ไม่อยากรอ สามารถติดต่อวิริยะประกันภัยที่สาขาและตัวแทนใกล้บ้านได้ หรือ จะศึกษารายละเอียดด้วยตัวเอง ที่ www.viriyah.com เพื่อให้ชีวิตมีแผนสำรองที่จะทำให้ทุกคนใช้ทุกวินาทีในชีวิตอย่างคุ้มค่าจริงๆ ยิ่งในปัจจุบันนี้ทาง วิริยะประกันภัยได้เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ด้วยการแจ้งเคลมผ่าน Line OA : Viriyah.com ตลอด 24 ชั่วโมง เชื่อว่าจะทำให้ วิริยะประกันภัยโดยใจทุกกลุ่ม GEN ได้แน่นอน