สรุป 6 ไฮไลท์ Microsoft Ignite 2025 มีอะไรใหม่ใน Ecosystem ทั้ง Agentic AI และเทรนด์ Frontier Firms ที่ต้องรู้

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

หากย้อนกลับไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน เราตื่นเต้นกับการถาม-ตอบกับ ChatGPT แต่ในงาน Microsoft Ignite 2025 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แฟรงค์ เอ็กซ์ ชอว์ (Frank X. Shaw) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารของไมโครซอฟท์ บอกอย่างชัดเจนแล้วว่า “ยุคของการทดลองจบแล้ว”

เพราะตอนนี้โลกธุรกิจกำลังก้าวเข้าสู่ยุคของ “Agentic AI” หรือ AI ที่สามารถ “คิด จำ และลงมือทำ” งานที่ซับซ้อนแทนมนุษย์ได้จริง บทความนี้ Marketing Oops! สรุปประเด็นสำคัญที่คุณต้องรู้ว่า Microsoft อัพเดทอะไรใหม่ๆในเครื่องมือสำหรับการทำงานเพื่อก้าวสู่การเป็น Frontier Firm หรือองค์กรผู้นำแถวหน้าในยุค AI แล้วบ้าง

คุณ แฟรงค์ เอ็กซ์ ชอว์ (Frank X. Shaw) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสื่อสารของไมโครซอฟท์

1. จาก “Chatbot” สู่ “Agentic AI”

เทรนด์ใหญ่ที่สุดของปี 2025 คือการเปลี่ยนผ่านจาก Generative AI ที่เก่งในเรื่องการสร้างเนื้อหาไปสู่ Agentic AI ที่เก่งเรื่องการลงมือทำแล้ว นั่นทำให้ ไมโครซอฟท์เปิดตัวคอนเซปต์ Work IQ ซึ่งเป็นเหมือน “สมอง” ก้อนใหม่ที่ทำให้ Microsoft 365 Copilot และเหล่า AI Agent ฉลาดขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยประกอบด้วย 2 ส่วนหลักก็คือ

  1. “Memory” คือAI จะจำสไตล์การทำงาน ความชอบ พฤติกรรม และบริบทในอดีตของคุณได้ ไม่ต้องบรีฟงานใหม่ทุกรอบ
  2. “Inference” หรือก็คือการอนุมาน โดยAI สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากความทรงจำเพื่อ “คาดการณ์” ว่าคุณต้องการทำอะไรต่อไป และเสนอตัวช่วยทำทันที

อธิบายง่ายๆก็ให้เราลองจินตนาการถึง AE หรือ Planner ที่มีผู้ช่วยส่วนตัวที่รู้ใจว่าเราชอบจัด Format สไลด์แบบไหน หรือรู้ว่าลูกค้าเจ้านี้ชอบอีเมลโทนแบบไหนได้โดยไม่ต้องสั่งนั่นเอง

2. เครื่องมือใหม่สำหรับนักการตลาดและคนทำงาน (Productivity Tools)

ในงาน Microsoft Ignite 2025 มีการเปิดตัวฟีเจอร์ที่ส่งผลโดยตรงต่อคนทำคอนเทนต์และฝ่ายขายหลายอย่างด้วยกันไม่ว่าจะเป็น

Sora 2 ที่มาสู่โลกการทำงานแล้ว!

ข่าวใหญ่สำหรับสายครีเอทีฟ คือการนำ Sora 2 โมเดลสร้างวิดีโอรุ่นล่าสุดจาก OpenAI เข้ามาอยู่ใน Microsoft 365 Copilot แล้ว

โดยจะมี “ฟีเจอร์ Create” ที่ทำให้เราสามารถสร้าง แก้ไข และแชร์วิดีโอสั้น (Short-form video) สำหรับแคมเปญการตลาด หรือ Social Media Content ได้ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Sora 2 ก็อัพเกรดมาจากเวอร์ชั่นแรกที่จะมีความสมจริงของฟิสิกส์และการเคลื่อนไหวที่เหนือกว่า เหมาะสำหรับการทำ Storyboard หรือ Mockup งานโฆษณาแบบเร็วๆได้

Agent Mode ใน Office Apps

powerpoint กับ Agent Mode

นอกจากนี้ยังมีการอัพเกรดความสามารถของ AI ในแอป Office อย่าง Word และ Excel ที่พร้อมใช้งานแล้วสำหรับการทำงานร่วมกับ Copilot เพื่อร่างเอกสารยาวๆ หรือวิเคราะห์ข้อมูลซับซ้อนเสมือนมีเพื่อนคู่คิด ในส่วนของ PowerPoint เอง ก็จะมีความสามารถที่ช่วยให้เราปั้นสไลด์พรีเซนต์ให้สวยและเนื้อหาแน่นได้ง่ายขึ้นด้วย

การสั่งงานด้วยเสียงและ Outlook แบบใหม่

จากนี้เราจะสามารถคุยกับ Copilot ได้เหมือนโทรหาเพื่อนร่วมงาน สามารถใช้ภาษาธรรมชาติคุยไปด้วยได้แล้ว ส่วน “Outlook” ก็จะจัดการอีเมลและปฏิทินขณะเดินทางได้ด้วยเสียง Voice Command และยังสามารถตอบอีเมลรวดเร็ว เหมาะมากสำหรับผู้บริหารที่มีเวลาน้อย

Teams ที่ฉลาดขึ้น

Agent in Team Chanel

Microsoft Teams จะมีการอัพเกรดให้มี Facilitator Agent หรือผู้ช่วยจดบันทึกการประชุม แบบเรียลไทม์ สรุป Action Plan และช่วยคุมวาระการประชุมให้ตรงเวลามากขึ้น นอกจากนี้ยังมี Agent in Channels ที่สามารถดึง AI จากแอปภายนอกอย่าง Asana, Jira หรือ GitHub เข้ามาคุยในแชทกลุ่มได้เลย

Sales Development Agent

ข่าวดีสำหรับทีม Sales คือ AI ตัวนี้จะเชื่อมต่อกับ CRM (เช่น Salesforce หรือ Dynamics 365) เพื่อช่วยปิดการขายและจัดการข้อมูลลูกค้าได้อัตโนมัติ ลดงานเอกสาร ให้เซลล์ไปโฟกัสที่การคุยกับลูกค้าแทนได้

3. เปิดตัว Microsoft 365 Copilot Business สำหรับ SME

สำหรับเจ้าของธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) Microsoft ก็มีการอัพเดทใหม่ให้ด้วยการเปิดตัวแพ็กเกจใหม่สำหรับองค์กรที่มีผู้ใช้ไม่เกิน 300 คนแล้วในราคา 21 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อเดือน (หรือประมาณ 700 กว่าบาท) เริ่มเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งถือเป็นราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้นมากสำหรับการดึง AI มาช่วยงาน

4. เบื้องหลังความอัจฉริยะ: Fabric IQ และ Foundry IQ

สำหรับผู้บริหารสาย Tech หรือ IT สิ่งที่ทำให้ Agent ทำงานได้จริงคือเรื่องของ “ข้อมูล” (Data) ดังนั้น Microsoft ก็เลยเิดตัวแพลทฟอร์มที่จะใช้สำหรับองค์กรอย่าง “Fabric IQ” ที่สามารถรวบรวมข้อมูลดิบ ข้อมูลวิเคราะห์ และบริบททางธุรกิจเข้าด้วยกัน เพื่อให้ AI มองเห็นภาพรวมองค์กรแบบ Real-time

นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัว “Foundry IQ”ระบบจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management) ที่ดึงข้อมูลจากทั้งเว็บ แอป และเอกสารในบริษัท เพื่อให้ Agent มีข้อมูลที่ถูกต้องในการตัดสินใจ

พูดง่ายๆ คือ ถ้า Copilot คือ “หน้าบ้าน” ที่เก่งมากขึ้นส่วน Fabric และ Foundry คือ “หลังบ้าน” ที่ทำให้ AI ไม่มั่วข้อมูลและสามารถใช้ AI ในองค์กรได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง

5. เปิดตัว Microsoft Agent 365 กำกับดูแล AI

เมื่อมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2028 ธุรกิจต่างๆ จะมี AI Agent รวมกันกว่า 1,300 ล้านตัว การดูแลความปลอดภัยจึงสำคัญสูงสุด ไมโครซอฟท์จึงเปิดตัว Microsoft Agent 365 ที่จะทำหน้าที่เป็นทั้ง HR และ Security Guard ให้กับ AI Agent

Microsoft Agent 365 จะคอยตรวจสอบได้ว่า Agent ตัวไหนเข้าถึงข้อมูลอะไร ทำงานมีประสิทธิภาพไหม และปลอดภัยจากภัยคุกคามหรือไม่เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับองค์กรที่ใช้งาน ecosystem ของ Microsoft

6. บทเรียนจาก Frontier Firms ใครเริ่มก่อน รวยก่อน

ในงาน Microsoft Ignite 2025 ไมโครซอฟท์ยังร่วมมือกับ IDC สำรวจผู้นำธุรกิจกว่า 4,000 คน และนิยามองค์กรที่ใช้ AI ได้เต็มประสิทธิภาพว่าเป็น “Frontier Firms” ซึ่งสถิติที่น่าสนใจจาก IDC ที่ต้องรู้ก็เช่น

  • Frontier Firms สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน AI ได้สูงกว่าบริษัทที่เริ่มต้นช้าถึง 3 เท่า
  • Frontier Firms มากกว่า 67% สามารถสร้างรายได้ (Monetize) จากการใช้ AI ไม่ใช่แค่ลดต้นทุน
  • Frontier Firms กว่า 71% วางแผนเพิ่มงบด้าน AI เพราะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

สำหรับนิยามของ Frontier Firms ก็คือองค์กรที่มีการใช้ AI ครอบคลุมถึง 7 ฟังก์ชันธุรกิจโดยเฉลี่ย (เช่น การตลาด, ไอที, การบริการลูกค้า) แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ใช่เรื่องของแผนกใดแผนกหนึ่งอีกต่อไปนั่นเอง

โดยสรุปแล้ว งาน Microsoft Ignite 2025 เตือนเราให้เห็นว่าเทคโนโลยีพร้อมแล้ว เครื่องมือพร้อมแล้ว และราคาเริ่มเข้าถึงได้ง่ายขึ้น คำถามเดียวที่เหลืออยู่สำหรับคนทำธุรกิจก็คือคือ “เราจะเริ่มสร้าง AI Agent ตัวแรกของคุณเมื่อไหร่?” ความเร็วในการปรับตัว คือความอยู่รอดครับ

ที่มา: Microsoft Ignite 2025 Keynote โดย Frank X. Shaw, Microsoft Official Blog และ IDC Survey


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE