OpenAI เปิดตัว GPT-5 โมเดล AI รุ่นใหม่ล่าสุดอย่างเป็นทางการแล้วเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยชูจุดเด่นว่าเป็นโมเดลเอไอที่ให้ความรู้สึกเหมือนได้สนทนากับ “ผู้เชี่ยวชาญระดับปริญญาเอก” นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการสร้างแอปพลิเคชันที่ซับซ้อนได้ง่ายๆ แค่เพียงบอกไอเดียไม่กี่ประโยคเท่านั้น
Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI กล่าวถึงโมเดล GPT-5 เอาไว้ว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ AI ให้ความรู้สึกเหมือนได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญระดับปริญญาเอกในทุกหัวข้อ” อธิบายง่ายๆว่าเหมือนกับเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่จากรุ่นก่อนๆนั่นเอง
Unified System เบื้องหลังความเก่ง
ความเก่งของ GPT-5 ที่ต่างจากโมเดลรุ่นก่อนๆ คือสถาปัตยกรรมใหม่ที่เรียกว่า Unified System ซึ่งประกอบด้วยโมเดลย่อยหลายตัว โดยจะมี Router คอยเลือกใช้โมเดลที่เหมาะสมกับคำถามโดยอัตโนมัติ อย่างเช่นถ้าเป็นคำถามทั่วไปก็จะใช้โมเดลตอบเร็ว แต่ถ้าคำสั่งระบุว่า “ขอคำตอบที่ละเอียดลึกซึ้งหน่อย” ระบบก็จะสลับไปใช้โมเดลคิดวิเคราะห์เชิงลึกทันที ทำให้ได้คำตอบที่ทั้งเร็วและมีคุณภาพสูงสุด นอกจากนี้ยังลดการให้ข้อมูลที่ผิดพลาด หรือที่เรียกกันว่า Hallucinations ลงได้ถึง 45-80% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
ยกระดับการเขียนโค้ดสร้างแอปได้ด้วยคำสั่งสั้นๆ
ความสามารถที่โดดเด่นที่สุดคือ “Vibe Coding” ที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องเขียนโค้ดเป็นแม้แต่บรรทัดเดียว ซึ่งจากวิดีโอเปิดตัว GPT-5 ที่มีการสาธิตความสามารถนี้ ผู้พัฒนาเพียงแค่พิมพ์คำสั่งสั้นๆ 2 บรรทัด เพื่อสั่งให้สร้างแอปจำลองกฎฟิสิกส์ จากนั้น GPT-5 ก็สามารถเขียนโค้ดที่ซับซ้อนหลายร้อยบรรทัดและสร้างเป็น Interactive App ที่ใช้งานได้จริงขึ้นมาในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีความสามารถช่วยแก้ไขและดีบั๊กโปรแกรมที่ซับซ้อนได้ดียิ่งขึ้น
GPT-5 แสดงความสามารถที่เหนือชั้นกว่าโมเดลเดิมในหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็น “การเขียนเชิงสร้างสรรค์” สามารถเขียนงานรูปแบบต่างๆได้เป็นธรรมชาติเหมือนมนุษย์มากขึ้นจนแยกได้ยาก และรองรับสไตล์การเขียนที่ซับซ้อนอย่างโคลงกลอนได้ดีขึ้น
ความสามารถอย่าง “การวิเคราะห์ข้อมูล” ก็ยกระดับด้วยเช่นกัน โดยสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน ทั้งด้านการเงินโดยเฉพาะเรื่องสุขภาพที่สามารถให้คำตอบที่เจาะจงและมีความถูกต้องสูงขึ้นมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม OpenAI เองก็ย้ำว่าคำตอบของ GPT-5 ไม่สามารถใช้แทนคำแนะนำจากแพทย์ได้
คำตอบเลือกสไตล์ได้ และเชื่อมต่อได้มากกว่าเดิม
ใน GPT-5 นั้นมีข้อมูลด้วยว่าผู้ใช้งานจะสามารถปรับแต่งสไตล์การตอบได้ละเอียดยิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกบุคลิกได้ 4 แบบ ได้แก่ Cynic (แนวประชดประชัน), Robot (แนวให้ข้อมูลเป๊ะๆ), Listener (รับฟังเหมือนเพื่อน), และ Nerd (แนวรู้ลึกรู้จริง)
ในส่วนของ Voice Mode ทำได้ดีขึ้นโดยสามารถควบคุมโทนเสียง ความเร็ว และสไตล์การพูดของ AI ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ยัง สามารถเข้าถึงข้อมูลจาก Gmail และ Google Calendar ได้โดยตรง เพื่อช่วยจัดการตารางงานและอีเมลได้สะดวกขึ้น และจะถูกผนวกรวมเข้ากับ Microsoft 365 Copilot, GitHub Copilot และ Visual Studio แบบสมบูรณ์ด้วย
การเข้าถึงและโมเดลต่างๆ
GPT-5 เปิดให้ใช้งานแล้วตั้งแต่วันนี้ผ่าน ChatGPT สำหรับผู้ใช้ทุกคน ทั้งแบบฟรีและสมาชิกแบบชำระเงิน (Plus, Pro, Team, Enterprise) โดยมีโมเดลย่อยให้นักพัฒนาเลือกใช้ผ่าน API ตามความต้องการ ทั้ง GPT-5 (รุ่นมาตรฐาน), GPT-5-mini (รุ่นเล็ก ประหยัด), และ GPT-5-nano
การมาถึงของ GPT-5 ซึ่งมีผู้ใช้งานเดิมบนแพลตฟอร์ม ChatGPT อยู่แล้วกว่า 700 ล้านคนต่อสัปดาห์ ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยี AI ที่ทรงพลังกลายเป็นเครื่องมือที่ทุกคนเข้าถึงได้และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน การเรียนรู้ และการสร้างสรรค์ไปอย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว