ในช่วงเวลาที่ผ่านมาสังคมออนไลน์เกิดความตื่นตระหนกอย่างกว้างขวาง เมื่อมีผู้พบว่าบัญชีของตนเองไม่สามารถทำธุรกรรมได้ตามปกติ พร้อมกับกระแสข่าวการ “กวาดล้างบัญชีม้า” ครั้งใหญ่ของภาครัฐ ทำให้เกิดคำถามและความกังวลตามมามากมาย โดยเฉพาะในกลุ่มพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์และประชาชนผู้สุจริตที่หวั่นเกรงว่าจะได้รับผลกระทบไปด้วย จากเส้นเงินที่กระจายไปทั่ว
เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ออกมาชี้แจงถึงมาตรการดังกล่าวอย่างละเอียด ทั้งเบื้องหลังการทำงาน ขั้นตอนการดำเนินการ และแนวทางการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยไม่เป็นธรรม
สงครามตัดท่อส่งเงินด่วนระงับมิจฉาชีพ
สาเหตุหลักที่ทำให้ต้องมีมาตรการนี้เกิดขึ้น ธปม. ชี้แจงว่า มาจากปัญหาภัยทุจริตทางการเงินที่ยังคงสร้างความเสียหายอย่างมหาศาล แม้ว่าในปัจจุบัน “แอปฯ ดูดเงิน” จะลดน้อยลงจนแทบเป็นศูนย์ แต่รูปแบบการหลอกลวงให้ผู้เสียหาย “โอนเงินเอง” ยังคงมีอยู่สูงมาก และส่วนใหญ่เป็นการใช้บัญชีม้าในการโอนเงิน
หัวใจสำคัญของมาตรการนี้คือการ “กักเงิน” ที่ถูกหลอกลวงไปให้อยู่ในระบบธนาคารได้นานที่สุด เพื่อเพิ่มโอกาสในการนำเงินกลับมาคืนให้แก่เหยื่อ แต่ความท้าทายที่สำคัญคือ “เวลา” เนื่องจากมิจฉาชีพทำงานเร็วมาก จากสถิติพบว่า ผู้เสียหายใช้เวลาเฉลี่ยถึง 20 ชั่วโมงกว่าจะรู้ตัวและแจ้งเหตุ บางกรณีที่เป็นการหลอกลงทุน (Investment Scam) อาจใช้เวลานานถึง 2 เดือนกว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอก
“หลักของเราต้องการให้เกิดความสมดุล เราต้องการกักเงินที่ถูกมิจฉาชีพหลอกให้โอนมา เราต้องการกักเงินให้อยู่ในระบบให้ได้มากที่สุด แต่มิจฉาชีพก็ค่อนข้างเก่งที่จะไปหลอกคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาใช้บัญชีของเขา ทำให้ไปสู่ผลกระทบกับผู้ที่สุจริตได้” คุณดารณี แซ่จู ผู้ช่วย ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าว
ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงนั้น เงินที่ถูกโอนออกจากบัญชีเหยื่อจะถูกส่งต่อไปยังบัญชีม้าอื่นๆ เป็นทอดๆ อย่างรวดเร็ว และในปัจจุบัน เส้นทางการเงินมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น เพราะไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในระบบธนาคาร แต่ยังมีการโอนต่อไปยังบัญชี e-Wallet และสินทรัพย์ดิจิทัลอีกด้วย
ด้วยเหตุนี้เอง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องใช้มาตรการ “ต่อเส้นเงิน (Money Trail Tracing)” ที่รวดเร็วและครอบคลุมที่สุด ซึ่งเปรียบเสมือนการกวาดบัญชีที่อยู่ในเส้นทางการเงินทั้งหมดเข้ามาตรวจสอบ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เงินถูกถอนออกไปจนหมด การดำเนินการที่รวดเร็วและกว้างขวาง ทำให้อาจส่งผลกระทบไปถึงบัญชีของประชาชนผู้สุจริตที่บังเอิญไปอยู่ในเส้นทางการเงินนั้นโดยไม่รู้ตัว
“ระงับ” ไม่ใช่ “อายัด” ขั้นตอนที่ต้องรู้
สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ มาตรการที่กำลังส่งผลกระทบต่อผู้คนส่วนใหญ่ในขณะนี้คือการ “ระงับธุรกรรมชั่วคราว” ไม่ใช่การ “อายัดบัญชี” ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
โดยการ ระงับธุรกรรมชั่วคราว ธนาคารจะเป็นผู้ดำเนินการตาม พ.ร.ก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฯ เมื่อได้รับแจ้งเหตุจากผู้เสียหายผ่านศูนย์ AOC 1441 โดยจะเป็นการระงับ “เฉพาะยอดเงิน” ที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมต้องสงสัยเท่านั้น ไม่ได้ระงับทั้งบัญชี เช่น หากมิจฉาชีพโอนเงิน 100 บาท เข้ามาในบัญชี แต่ในบัญชีมีเงินส่วนตัวอยู่ 1,000 บาท ธนาคารจะระงับยอดเงินเพียง 100 บาท ส่วนอีก 900 บาทสามารถใช้จ่ายได้ตามปกติ
การระงับธุรกิจกรรมชั่วคราวเป็นมาตรการชั่วคราวเท่านั้น หากผู้เสียหายไม่ได้แจ้งความอย่างเป็นทางการจะระงับได้เพียง 3 วันเท่านั้น แต่หากมีการแจ้งความแล้วจะสามารถระงับได้ไม่เกิน 7 วัน เพื่อให้เวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนและขอ “หมายอายัดบัญชี” ต่อไป หากครบกำหนดแล้วไม่มีหมายอายัดจากตำรวจ ธนาคารจะทำการปลดระงับยอดเงินดังกล่าวโดยอัตโนมัติ
สำหรับ การอายัดบัญชี เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้มีอำนาจสั่งอายัด โดยจะส่ง “หมายอายัด” มายังธนาคารเพื่อดำเนินการ โดยการอายัดบัญชีเป็นมาตรการที่หนักกว่าการระงับธุรกรรม ซึ่งอาจเป็นการอายัดทั้งบัญชี ทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมใดๆ ได้ทั้งฝากและถอน โดยผลการอายัดบัญชีจะเกิดขึ้นหลังจากที่ตำรวจได้สืบสวนและมีหลักฐานบ่งชี้ว่า บัญชีดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดจริง
ช่องทางและวิธีปลดล็อกที่รวดเร็ว
ผลกระทบที่ผ่านมาทำให้หลายหน่วยงานตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น โดย ธปท.ชี้แจงสำหรับประชาชนผู้สุจริตที่ได้รับผลกระทบจากการระงับธุรกรรมชั่วคราว โดยได้มีการพัฒนากระบวนการปลดล็อกด้วยการร่วมกับกับทุกหน่วยงานเพื่อให้สามารถปลอดล็อกได้รวดเร็วยิ่งขึ้น จากเดิมที่ต้องรอ 3-7 วัน ตอนนี้สามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้อย่างช้าสุดภายใน 1 วัน และเร็วที่สุดภายใน 4 ชั่วโมง โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ติดต่อตามช่องทางที่กำหนด: ผู้ที่ได้รับผลกระทบสามารถโทรไปที่ ศูนย์ AOC สายด่วน 1441 แล้วกด 2 ซึ่งเป็นช่องทางที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อรับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริสุทธิ์โดยเฉพาะ
- ให้ข้อมูลที่จำเป็น: แจ้งข้อมูลหลัก 3 อย่างแก่เจ้าหน้าที่ คือ ชื่อ-นามสกุล, ชื่อธนาคารรวมถึงเลขที่บัญชีที่ถูกระงับ และเลขบัตรประจำตัวประชาชน
- เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบ: โดยศูนย์ AOC จะรวบรวมรายชื่อผู้ร้องเรียนและส่งให้ธนาคารตรวจสอบเป็นรอบ โดยจะส่งให้วันละ 3 รอบ
- ธนาคารพิจารณาตามหลักเกณฑ์: ธนาคารจะทำการตรวจสอบข้อมูลตามหลักเกณฑ์กลาง ทั้งบัญชีดังกล่าวติดรายชื่อบัญชีม้าในระบบหรือไม่ ลักษณะธุรกรรมเป็นการชำระค่าสินค้าบริการมูลค่าต่ำหรือสูง หากเป็นธุรกรรมเงินก้อนใหญ่ เมื่อตรวจสอบรายการเดินบัญชี (Statement) ย้อนหลังแล้วพบว่า มีพฤติกรรมการใช้จ่ายเป็นปกติก็จะถือว่าเป็นผู้สุจริต
- แจ้งผลและปลดระงับ: เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นผู้สุจริตจริง ธนาคารจะส่งเรื่องกลับไปยังศูนย์ AOC เพื่ออนุมัติและดำเนินการปลดระงับยอดเงินดังกล่าวโดยเร็วที่สุด ซึ่งกระบวนการในฝั่งธนาคารจะใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงต่อเคส ทำให้โดยรวมแล้วสามารถปลดล็อกได้เร็วที่สุดภายใน 4 ชั่วโมงหลังเริ่มรอบการตรวจสอบ
“ถ้ารู้ตัวแล้ว หากคิดว่าตัวเองสุจริตสามารถโทรไปที่ 1441 กด 2 แล้วแจ้งชื่อธนาคารและเลขบัญชี ที่ผ่านมาเรามักจะพบกรณีการแจ้งเข้ามา แต่ไม่ให้ข้อมูลอะไรทำให้ไม่สามารถปลดล็อกได้” คุณสุปรีชา มปิกาญจนโกวิท ตัวแทนจากสมาคมธนาคารไทย กล่าวเสริม
จากข้อมุลที่ผ่านมาพบว่า ในจำนวนผู้ที่โทรเข้ามาขอปลดล็อกกว่า 100 ราย มีผู้ที่เข้าเกณฑ์เป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ เพียง 11 ราย ที่เหลือบางส่วนเป็นบัญชีที่ติดหมายอายัดหรืออยู่ในบัญชีม้ากลุ่มสีต่างๆ อยู่แล้ว และที่น่าสนใจคือ มีจำนวนไม่น้อยที่โทรเข้ามาแต่ไม่ยอมให้ข้อมูลเลขที่บัญชีแก่เจ้าหน้าที่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าระบบการคัดกรองสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาตรการเชิงรุกที่แม่นยำและลดผลกระทบ
เพื่อลดผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์ในระยะยาว ทาง ธปท.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้วางแนวทางในอนาคตไว้ในรูปแบบ “ปลดให้เร็ว กวาดให้น้อย และแจ้งให้ไว” โดยแทนที่จะใช้วิธีกวาดทุกบัญชีในเส้นทางแล้วค่อยมาปลดล็อกทีหลัง จากนี้จะมีการนำหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการปลดล็อกผู้บริสุทธิ์ มาใช้เป็นตัวคัดกรองตั้งแต่แรก หรือหากระบบพบว่า บัญชีปลายทางมีลักษณะเป็นร้านค้าที่รับเงินมูลค่าน้อย หรือมีการเดินบัญชีปกติ ก็จะไม่ทำการระงับบัญชีนั้นตั้งแต่ต้น ซึ่งมาตรการนี้ตั้งเป้าว่าจะเริ่มใช้ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้
นอกจากนี้ธนาคารจะดำเนินการเชิงรุก โดยนำรายชื่อบัญชีที่ถูกระงับอยู่มาตรวจสอบตามหลักเกณฑ์ หากพบว่าเข้าข่ายเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็จะดำเนินการเสนอเรื่องเพื่อขอปลดระงับให้โดยอัตโนมัติ แม้ว่าเจ้าของบัญชีจะยังไม่ได้โทรเข้ามาแจ้งเรื่องก็ตาม
ที่สำคัญธนาคารจะพัฒนาระบบการแจ้งเตือนไปยังเจ้าของบัญชีที่ถูกระงับธุรกรรมชั่วคราว อาจผ่านทาง SMS หรือการแจ้งเตือนในแอปพลิเคชัน Mobile Banking โดยจะระบุชัดเจนว่า “เป็นการระงับยอดเงินชั่วคราวจำนวนตามที่ถูกระงับ เป็นเวลาตามที่กำหนด” เพื่อให้ประชาชนทราบสถานะที่แท้จริงและไม่สับสนกับการอายัดบัญชี
ทุกภาคส่วนยืนยันว่าเป้าหมายสูงสุดคือการสร้างสมดุลระหว่างการไล่ล่ามิจฉาชีพเพื่อปกป้องผู้เสียหาย โดยจะลดผลกระทบต่อประชาชนผู้สุจริตให้ได้มากที่สุด พร้อมกันนี้ยังเน้นย้ำว่า การแก้ปัญหาภัยออนไลน์ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนใน ecosystem ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการโทรคมนาคมในการจัดการซิมม้าและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หรือผู้ให้บริการโซเชียลมีเดียในการสกัดกั้นโฆษณาหลอกลวง เพื่อร่วมกันสร้างเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งและทำให้สังคมไทยเป็นสังคมดิจิทัลที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนอย่างแท้จริง