‘Burger King’ พา 8 คาแรกเตอร์ ‘นารูโตะ’ บุกถึงไทย จับเทรนด์ ‘Nostalgia Marketing’ ปลุกโมเมนต์วัยเด็ก-เพิ่มทราฟิกลูกค้านั่งร้าน

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

 

เบอร์เกอร์คิงประกาศเปิดตัวแคมเปญคอลแลบสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกในไทย ด้วยการผนึกกำลังกับ ‘นารูโตะ’ อนิเมะระดับตำนานที่มีฐานแฟนเหนียวแน่นทั่วโลก ทั้งยังพลิกโฉมสาขารัชดาให้กลายเป็น คอนเซปต์สโตร์ธีมนินจาแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหมากสำคัญในการกระตุ้น ‘ยอดขาย’ ผ่านการสร้าง ‘ประสบการณ์’

ภาพลักษณ์ของร้านถูกรีดีไซน์ให้สอดคล้องกับโลกของนารูโตะ ทั้งองค์ประกอบของลวดลายตัวละคร แผ่นรองอาหาร และของตกแต่งในร้านที่ไม่ต่างจากฉากอนิเมะ ซึ่งกลายเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดแฟนคลับ สายคอนเทนต์ และคอมมูนิตี้นักสะสมให้หลั่งไหลเข้าร้าน สร้างกระแสไวรัลทั้งออนไลน์และออฟไลน์ในเวลาเดียวกัน

 

Nostalgia Marketing ที่เข้าใจ ‘ความโหยหา’ ของคนรุ่นใหม่

 

burger king-01

 

หนึ่งใน Insight สำคัญ คือการเข้าใจว่า ‘ความทรงจำในวัยเด็ก’ กลายเป็นทรัพย์สินทางอารมณ์ที่ผู้บริโภคยุคใหม่ให้คุณค่า โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Y และ Gen Z ที่เติบโตมากับยุคเครื่องเล่นอนาล็อก การ์ตูนเช้าวันเสาร์ และเสียงเปิดตัวของเพลงอนิเมะที่ยังจำขึ้นใจ (นานีโม นานีโม~)

นอกจากนี้ยังใช้ ‘สีส้ม’ เป็นจุดเชื่อมโยง เพราะเป็นทั้งสีเครื่องแต่งกายของนารูโตะ และสีประจำร้านเบอร์เกอร์คิง ทั้งยังออกเมนูส้มใหม่ๆ อย่าง ซันเด ส้ม คาราเมลด้วย

อีกหนึ่งไฮไลต์ที่ทำให้แคมเปญนี้โดดเด่นคือ การเปิดตัวฟิกเกอร์ลิขสิทธิ์แท้จากตัวละครนารูโตะ 8 แบบ ซึ่งผลิตในจำนวนจำกัดเพียง 5,000 ชิ้นต่อคาแรกเตอร์ โดยวางกลยุทธ์การขายแบบ ‘สุ่ม’ ผ่านชุดเมนูในราคาที่วางใจได้ แต่หากใครอยากสะสมครบชุด ก็สามารถเลือกซื้อ Toy Set สุดพิเศษที่จำกัดเพียง 2,000 เซตเท่านั้น

 

กลยุทธ์เพิ่มฐานลูกค้า แม้รายได้ต่อบิลจะลดลง

 

burger king-02

 

สำหรับแคมเปญ BURGER KING x NARUTO คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่วางเป้า ‘ขยายฐานลูกค้า’ ให้เติบโตในช่วงไตรมาสสำคัญ โดยเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม และดำเนินต่อเนื่องถึง 31 สิงหาคม 2568

 

เบอร์เกอร์คิงตั้งเป้าไว้อย่างชัดเจนว่า แคมเปญนี้ควรสร้างผลลัพธ์ได้ในหลายมิติ 

 

  1. กระตุ้นยอดขายรวม ในช่วงเวลาของแคมเปญ
  2. ขยายฐานลูกค้าโดยรวมขึ้น 10–15%
  3. กลุ่มลูกค้าใหม่ที่ไม่เคยใช้บริการมาก่อน คาดหวังจะเพิ่มขึ้นราว 5–7%

 

แม้จะวางเป้าหมายในการเติบโตเชิงปริมาณผู้บริโภค แต่รายได้เฉลี่ยต่อบิล (Per Bill) กลับถูกตั้งไว้ในระดับที่ต่ำกว่าปกติ เพราะ แนวทางหลักของปีนี้คือ ‘เน้นจำนวนผู้ซื้อ มากกว่าจำนวนเงินต่อคำสั่งซื้อ’ โดยภาพรวมคาดว่า รายได้เฉลี่ยต่อบิลจะลดลงเล็กน้อย ขณะที่ยอดฐานลูกค้าโดยรวมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 12% ตามกลยุทธ์ที่วางไว้

อีกหนึ่งพฤติกรรมที่เบอร์เกอร์คิงตั้งใจผลักดันในระหว่างแคมเปญ คือ ความถี่ในการเข้าร้านของลูกค้าประจำ ซึ่งมักเฉลี่ยอยู่ที่ 2–3 ครั้งต่อเดือน 

 

Value-for-Money คือกุญแจสำคัญช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว

 

หนึ่งในกลยุทธ์รับมือกับภาวะกำลังซื้อที่หดตัว คือการเร่งเปิดตัวเมนูที่อยู่ในช่วงราคาสบายกระเป๋า เช่น เซตเมนู ราคา 79–99 บาท ที่วางตำแหน่งชัดเจนว่าให้ความคุ้มค่าทั้งด้านปริมาณ และรสชาติ พร้อมเพิ่มโปรโมชันมากขึ้นกว่าปีก่อน และออกแบบโปรโมชันใหม่ๆ ให้เน้น ‘ความรู้สึกได้มาก’ ของผู้บริโภค ทั้งในเชิงของปริมาณ ราคา หรือประสบการณ์ เช่น การให้ ดีลพิเศษเฉพาะบนแอปพลิเคชัน

แม้ดีลิเวอรีจะยังคงเป็นช่องทางหลักที่เติบโตต่อเนื่องในอุตสาหกรรม QSR แต่สำหรับเบอร์เกอร์คิง กลับไม่ผลักดันการเติบโตของเดลิเวอรีอย่างเต็มที่ เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงกว่าช่องทางอื่น โดยปัจจุบันเบอร์เกอร์คิงมีสัดส่วนเดลิเวอรีอยู่ที่ 35% ส่วน Dine-in, take away และ Drive thru รวมกันอยู่ที่ 65%

 

ปรับแผนขยายสาขา เน้นคุณภาพต่อจุดแทนปริมาณ

 

 

ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 เบอร์เกอร์คิงยังไม่ได้เปิดสาขาใหม่เพิ่มเติม ส่งผลให้จำนวนสาขาในปัจจุบันยังคงอยู่ที่ 102 สาขาทั่วประเทศ จากก่อนหน้านี้ที่เคยเปิดสาขาเฉลี่ยราว 15 สาขาต่อปี สะท้อนกับการปรับลดสาขาใหม่อย่างเห็นได้ชัด

จากการเผชิญภาวะกำลังซื้อชะลอตัว เบอร์เกอร์คิงเลือกเปลี่ยนแนวทางขยายธุรกิจ จากการเติบโตด้วยปริมาณ มาสู่ การบริหารประสิทธิภาพกำไรต่อสาขา (Profit per Store) มากขึ้น ทั้งนี้ในครึ่งปีหลัง เบอร์เกอร์คิงเตรียมเปิดเพิ่ม 4 สาขา โดยหนึ่งในนั้นมีที่ ‘ซัสโก้ปิ่นเกล้า’ 

อีกหนึ่งความท้าทายที่แบรนด์ต้องรับมือในปีนี้ คือการชะลอตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งกระทบกับเป้ายอดขายของเบอร์เกอร์คิง และอีกหลายแบรนด์ที่มีสัดส่วนลูกค้านักท่องเที่ยวสูง ทั้งนี้คาดหวังว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาในช่วง Q4 ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูยอดขายในสาขาที่พึ่งพาการท่องเที่ยวสูง


  •  
  •  
  •  
  •  
  •