งาน ThaiFex-Anuga Asia 2025 สร้างปรากฏการณ์ใหม่ในแวดวงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มเอเชีย ที่อิมแพค เมืองทองธานี ท่ามกลางสภาวะที่ธุรกิจร้านอาหารทั่วไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหนักจากการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป งานนี้จึงกลายเป็นเสมือนประตูสู่โอกาสใหม่ที่เจาะลึกไปถึงเทรนด์อาหารล่าสุด นวัตกรรมที่ช่วยลดต้นทุน และเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศที่อาจเป็นกุญแจสำคัญในการพลิกฟื้นธุรกิจร้านอาหารให้กลับมาเติบโตและฝ่าวิกฤตได้อีกครั้ง
- ฟื้นฟูธุรกิจอาหารไทย: ThaiFex-Anuga Asia จุดเปลี่ยนแห่งความสำเร็จ
- สำรวจเทรนด์อาหารแห่งอนาคตในงาน ThaiFex-Anuga Asia 2025
- ก้าวข้ามวิกฤตอุตสาหกรรมอาหาร: โอกาสใหม่ใน ThaiFex-Anuga Asia
- ThaiFex-Anuga Asia: ประตูสู่ความยั่งยืนและนวัตกรรมอาหารระดับโลก
THAIFEX – Anuga Asia: ก้าวสู่อนาคตอุตสาหกรรมอาหารระดับโลก
Mr. Oliver Frese ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) จาก Koelnmesse ซึ่งจะมาร่วมแบ่งปันบทบาทระดับโลกของ Koelnmesse ในการกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม โดยผ่านงานแสดงสินค้าชั้นนำในกรุงเทพฯ เซินเจิ้น โตเกียว โคโลญจน์ โบโกตา และเซาเปาโล โดยกล่าวว่า งาน THAIFEX – Anuga Asia ถือเป็นเวทีระดับโลกที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก โดยมุ่งเน้นการสร้างการมีส่วนร่วมและการนำเสนอภาพรวมของกลยุทธ์ระดับนานาชาติ โครงการพอร์ตโฟลิโอของ Anuga ทั่วโลก และบทบาทที่เพิ่มขึ้นของภูมิภาคเอเชียในอุตสาหกรรมนี้ ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ และความคาดหวังใหม่จากสังคม ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค การผลิต และความสัมพันธ์ทางการค้า นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น อัตราเงินเฟ้อ และการเปลี่ยนแปลงของความยั่งยืนที่กลายมาเป็นเกณฑ์สำคัญในการลงทุน การตลาด และการตัดสินใจซื้อ เทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์และกระบวนการดิจิทัล ก็มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทาน และสร้างโอกาสใหม่ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ภูมิภาคเอเชียได้กลายมาเป็นศูนย์กลางสำคัญที่สะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง วัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม และความต้องการที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่มุ่งเน้นคุณภาพ สุขภาพ และความสะดวก งาน THAIFEX – Anuga Asia ไม่เพียงเป็นเวทีด้านการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดและกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ต้องการสร้างฐานระดับนานาชาติและเตรียมพร้อมสำหรับการเติบโตในระยะยาว สำหรับ Koelnmesse การจัดงาน Anuga ทั่วโลกในหลายเมือง เช่น อินเดีย บราซิล ญี่ปุ่น โคลอมเบีย จีน และอิตาลี รวมถึงประเทศไทย ถือเป็นพันธกิจเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างความเชื่อมโยงกับตลาดตั้งแต่เริ่มต้น โดยร่วมมือกับพันธมิตรในท้องถิ่นเพื่อออกแบบงานที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของแต่ละตลาด
ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร งาน Anuga ได้สร้างมาตรฐานระดับโลก ซึ่งมีผู้แสดงสินค้าประมาณ 12,800 ราย ผู้เข้าชมงานกว่า 400,000 คน และพื้นที่จัดแสดงสินค้ามากกว่า 486,000 ตารางเมตร งานนี้ไม่เพียงเป็นงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุด แต่ยังเป็นเวทีที่สำคัญที่สุดสำหรับการพัฒนาและนวัตกรรมด้านอาหารระดับโลก โดยในวันที่ 4 ถึง 8 ตุลาคม 2568 ขอเชิญชวนทุกคนเข้าร่วมงาน Anuga ที่เมืองโคโลญจน์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกำหนดอนาคตที่สำคัญของอุตสาหกรรมอาหารร่วมกัน
งาน Anuga ปี 2025 ที่เมืองโคโลญจน์พลิกโฉมเชิงกลยุทธ์อุตสาหกรรมอาหารระดับโลก
Mr. Bastian Mingers รองประธานฝ่ายบริหารจัดการงานแสดงสินค้า ด้านอาหารและเทคโนโลยีอาหาร (Vice President of Trade Fair Management for Food and FoodTec) ซึ่งนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ ANUGA ที่เมืองโคโลญจน์ – แพลตฟอร์มชั้นนำระดับโลกสำหรับอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ระบุว่า งาน Anuga ยังคงยืนหยัดในฐานะงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีการขยายตัวและความสำคัญอย่างต่อเนื่องจากเมืองโคโลญจน์สู่กรุงเทพฯ และเซาเปาโล หลักการสำคัญของงานคือการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมอาหารเป็นชุมชนระดับโลก โดยมีเป้าหมายในการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้คน ตลาด และแนวคิดใหม่ ๆ ทั่วทั้งทวีปเพื่อพัฒนาแนวทางด้านโภชนาการที่ล้ำสมัย งานนี้คาดการณ์ว่าจะมีผู้แสดงสินค้ามากกว่า 7,900 ราย และมีผู้เข้าชมประมาณ 140,000 คนจากกว่า 200 ประเทศทั่วโลก ซึ่งสะท้อนถึงการมีส่วนร่วมระดับนานาชาติและความสำคัญในฐานะจุดนัดพบของอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก
ภูมิภาคเอเชียมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการขับเคลื่อนความสำเร็จของงาน Anuga โดยมีผู้แสดงสินค้าจากภูมิภาคนี้ประมาณ 1,800 ราย และผู้เข้าชมกว่า 21,000 คน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเอเชียในฐานะศูนย์กลางของตลาดอาหารที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก งาน THAIFEX – Anuga Asia จึงไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ของการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรม แต่ยังเป็นผู้ขับเคลื่อนผ่านการนำเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ผลิตภัณฑ์ที่พร้อมเข้าสู่ตลาด และการสร้างพันธมิตรระดับโลก ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมในระยะยาว
ในงาน Anuga ปี 2025 ที่เมืองโคโลญจน์จะมีการเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ที่น่าสนใจ เช่น การเปิดตัว “Anuga Alternatives” ซึ่งเป็นโซนแสดงสินค้าสำหรับผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก และการปรับผังพื้นที่ใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ที่รวบรวมแนวคิดล้ำสมัย เช่น Boulevard of Innovation ที่รวมโซนต่าง ๆ อย่าง Anuga Trend Zone, โซนสตาร์ทอัพ และ Anuga Taste Innovation Show ซึ่งนำเสนอผลิตภัณฑ์นวัตกรรมและแนวโน้มล่าสุดในอุตสาหกรรมอาหาร ตลอดจนเวทีเสวนาและการบรรยายที่มุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนและโภชนาการแห่งอนาคต
งานนี้ยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์ออร์แกนิกและการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่ “Organic on Stage 2025” ซึ่งจัดแสดงความก้าวหน้าล่าสุดในภาคเกษตรอินทรีย์ พร้อมทั้งพื้นที่อีเวนต์ที่มีรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตออร์แกนิกสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังมีการจัดการประชุมสำคัญต่าง ๆ เช่น Anuga Halal Forum, International Frozen Food Conference และ System Gastronomy Forum ที่ช่วยสร้างพันธมิตรใหม่และส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ระดับสูง
สำหรับปี 2025 ประเทศคู่ค้าหลักของงานคือเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นประเทศที่ผสานนวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ากับศิลปะด้านการทำอาหารอย่างลึกซึ้ง โดยเกาหลีใต้จะช่วยเสริมสร้างความสำคัญระดับนานาชาติของงาน Anuga ซึ่งมุ่งเน้นความเป็นสากล ความเกี่ยวข้อง และการมองไปสู่อนาคตของอุตสาหกรรมอาหารอย่างแท้จริง
จากเยอรมนีสู่ระดับโลก: งาน Anuga ที่พลิกโฉมอุตสาหกรรมอาหาร
Mr. Franz-Martin Rausch ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสมาคมการค้าปลีกอาหารเยอรมัน (Bundesverband des Deutschen Lebensmittelhandels e.V. หรือ BVLH) ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการติดตามและมีส่วนร่วมในประเด็นที่ท้าทายต่ออุตสาหกรรมค้าปลีกอาหารในเยอรมนี รวมถึงการเมืองที่เข้ามามีอิทธิพลมากขึ้นต่ออาหาร โดยระบุว่า ภาคธุรกิจค้าปลีกอาหารในประเทศเยอรมนีถือเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจ โดยสร้างรายได้ประจำปีประมาณ 306.9 พันล้านยูโร หรือคิดเป็นประมาณ 5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ตลาดนี้มีความรวมศูนย์สูง โดยมีผู้ประกอบการหลัก 4 ราย ได้แก่ Edeka, Rewe, กลุ่ม Schwarz (เจ้าของแบรนด์ Lidl และ Kaufland) และ Aldi ซึ่งครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันถึง 76% ธุรกิจดังกล่าวประกอบไปด้วยร้านค้าปลีกมากกว่า 37,000 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ขายรวมเกือบ 37 ล้านตารางเมตร และจ้างงานพนักงานประมาณ 1.3 ล้านคน รวมถึงการฝึกอบรมผู้ฝึกงานจำนวน 32,000 คน ประเทศเยอรมนียังเป็นที่ตั้งของผู้ค้าปลีกอาหารรายใหญ่ของโลกถึง 8 ราย จาก 20 อันดับแรก ซึ่งสะท้อนถึงสถานะของประเทศในฐานะมหาอำนาจด้านการค้าปลีกอาหารในระดับสากล
ลักษณะของร้านค้าปลีกในประเทศเยอรมนีสามารถแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบหลัก ได้แก่ ร้านดิสเคาน์เตอร์, ซูเปอร์มาร์เก็ต, ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ และไฮเปอร์มาร์เก็ต โดยร้านดิสเคาน์เตอร์ถือเป็นรูปแบบที่มีอิทธิพลและแพร่หลายที่สุด มีจำนวนร้านค้าประมาณ 15,972 แห่ง และสร้างรายได้ประมาณ 97.6 พันล้านยูโรต่อปี ความสำเร็จของรูปแบบนี้อยู่ที่การคัดเลือกสินค้าที่มีการขายในปริมาณสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน ซูเปอร์มาร์เก็ตมีจำนวน 10,998 แห่ง สร้างรายได้ประมาณ 65.4 พันล้านยูโร โดยนำเสนอสินค้าหลากหลายและครอบคลุมแบรนด์มากขึ้น ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมระหว่างรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปกับไฮเปอร์มาร์เก็ต มีจำนวน 1,269 แห่ง และสร้างรายได้ประมาณ 22.3 พันล้านยูโร ขณะที่ไฮเปอร์มาร์เก็ตมีจำนวน 719 แห่ง และมียอดขายรวมประมาณ 20.5 พันล้านยูโร ความหลากหลายเชิงโครงสร้างนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการที่แตกต่างกันของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศเยอรมนีได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 และแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากสงครามในยูเครน โดยผู้บริโภคมีแนวโน้มใช้จ่ายมากขึ้นเพื่อซื้อสินค้าพรีเมียมสำหรับการบริโภคที่บ้าน เนื่องจากการรับประทานอาหารนอกบ้านลดลง นอกจากนี้เกิดปรากฏการณ์ “การใช้ชีวิตที่บ้าน” หรือการใช้เวลาอยู่ในบ้านมากขึ้น เช่น การทำอาหารและการสะสมสิ่งจำเป็น ส่งผลให้ความต้องการสินค้าเปลี่ยนแปลงไป การทำอาหารเองได้กลายเป็นกิจกรรมทางสังคมและประสบการณ์ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับราคาสินค้าเนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ โดยเฉพาะในด้านพลังงานและอาหาร ซึ่งส่งผลกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณของครัวเรือน ผู้บริโภคชาวเยอรมันจึงให้ความสำคัญกับ “ความคุ้มค่า” มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังคงใส่ใจในคุณภาพและจริยธรรมของอาหารที่เลือกซื้อ
อุตสาหกรรมอาหารในประเทศเยอรมนีได้เข้าสู่ช่วงที่เรื่องการเมืองและจริยธรรมมีบทบาทมากขึ้น โดยมีโครงการสำคัญ เช่น การพัฒนาระบบติดฉลากสินค้าข้ามบริษัทเพื่อแจ้งข้อมูลเกี่ยวกับมาตรฐานการเลี้ยงสัตว์อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีการแนะนำฉลากแหล่งกำเนิดสินค้าใหม่ที่ชื่อว่า “Gutes aus deutscher Landwirtschaft” หรือ “ของดีจากการเกษตรเยอรมัน” ซึ่งเริ่มจากเนื้อหมู เนื้อวัว และสัตว์ปีก และจะขยายไปยังนมและผลไม้ในอนาคต สะท้อนถึงแนวโน้มที่ให้ความสำคัญกับความโปร่งใสและความภาคภูมิใจในสินค้าพื้นเมือง
ผู้บริโภคในประเทศเยอรมนีมีความสนใจในสินค้าที่ส่งเสริมความยั่งยืนมากขึ้น เช่น สินค้าแฟร์เทรด, ออร์แกนิก, ท้องถิ่น และปลอด GMO สินค้าเหล่านี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะในร้านเฉพาะทางอีกต่อไป แต่เริ่มมีจำหน่ายในรูปแบบแบรนด์ของตัวเองในร้านค้าปลีกทั่วไป แสดงให้เห็นถึงการตอบรับจากตลาดในวงกว้าง
สุดท้าย งาน Anuga ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีบทบาทสำคัญในอุตสาหกรรมอาหารทั้งในประเทศเยอรมนีและระดับโลก โดยงาน Anuga ครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในวันที่ 4–8 ตุลาคม 2568 ที่เมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้นำในอุตสาหกรรมได้แบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุด สำรวจเทรนด์ใหม่ ๆ เช่น ความยั่งยืนและดิจิทัล และกำหนดกลยุทธ์ร่วมกันเพื่อรับมือกับความท้าทายในอนาคต ทั้งในประเทศเยอรมนีและระดับสากล
เปิดเทรนด์อาหารใน APAC
Fellicia Kristianti ผู้จัดการฝ่ายความสำเร็จลูกค้า ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (Customer Success Manager APAC) จาก Innova Market Insights ซึ่งจะมานำเสนอการเปลี่ยนแปลงสำคัญในภูมิภาคเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นของโภชนาการเฉพาะบุคคล การพลิกโฉมอาหารจากพืช และนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืน โดยกล่าวว่า มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับ แนวโน้มใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม (F&B) ระดับโลก และต่อจากนั้นเราจะเปิดเผย 5 เทรนด์หลักในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APAC)
บริบทมหภาคที่กำลังกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภค
บริบทมหภาคที่กำลังกำหนดพฤติกรรมผู้บริโภคได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคได้รับแรงผลักดันจากความกังวลในด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และความสำคัญของสุขภาพและความเป็นอยู่ดี ความสนใจในสินค้าและบริการที่สนับสนุนความยั่งยืน การบริโภคอย่างมีจิตสำนึก และการดูแลสุขภาพตนเองเพิ่มมากขึ้น สะท้อนถึงแนวโน้มการปรับตัวของตลาดที่ตอบสนองต่อค่านิยมใหม่ ๆ ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป
- ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อม มีอิทธิพลสูงสุด – การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็น ประเด็นอันดับ 1 ของผู้บริโภคในเอเชีย มีผลต่อทั้งการคาดหวังต่อสินค้าและวิถีชีวิต
- สุขภาพและความเป็นอยู่ดี – การสูงวัยของประชากร, ปัญหาสุขภาพจิตที่เพิ่มขึ้น และความต้องการด้านโภชนาการที่มากขึ้น ทำให้ “สุขภาพ” กลายเป็นเรื่องสำคัญ
- ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ – แม้ภูมิภาคจะมีแนวโน้มการเติบโต แต่เงินเฟ้อและความไม่มั่นคงด้านการจ้างงานยังคงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการใช้จ่าย
ค่านิยมของผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนแปลง
ค่านิยมของผู้บริโภคที่กำลังเปลี่ยนแปลงสะท้อนให้เห็นถึงการตื่นตัวในด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่เพิ่มมากขึ้น ผู้บริโภคหันมามองหาสินค้าและบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการด้านความยั่งยืน การดูแลสุขภาพตนเอง และการบริโภคอย่างมีจิตสำนึก เทรนด์เหล่านี้กำลังขับเคลื่อนกลยุทธ์ของธุรกิจในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างชัดเจน
- สุขภาพต้องมาก่อน – 56% ของผู้บริโภคในเอเชียระบุว่า “สุขภาพและโภชนาการ” คือปัจจัยสำคัญที่สุดในการเลือกแบรนด์อาหาร
- ความปลอดภัยและคุณภาพ มีความสำคัญเพิ่มขึ้น – ผู้บริโภคเกือบครึ่งเลือกซื้อสินค้าจากความปลอดภัยและคุณภาพ มากกว่าราคา
- การบริโภคอย่างมีจิตสำนึก – หลายคนลดการทิ้งอาหาร, ปลูกพืชกินเอง, และปรับวิถีชีวิตให้ “เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม”
- พึ่งพาตนเองมากขึ้น – 47% ของผู้บริโภคบอกว่าพวกเขา “ดูแลสุขภาพตัวเองได้ดีขึ้น” ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
5 แนวโน้มวิถีชีวิตที่กำลังเกิดขึ้น
- ฉลาดและพึ่งตนเองได้ – ผู้บริโภคใช้เทคโนโลยีจัดการสุขภาพ การเงิน และทางเลือกอาหารด้วยตนเอง
- เชื่อมโยงอย่างแท้จริง – ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับธรรมชาติ ประสบการณ์จริง และความสัมพันธ์ทางสังคม โดยเฉพาะผ่าน “มื้ออาหารร่วมกัน”
- สุขภาพแบบบวก – สุขภาพจิตและอารมณ์กลายเป็นแรงผลักดันหลักในการตัดสินใจเลือกอาหาร อาหารกลายเป็นส่วนหนึ่งของ “การดูแลตัวเอง”
- ช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลง – ผู้บริโภคมองหา “ประสบการณ์หลายมิติ” จากแบรนด์ เช่น ความน่าตื่นเต้น ความสนุกสนาน หรือการปรนเปรอตนเอง
- คุณภาพและความปลอดภัย – แม้ความเชื่อมั่นในแบรนด์ใหญ่จะเพิ่มขึ้น แต่ความโปร่งใส แหล่งที่มาของวัตถุดิบ และคำกล่าวอ้างด้านสุขภาพยังถูกตรวจสอบอย่างละเอียด
ธีมนวัตกรรม F&B ปี 2025
ธีมของนวัตกรรม F&B ปี 2025 มุ่งเน้นไปที่การสร้างคุณค่าเพิ่มเติมจากส่วนผสม เช่น การเล่าเรื่องและแหล่งที่มา พร้อมกับการตอบสนองโภชนาการเฉพาะบุคคล รสชาติที่น่าประหลาดใจ และการพัฒนาสุขภาพลำไส้ผ่านผลิตภัณฑ์ที่มีไฟเบอร์ พรีไบโอติก และโพรไบโอติก รวมถึงการนำอาหารพืชแบบ whole-food มาแทนที่เนื้อแปรรูปเทียม และการเพิ่มสินค้า F&B ที่ส่งเสริมความงามจากภายใน นอกจากนี้ ความยั่งยืนและการปรับตัวต่อสภาพอากาศก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในการเลือกผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มในอนาคต
- มากกว่าแค่ส่วนผสม – ผู้บริโภคต้องการคุณค่าเพิ่มเติม เช่น การเล่าเรื่อง แหล่งที่มา และประโยชน์เฉพาะ
- สุขภาพแบบแม่นยำ (Precision Wellness) – โภชนาการเฉพาะบุคคลตามอายุ เพศ ไลฟ์สไตล์ หรือความต้องการเฉพาะ (เช่น ขนมเด็ก, อาหารตามเพศ)
- รสชาติที่สร้างความประหลาดใจ – ผู้บริโภคมองหา “การผสมผสานรสชาติสุดล้ำ” ที่สร้างความตื่นตา
- ปฏิวัติสุขภาพลำไส้ – สุขภาพลำไส้เป็นความกังวลอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะสินค้าที่มีไฟเบอร์ พรีไบโอติก และโพรไบโอติก เช่น บาร์หรือเครื่องดื่ม
- พืชเป็นหลักในรูปแบบใหม่ – เปลี่ยนจากเนื้อแปรรูปเทียม เป็นอาหารพืชแบบ whole-food ที่มีฉลากโปร่งใสและผ่านกระบวนการน้อย
- ความสวยจากภายใน (Taste the glow) – 1 ใน 4 ของผู้บริโภคเอเชียซื้อสินค้า F&B เพื่อผลด้านความงาม เช่น น้ำผสมคอลลาเจน ขนมเพื่อผิว
- ความยั่งยืนและการปรับตัวต่อสภาพอากาศ – การเลือกวัตถุดิบและออกแบบผลิตภัณฑ์ต้องสอดคล้องกับค่านิยมผู้บริโภค ทั้งด้านราคา ความยืดหยุ่น และสิ่งแวดล้อม
โอกาสนวัตกรรมและกลยุทธ์ที่ควรจับตามอง
นวัตกรรมในอุตสาหกรรม F&B ปี 2025 มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าเพิ่มเติมโดยใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติที่มีประโยชน์ชัดเจน พร้อมทั้งการผสมผสานรสชาติที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ การคืนชีวิตให้วัตถุดิบท้องถิ่นดั้งเดิมผ่านเทคโนโลยีใหม่ ความโปร่งใสในการแหล่งที่มาและการแปรรูปเพื่อสร้างความเชื่อมั่น และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองสุขภาพจิต เช่น ช่วยการผ่อนคลายและความสงบ ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างประสบการณ์ที่พรีเมียมและตอบโจทย์ผู้บริโภคในอนาคต
- ธรรมชาติและมีประโยชน์ – ผลิตภัณฑ์ที่ผสมผสาน “วัตถุดิบจากธรรมชาติ” กับ “คุณประโยชน์ชัดเจน” จะโดดเด่น
- อร่อยแบบดีต่อสุขภาพ – ผู้บริโภคยังต้องการ “ให้รางวัลตัวเอง” แต่ต้องเป็นประสบการณ์ที่รู้สึกดีทั้งร่างกายและใจ
- คืนชีวิตให้ของเดิม – วัตถุดิบท้องถิ่นหรือดั้งเดิมที่นำเสนอด้วยเทคโนโลยีใหม่หรือคุณประโยชน์ด้านสุขภาพจะมีศักยภาพสูง
- โปร่งใสคือผู้ชนะ – ความชัดเจนเกี่ยวกับแหล่งที่มา การแปรรูป และคำอ้างด้านสุขภาพ สร้าง “ความเชื่อมั่น” และภาพลักษณ์ระดับพรีเมียม
- อาหารตอบโจทย์อารมณ์ – โอกาสมหาศาลยังมีในกลุ่ม F&B ที่รองรับสุขภาพจิต ความสงบ และการผ่อนคลาย