Google เปิดลิมิตการใช้งาน Gemini ทุกแพ็กเกจ หมดปัญหาโควต้าเต็ม วางแผนการทำงานได้ดีกว่าเดิม

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

เชื่อว่านักการตลาดและคนทำงานหลายคนที่ใช้ Generative AI มาช่วยทำงานในทุกวันนี้ โดยเฉพาะ Google Gemini คงเคยเจอปัญหาที่ทำให้งานต้องสะดุด ก็คือตอนที่กำลังจะสั่งให้ AI ช่วยคิดงานต่อ แต่กลับเจอแจ้งเตือนว่า “คุณใช้ถึงขีดจำกัดแล้ว” ต้องรอไปอีก 24 ชั่วโมงถึงจะกลับมาใช้งานได้

ความรู้สึกคงคล้ายๆกับทำงานอยู่แล้วไฟดับ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องรีบปั่นงานสำคัญ แต่ล่าสุด Google เหมือนจะรู้ปัญหานี้เลยออกมาเปิดเผยรายละเอียด “ลิมิตการใช้งาน” ของ Gemini ในแต่ละแพ็กเกจอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้งสายฟรีและสายเสียเงิน ทำให้เราสามารถวางแผนการใช้งานและเลือกแพ็กเกจที่เหมาะสมกับสเกลงานของเราได้อย่างแม่นยำแล้ว

บทความนี้ Marketing Oops! สรุปมาให้แล้วว่าแต่ละแพ็กเกจใช้งานอะไรได้แค่ไหน และมันสำคัญกับคนทำงานอย่างเรายังไงบ้าง

สรุปชัดๆ ลิมิต Gemini แต่ละแพ็กเกจมีอะไรบ้าง?

เพื่อให้เห็นภาพรวมชัดๆ เรามาดูตารางเปรียบเทียบกันก่อนเลย

ฟีเจอร์ / โมเดล Free Google AI Pro  Google AI Ultra
โมเดล Flash ใช้งานไม่จำกัด ใช้งานไม่จำกัด ใช้งานไม่จำกัด
โมเดล Pro 5 ครั้ง/วัน 100 ครั้ง/วัน 500 ครั้ง/วัน
Deep Research 5 ครั้ง/เดือน  (ใช้โมเดล Flash) 20 ครั้ง/วัน (ใช้โมเดล Pro) 200 ครั้ง/วัน (ใช้โมเดล Pro)
Deep Think 10 ครั้ง/วัน
สร้างรูปภาพ 100 ครั้ง/วัน 1,000 ครั้ง/วัน ไม่ระบุในข้อมูล
สร้างวิดีโอ 3 คลิป/วัน (ใช้ Veo 3 Fast) 5 คลิป/วัน (ใช้ Veo 3 ตัวเต็ม)
Context Window 32,000 โทเคน 1,000,000 โทเคน 1,000,000 โทเคน

ตัวเลขที่เห็นเมื่อมองในมุมของการทำงานจริงแล้ว แต่ละฟีเจอร์มีผลอย่างมากต่อประสิทธิภาพและสเกลของงานที่เราจะสร้างสรรค์ได้

1. การสร้างรูปภาพ (Image Generation)

สำหรับ Content Creator หรือทีม Social Media ที่ต้องสร้างภาพประกอบคอนเทนต์หรือยิงแอดเป็นประจำ ลิมิต 100 รูปภาพ/วัน ในแพ็กเกจฟรีอาจจะเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไป แต่ถ้าต้องการทดลองไอเดียหลากหลาย หรือสร้างชิ้นงานจำนวนมากสำหรับแคมเปญ การอัปเกรดเป็น Google AI Pro ที่ให้ถึง 1,000 รูปภาพ/วัน จะปลดล็อกข้อจำกัดนี้ได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำไปทำ  A/B testing ชิ้นงานโฆษณา หรือสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้แบบสบายใจมากกว่า

2. การใช้โมเดล Pro (Prompts per Day)

การเขียนบทความ, คิดสคริปต์, ร่างอีเมล, หรือแม้แต่ช่วยเขียนโค้ด การใช้งานโมเดล Pro ที่ฉลาดและแม่นยำกว่าคือสิ่งจำเป็น แพ็กเกจฟรีให้มา 5 ครั้ง/วัน ซึ่งอาจจะพอสำหรับการถามคำถามง่ายๆ แต่สำหรับการทำงานที่ต้องมีการแก้ไข สั่งงานซ้ำไปมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ลิมิต 100 ครั้ง/วันของ Google AI Pro หรือ 500 ครั้ง/วันของ Ultra ก็คงจะเหมาะสมความอย่างไม่ต้องสงสัย

3. การวิจัยเชิงลึก (Deep Research)

ฟีเจอร์นี้เหมาะสำหรับทีม Strategy, Market Research หรือใครก็ตามที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก แพ็กเกจฟรีให้แค่ 5 ครั้ง/เดือน และยังใช้โมเดล Flash ในการประมวลผล ซึ่งเหมาะกับการใช้งานแบบนานๆ ครั้ง แต่ถ้างานของเราคือการวิเคราะห์คู่แข่ง, สรุปเทรนด์ตลาด หรือย่อยข้อมูลจากรีพอร์ตยาวๆ การเลือกใช้ Google AI Pro (20 ครั้ง/วัน) หรือ Ultra (200 ครั้ง/วัน) ที่ใช้โมเดล Pro ในการประมวลผล จะช่วยให้เราได้ข้อมูลเชิงลึกที่แม่นยำและรวดเร็วมากกว่าอย่างแน่นอน

4. Context Window (ความจำของ AI)

อธิบายง่ายๆ Context Window คือ “ความจำระยะสั้น” ของ AI ยิ่งมีตัวเลขมากเท่าไหร่ AI ก็จะยิ่งจดจำ “บทสนทนา” ก่อนหน้า หรือ “ข้อมูล” ที่เราป้อนเข้าไปได้ยาวขึ้นเท่านั้น แพ็กเกจฟรีให้มา 32,000 โทเคน ในขณะที่ Pro และ Ultra ให้มาถึง 1,000,000 โทเคน

ความแตกต่างนี้สำคัญมากๆเมื่อเราต้องการให้ AI ช่วยสรุปหรือวิเคราะห์เอกสารยาวๆ เช่น ไฟล์ PDF รายงานวิจัยตลาด 50 หน้า หรือบทความวิชาการ เพราะ AI จะสามารถ “อ่าน” และเข้าใจเนื้อหาทั้งหมดได้ในครั้งเดียวโดยไม่ลืมข้อมูลส่วนต้นๆ

การที่ Google เปิดตัวเลขลิมิตการใช้งานที่ชัดเจนนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับคนทำงานเพราะจะให้เราสามารถ “วางแผน” การใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราสามารถประเมินได้ว่าไลฟ์สไตล์การทำงานของเราเหมาะกับแพ็กเกจไหน และจะใช้ประโยชน์จากเครื่องมือเหล่านี้ได้อย่างคุ้มค่า 

จากนี้ไปเวลาที่เราจะเริ่มโปรเจกต์ใหม่ ลองวางแผนดูว่าเราต้องใช้ AI ช่วยในส่วนไหนบ้าง ต้องสร้างรูปภาพกี่รูป ต้องทำรีเสิร์ชข้อมูลลึกแค่ไหน เพื่อให้ไม่เกิดปัญหา ‘โควต้าเต็ม’ มาทำให้งานสะดุดอีกต่อไปนั่นเอ


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE