เจาะหลังบ้าน VISA ส่องกลยุทธ์ VAS พร้อมบริการโครงสร้าง Virtual Bank ใช้ AI สู้มิจฉาชีพ

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เมื่อพูดถึง Visa ภาพจำของหลายคนคงหนีไม่พ้นบัตรเครดิต การแตะจ่ายเงิน หรือเครือข่ายการชำระเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ล่าสุด Visa เพิ่งฉายภาพที่ใหญ่กว่านั้นมากเพราะ Visa กำลังพูดถึง “เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง” ที่จะเปลี่ยนโลกการเงิน การตลาด และประสบการณ์ของลูกค้าไปอีกครั้ง

Marketing Oops! ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณแอ็กเซล บอย-โมลเลอร์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านงานบริการเพิ่มมูลค่า ของวีซ่า ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มาเปิดเผยเบื้องลึกกลยุทธ์ที่เรียกว่า “บริการเพิ่มมูลค่า” (Value-Added Services – VAS) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อน Visa ไปสู่อนาคต

Visa คือใคร?

 

ก่อนจะเข้าเรื่อง VAS หลายคนอาจจะยังมีคำถามว่าจริงๆ แล้ว Visa ทำธุรกิจอะไรกันแน่?

อธิบายง่ายๆว่า Visa ไม่ใช่ธนาคาร ไม่ใช่ธนาคาร เป็นคนออกบัตรเครดิตหรือปล่อยเงินกู้ แต่ Visa เป็น บริษัทเทคโนโลยีด้านการชำระเงิน ที่ทำหน้าที่เป็น “เครือข่าย” หรือ “ตัวกลาง” เชื่อมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายเงินเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริโภค, ร้านค้า, ธนาคาร หรือแม้แต่บริการภาครัฐ

ในระดับโลก Visa คือผู้เล่นรายใหญ่ที่มีเครือข่ายเชื่อมโยงสถาบันการเงินกว่า 14,500 แห่ง มีบัตรหมุนเวียนในระบบกว่า 4.7 พันล้านใบ และมีร้านค้ารองรับกว่า 150 ล้านแห่งทั่วโลก สำหรับในประเทศไทยเอง Visa ก็มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง โดยเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านการชำระเงินที่ ธนาคารกว่า 90% ในประเทศ เลือกใช้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเห็นโลโก้ Visa อยู่บนบัตรเดบิตและเครดิตส่วนใหญ่ที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้

โดยกลยุทธ์การเติบโตของ Visa ในภาพรวมนั้นตั้งอยู่บน 4 เสาหลัก ได้แก่

  1. Consumer Payments ธุรกิจบัตรที่เราคุ้นเคย
  2. New Flows การขยายสู่การชำระเงินที่ไม่ใช่บัตร เช่น การโอนเงินระหว่างบัญชี
  3. Commercial & Money Movement การชำระเงินระหว่างธุรกิจและการโอนเงินข้ามพรมแดน
  4. Value-Added Services (VAS) หรือบริการเพิ่มมูลค่านั่นเอง ซึ่งในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่อง VAS ที่ถือเป็นอนาคตสำคัญของบริษัท

VAS ‘บริการเพิ่มมูลค่า’ รอบทิศทาง

คุณแอ็กเซล อธิบายว่า สมรภูมิของ Visa ในวันนี้ ไม่ได้แข่งกันที่ใครจะจ่ายเงินได้สะดวกกว่าใครเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ตอนนี้จะแข่งขันกันที่ “บริการเสริม” Value-Added Services (VAS) ที่จะมอบให้กับพาร์ทเนอร์ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร สถาบันการเงิน หรือร้านค้า เพื่อให้พวกเขานำไปสร้างธุรกิจให้แข็งแกร่งและตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้น

โดยกลยุทธ์ VAS ของ Visa แบ่งออกเป็น 3 แกนหลักๆ คือ:

  1. ทำให้การจ่ายเงินด้วย Visa ดีขึ้น: ยกระดับความปลอดภัยและความราบรื่นในการใช้จ่ายผ่านเครือข่าย Visa
  2. อำนวยความสะดวกทุกการจ่ายเงิน: ไม่จำกัดแค่บัตรเครดิต แต่ครอบคลุมการชำระเงินรูปแบบอื่นที่เติบโตเร็วอย่าง Account-to-Account (A2A) หรือ PromptPay บ้านเรา
  3. ไปไกลกว่าแค่การจ่ายเงิน: ช่วยให้พาร์ทเนอร์ต่อยอดธุรกิจได้ เช่น การให้คำปรึกษา การวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ธนาคารหรือร้านค้าเติบโต

พูดง่ายๆ คือ Visa กำลังเปลี่ยนตัวเองจาก “โครงข่ายการชำระเงิน” ไปสู่การเป็น “พาร์ทเนอร์ด้านเทคโนโลยีและข้อมูล” อย่างเต็มตัวให้กับทุกๆฝ่ายแล้ว

AI พลังจับ ‘กลโกง’ ก่อนที่เงินจะหายจากบัญชี

ไฮไลท์ที่น่าสนใจใน (Value-Added Services – VAS) ที่สุดคือการนำ AI และ Machine Learning มาใช้ในโซลูชันด้านความปลอดภัย กลายเป็นเทคโนโลยีของ VISA ที่โดดเด่น 2 เรื่องก็คือ

1. Visa Advanced Authorization (VAA)

ทุกครั้งที่มีการทำธุรกรรมผ่านเครือข่าย Visa ระบบ AI ตัวนี้จะทำงานในแบบเรียลไทม์ โดยวิเคราะห์ข้อมูลกว่า 400 รายการ (เช่น ประวัติการใช้จ่าย, สถานที่, ประเภทของร้านค้า, อุปกรณ์ที่ใช้) เพื่อประเมิน “คะแนนความเสี่ยง” (Risk Score) ออกมาในเสี้ยววินาที หากคะแนนสูงผิดปกติ ธุรกรรมนั้นก็จะถูกตรวจสอบหรือปฏิเสธทันที

2. Visa Protect for A2A

นี่คือข่าวดีสำหรับเราคนไทยด้วย เพราะโซลูชันนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการโอนเงินแบบ Real-time อย่างเช่น PromptPay โดยเฉพาะ คุณแอ็กเซล เผยว่า จากการทดลองใช้เทคโนโลยีนี้กับธนาคารใหญ่ 8 แห่งในอังกฤษ พบว่าโซลูชันนี้สามารถตรวจจับธุรกรรมที่อาจเป็นการฉ้อโกงได้ มากกว่าที่ธนาคารตรวจจับได้เองถึง 54% ซึ่งเป็นตัวเลขที่เยอะมากๆ และตอนนี้ Visa กำลังอยู่ระหว่างการพูดคุยกับธนาคารในประเทศไทยเพื่อนำระบบนี้มาปรับใช้

สิ่งที่น่าสนใจคือ ระบบนี้ไม่ได้ทำงานแบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ธรรมดา แต่ฉลาดพอที่จะมองเห็น “แพทเทิร์น” ของมิจฉาชีพยุคใหม่ เช่น Romance Scam หรือ Investment Scam โดยระบบจะทำการ “แจ้งเตือน” ธนาคารหรือผู้ใช้งานให้ฉุกคิดก่อนตัดสินใจโอน ไม่ใช่การบล็อกทันที ซึ่งคุณแอ็กเซลเรียกว่าเป็นการสร้าง “Healthy Friction” เพื่อให้ผู้ใช้ได้หยุดทบทวนก่อนทำธุรกรรมที่มีความเสี่ยงนั่นเอง

Pismo กับการสร้าง Virtual Bank ธนาคารยุคใหม่

นอกจากการป้องกันแล้ว Visa ยังมีเครื่องมือสำหรับการ “สร้าง” นวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ด้วย Pismo แพลตฟอร์มการธนาคารที่ Visa เข้าซื้อกิจการมา

คุณแอ็กเซล อธิบายให้เห็นภาพว่า Pismo คือแพลตฟอร์มที่จะมาช่วยบริหารจัดการธนาคารเป็น Core Banking ที่ทำงานบนระบบคลาวด์ ข้อดีของ Pismo คือสถาปัตยกรรมแบบ Microservices ที่เหมือนการสร้างธนาคารจากตัวต่อ LEGO ที่สามารถหยิบโมดูลต่างๆ (เช่น ระบบออกบัตร, ระบบสินเชื่อ) มาประกอบหรือปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรื้อระบบทั้งหมดเหมือนเทคโนโลยีธนาคารแบบเก่า

พูดง่ายๆว่ามันคือ Game Changer สำหรับ Virtual Bank ในประเทศไทย ซึ่ง Visa เผยว่าได้ร่วมมือกับผู้ได้รับใบอนุญาตทั้ง 3 รายแล้วโดยย้ำว่า Pismo จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธนาคารดิจิทัลเหล่านี้สร้างและเปิดตัวบริการใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อแข่งขันในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Visa ยังสามารถให้คำปรึกษาด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ผู้ใช้ (UI/UX) ได้อีกด้วย

การเคลื่อนไหวของ Visa ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นภาพใหญ่ว่า “ความปลอดภัย” และ “ข้อมูล” ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) ไปแล้ว และเป็นอีกครั้งที่ทำให้เราได้เห็นว่าการเลือกใช้พาร์ทเนอร์ด้านการชำระเงินจึงไม่ใช่แค่การดูว่ารับบัตรอะไรได้บ้าง แต่ต้องมองลึกลงไปถึงเทคโนโลยีหลังบ้านที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้า เพราะในยุคที่ทุกอย่างขับเคลื่อนด้วย AI และข้อมูล แบรนด์ที่สามารถมอบประสบการณ์ที่ “ราบรื่นและปลอดภัย” ได้อย่างไร้รอยต่อ คือแบรนด์ที่จะสามารถมัดใจลูกค้าไว้ได้ในระยะยาว


  •  
  •  
  •  
  •  
  •