[ข่าวประชาสัมพันธ์]

THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 กลับมาอีกครั้งในปีที่ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนรอยต่อสำคัญของการเปลี่ยนผ่านทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี ภายใต้แนวคิด ‘Thailand’s Next Frontier: พรมแดนใหม่เศรษฐกิจไทย’ เวทีปีนี้มุ่งหาคำตอบว่าเศรษฐกิจไทยจะก้าวข้ามพรมแดนเดิมได้อย่างไร ท่ามกลางการแข่งขันระดับโลกและความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
ปีนี้งานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ณ Paragon Hall ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ระหว่างวันที่ 5–7 พฤศจิกายน 2568 ตลอด 3 วัน 4 เวที กับ 100 สปีกเกอร์ชื่อดังจากทั้งไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะมาร่วมกันตั้งโจทย์ ถกทางออก และวางแผนลงมือทำ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่พรมแดนเศรษฐกิจใหม่อย่างแท้จริง
ด้วยเวทีถกโจทย์ใหญ่ ว่าด้วยอนาคตเศรษฐกิจไทยในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีทั้งผู้นำภาครัฐ และภาคเอกชน มาร่วมกันแลกเปลี่ยนมุมมอง
นายกฯ อนุทิน ย้ำจุดยืนไทย

วันแรกของงาน (5 พฤศจิกายน 2568) เริ่มต้นเวทีด้วย อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า รัฐบาลมีกรอบเวลาปฏิบัติหน้าที่ 4 เดือน จึงเน้นนโยบายแบบ Quick Win หรือ มาตรการเร่งด่วนที่เห็นผลเร็ว เช่น นโยบายคนละครึ่งพลัส และการปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือน โดยเฉพาะหนี้ไม่เกิน 100,000 บาท ควบคู่ไปกับการพยายามคลี่คลายสถานการณ์ความมั่นคงทางชายแดน พร้อมยืนยันจะยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 อย่างแน่นอน และจะไม่ใช้เหตุการณ์ใดๆ รวมถึงเกมการเมืองอย่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มาเป็นข้ออ้างในการเลื่อนกำหนดการยุบสภา
ส่วน ปัญหาความมั่นคงชายแดน รัฐบาลจะใช้แนวทางสันติภาพเชิงรุก คือ เน้นเจรจา เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และลดผลกระทบต่อชีวิตประชาชนในพื้นที่ โดยยืนยันว่าไม่มีการเสียอธิปไตยหรือดินแดน
ในมิติภูมิรัฐศาสตร์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จุดยืนว่าไทยต้องเลือกข้างตัวเองหรือ Thailand First แต่พยายามรักษาสมดุลวางตัวเป็น พาร์ตเนอร์ หรือคู่ค้า กับมหาอำนาจทั้งสหรัฐฯ และจีน
โอกาสต่อไปของไทย-จีน

ต่อจากนั้น ฯพณฯ จาง เจี้ยนเว่ย เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถา ในหัวข้อ ‘จีนเปิดกว้างเพื่อความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกันกับไทย : An Open China for the Promising Mutual Beneficial Cooperation with Thailand’ โดยแสดงความยินดีที่จะกระชับความร่วมมือกับทุกภาคส่วนของสังคมไทยเพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองในอนาคตของทั้งสองประเทศ
เขาชี้ว่า จีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยต่อเนื่อง 12 ปี และเป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและผลไม้ที่ใหญ่ที่สุดของไทย คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 40%
โดยในช่วงสามไตรมาสแรกของปีนี้ การค้าทวิภาคีระหว่างจีนและไทยมีมูลค่าสูงถึง 114.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้น 17% ขณะที่จีนเป็นแหล่งลงทุนที่สำคัญของไทย โดยมีการลงทุนมากกว่า 3.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ในปีนี้ และการลงทุนขยายจากการผลิตแบบดั้งเดิม ไปสู่อุตสาหกรรมเกิดใหม่ เช่น พลังงานสะอาดและเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีส่วนช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทย ขณะที่ไทยและจีนยังเป็นหุ้นส่วนที่ดีและสร้างสรรค์ ในโครงการริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางด้วย โดยทั้งสองฝ่ายได้เสริมสร้างการประสานยุทธศาสตร์และส่งเสริมความก้าวหน้าใหม่ๆ ในโครงการสำคัญต่างๆ
“จีนและไทยเป็นเพื่อนบ้านที่ดี มิตรสหายที่ดี ญาติที่ดีและหุ้นส่วนที่ดี มีการแลกเปลี่ยนกันอย่างสม่ำเสมอและใกล้ชิดกันดุจญาติมิตร”
5 เสาหลักพาไทยเติบโตสู่ประเทศรายได้สูง

หนึ่งในไฮไลต์ของวันแรกในงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 คือการบรรยายของ Melinda Good ผู้อำนวยการธนาคารโลก (World Bank) ประจำประเทศไทยและเมียนมา ในหัวข้อ Building Thailand’s Future Today: 5 Industries of the Future 5 เสาหลักพาไทยเติบโตสู่ประเทศรายได้สูงฉบับ World Bank
ที่มาฉายภาพพรมแดนใหม่ทางเศรษฐกิจของไทย พร้อมวางโรดแมป 5 ภาคเศรษฐกิจหลัก เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุม IMF–World Bank Annual Meetings 2026 ซึ่งจะจัดขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี
Melinda ระบุว่า ไทยต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจให้เท่าทันคลื่นใหญ่ของโลก ทั้งเทคโนโลยี การค้า และภูมิอากาศ โดยธนาคารโลกเสนอ 5 อุตสาหกรรมอนาคตที่จะขับเคลื่อนประเทศ ได้แก่
- Green & Advanced Manufacturing เพื่อยกระดับการผลิตคาร์บอนต่ำและอุตสาหกรรม EV
- Digital & Creative Economy ที่เน้นสร้าง Digital Backbone และพัฒนาแรงงานดิจิทัล
- Agri-Food Transformation ที่ยกระดับเกษตรไทยสู่มาตรฐานโลกด้วย Smart Farming และ Brand Thailand
- Sustainable Tourism & Wellness เพื่อเปลี่ยนจากปริมาณนักท่องเที่ยวสู่ คุณภาพและความยั่งยืน
- Workforce for the Future ที่เร่งปั้นแรงงานยุคใหม่ สาย AI,EV, Solar ตลอดจนสาย Wellness อาหาร และภาพยนตร์
ธนาคารโลกมองว่า ไทยมีศักยภาพโดดเด่นในหลายด้าน ทั้งฐานการผลิตที่แข็งแรง วัฒนธรรมสร้างสรรค์ และความสามารถทางเทคโนโลยี แต่ยังขาดตัวเชื่อมระหว่างภาคเศรษฐกิจ นโยบาย และทักษะคน Melinda จึงเสนอให้รัฐบาลลงทุนเร่งด่วนในพลังงานสะอาด การวิจัยและพัฒนา (R&D) การฝึกอบรมแรงงานด้วยหลักสูตรสั้นที่ให้ใบรับรองเฉพาะทักษะ (Micro-Credentials) และสร้างเมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำ เพื่อให้เห็นผลเร็ว ต่อยอดได้ในระยะยาว
BOI เปิดแผนดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่ สร้าง 5 อุตสาหกรรมอนาคต พาไทยสู่ฐานการผลิตโลก

ในช่วงบ่าย เวที Investment in Next Frontier ชี้ทิศทางใหม่ของการลงทุนในยุคที่ภูมิทัศน์เศรษฐกิจโลกกำลังเปลี่ยน นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ขึ้นบรรยายถึงการแข่งขันทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างสหรัฐ-จีน เทคโนโลยีปั่นป่วน (Disruptive Tech) รวมถึงแรงกดดันด้านความยั่งยืน สถานการณ์นี้ทำให้ FDI โลกในปี 2024 ลดลง 11% แต่ FDI ในอาเซียนกลับเพิ่มขึ้น 8% มูลค่ารวมกว่า 226,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของการกระจายการลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ China+1
ด้วยจุดแข็งทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล พลังงานสะอาด แรงงานทักษะสูง และความพร้อมในการเป็นศูนย์กลางการผลิตสมัยใหม่ได้ ซึ่งขณะนี้มีโครงการขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศแล้วกว่า 1.37 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นเกือบ 94% ภายในสามปีที่ผ่านมา
นฤตม์ เผยว่า แนวโน้มการลงทุนใหม่ของโลกจะมุ่งสู่อุตสาหกรรมอนาคต (New Industries) โดย BOI ได้กำหนด 6 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ไทยจะใช้เป็นเครื่องยนต์เศรษฐกิจ ได้แก่
- Digital และ AI
- Semiconductors และ Advanced Electronics
- Modern Automobiles
- Clean Energy
- Bio-Based Industries
- Modern Agriculture และ Future Foods
พร้อมยกตัวอย่างการลงทุนสำคัญที่เกิดขึ้นแล้วในไทย เช่น CHANGAN, Sunwoda, Infineon, Foxconn, Microchip และ Garmin ซึ่งรวมกันมีมูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท และสร้างงานใหม่หลายหมื่นตำแหน่ง
นอกจากนี้ BOI ยังเปิด 3 มาตรการเร่งรัดการลงทุน Quick Big Win เพื่อให้ไทยเป็นจุดหมายการลงทุนระดับภูมิภาค ได้แก่
- มาตรการเร่งรัดการลงทุน กลไกอนุมัติเร็วสำหรับโครงการขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
- มาตรการสร้างบุคลากรทักษะสูงสำหรับอุตสาหกรรมใหม่ พัฒนาแรงงานทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยให้เงินสนับสนุนค่าจัดฝึกอบรมให้กับมหาวิทยาลัยหรือบริษัทฝึกอบรม
- มาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในโลกยุคใหม่ เช่นการวิจัยและพัฒนา (R&D), ปรับเปลี่ยนเครื่องจักรใช้ระบบ,ให้เงินสนับสนุนและสินเชื่อ
BOI ย้ำว่า Next Frontier ของเศรษฐกิจไทยจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ประเทศสร้าง New Industry, New Technology, New Talent, New Energy และ New Supply Chain ไปพร้อมกัน จากฐานการผลิตที่แข็งแรงสู่ระบบนิเวศใหม่ของการลงทุนสีเขียวและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งใน Global Manufacturing Hub ที่โลกจับตามองในทศวรรษหน้า
ยุทธศาสตร์การคลัง-พลังงาน ขับเคลื่อนประเทศ

เริ่มต้นด้วยปาฐกถาพิเศษจาก ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้ฉายภาพการเติบโตและความมั่งคั่งของไทย โดยได้อัปเดตแผนเศรษฐกิจ 5 เสาหลัก
เสาที่ 1 การกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านนโยบายคนละครึ่งพลัส และเที่ยวดีมีคืนที่มั่นใจว่าจะช่วยดันให้เศรษฐกิจไตรมาส 4 โตได้ไม่ต่ำกว่า 1%
เสาที่ 2 การแก้ปัญหาหนี้สินหนี้เสีย( NPL) ไม่เกิน 1 แสนบาท ถือเป็นปัญหาใหญ่ และคนหนึ่งเป็นหนี้หลายสถาบันการเงิน แผนการแก้หนี้จึงแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรก คือ หนี้ประชาชนทั่วไป ประมาณ 2 ล้านคน มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท และส่วนที่สอง คือ หนี้เกษตรกร ประมาณ 1 แสนคน หัวใจสำคัญของมาตรการนี้ไม่ใช่แค่การปรับโครงสร้างหนี้ แต่คือการ ฟื้นฟู ให้ลูกหนี้กลับมามีวินัย และสามารถเข้าสู่ระบบสินเชื่อใหม่ได้
สำหรับ เสาที่ 5 การลงทุนเพื่ออนาคต โดยชี้ว่าปัญหาที่แท้จริงของไทยคือการลงทุนที่หายไปครึ่งหนึ่ง จาก 40% ของ GDP เหลือ 20% กว่า แต่ในภาวะที่งบประมาณมีจำกัด รัฐบาลจะไม่ใช้การกู้เงิน จะใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่อย่าง กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) มาใช้แทน
ดร.เอกนิติ ปิดท้ายว่า การลงทุนเพื่ออนาคตอีกขาที่สำคัญคือ ‘คน’ เมื่อประเทศไทยเป็นสังคมสูงอายุและอัตราการเกิดน้อย คนที่เหลืออยู่ต้องเก่งขึ้น โดยจะใช้เงิน 1 หมื่นล้านบาทจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน มาเปลี่ยนการผลิตแรงงานแบบ Supply-driven คือผลิตคนออกมาโดยไม่ตรงกับความต้องการของตลาดจนตกงานจำนวนมาก รัฐบาลจะปรับแนวทางใหม่เป็นแบบ Demand-driven ให้ตรงกับความต้องการจริงของภาคอุตสาหกรรม โดยมอบหมายให้ BOI สำรวจทักษะที่บริษัทนักลงทุนต้องการ เช่น ด้าน Data Center, ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และ Medical Hub จากนั้นจับคู่กับมหาวิทยาลัยเพื่อเร่ง Reskill คนไทยกว่า 100,000 คนภายใน 4 เดือน พร้อมเดินหน้าตัดกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน (Regulatory Guillotine) เพื่อปลดล็อกเม็ดเงินลงทุนที่ค้างท่อกว่า 4.7 แสนล้านบาท ดร.เอกนิติย้ำว่า แม้รัฐบาลจะมีเวลาเพียง 4 เดือน แต่รากฐานเหล่านี้จะเป็น จุดเริ่มต้นของการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยให้ก้าวสู่ Next Frontier
หลังจากภาครัฐวางแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจด้วยการเร่งลงทุนและลดอุปสรรคเชิงโครงสร้าง ด้านพลังงานก็เป็นอีกสมรภูมิสำคัญที่รัฐบาลต้องเร่งปรับตัวให้ทันโลกที่เปลี่ยนไป บนเวที Energy Transition and the Race to Net Zero เปลี่ยนผ่านพลังงานไทย: วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์สู่ Net Zero อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถ่ายทอดแนวคิดการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่ไม่เพียงอธิบายด้านนโยบาย แต่สะท้อนปรัชญา ในการขับเคลื่อนพลังงานของประเทศไว้ 4 คำ มั่นคง เข้าถึงได้ เขียว และเสรี โดยทั้ง 4 ส่วนนี้ต้องเดินไปด้วยกันอย่างสมดุล
โครงการเร่งด่วนอย่าง โซลาร์ชุมชน,โซลาร์หน่วยงานรัฐ และลดหย่อนภาษีติดตั้งโซลาร์บ้าน คือตัวอย่างการแปลงคำว่า Green Energy ให้เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน อีกหนึ่งก้าวสำคัญคือ เปิดเสรีพลังงานผ่าน Direct PPA (DPPA) ที่อนุญาตให้ผู้ใช้ซื้อไฟฟ้าตรงจากผู้ผลิต โดยจ่ายเพียงค่าผ่านทางให้การไฟฟ้า
อรรถพลยังเปิดเผยว่า กระทรวงได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อปรับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ ให้เสร็จภายใน 2–3 เดือน โดยจะ ปรับเป้าหมาย Net Zero จากปี 2065 มาเป็นปี 2050 เพื่อให้ไทยแข่งขันได้ทันประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น สิงคโปร์และเวียดนาม พร้อมเพิ่ม เทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น Small Modular Reactor (SMR) พลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก และ ไฮโดรเจน (Hydrogen) โดยเน้นเฉพาะ Blue Hydrogen และ Green Hydrogen ที่ผลิตจากกระบวนการสะอาดเท่านั้น
อรรถพลกล่าวในช่วงท้ายว่า “สิ่งแรกที่ต้องทำคือสร้างการตื่นรู้ ให้คนไทยเข้าใจว่าถึงเวลาเปลี่ยนแล้ว เพราะอนาคตของพลังงานสะอาดจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าคนไทยยังไม่เริ่มเปลี่ยนวิธีคิด ตั้งแต่วันนี้”
นโยบายรัฐคือส่วนสำคัญต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจไทย

การปรับตัวให้ทันโลกต้องเริ่มจากภายในประเทศ เวที Bedrock Analytics เปลี่ยนเมืองให้สมาร์ทด้วย City Digital Data Platform และเวที Young Leaders Dialogue Stage Local Power: Turning Small Towns into Big Opportunities คนรุ่นใหม่กลับบ้าน สร้างเมืองรองที่มีศักยภาพ ชวนระดมสมองถึงการพัฒนาเมือง โดยเฉพาะกับเมืองท้องถิ่น เมืองรอง และบ้านเกิดของผู้คนจำนวนมากที่ต้องเข้ามาทำงานยังเมืองหลวง ว่าถ้าจะทำให้คนรุ่นใหม่กลับไปทำธุรกิจที่บ้าน สิ่งที่พวกเขาต้องการมีอะไร และภาครัฐจะสามารถยื่นมือเข้ามาช่วยด้วยวิธีใดได้บ้าง
และสิ่งสำคัญที่จะพาไปขยับไปพร้อมกันทั้งประชาชน ภาคธุรกิจ แรงงาน และภาคการเงิน ก็คือตัวของรัฐ เวที The Trust Blueprint: Designing Integrity for Thailand’s Future พิมพ์เขียวแห่งความเชื่อมั่น ออกแบบอนาคตไทยไร้คอร์รัปชัน คิดหาวิธีการป้องกันการทุจริต ซึ่ง ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ประธานกรรมการสถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย และ รศ. ดร.ต่อภัสสร์ ยมนาค ผู้อำนวยการศูนย์ความรู้เพื่อความร่วมมือในการต่อต้านคอร์รัปชัน และส่งเสริมธรรมาภิบาลในระดับภูมิภาค (KRAC) มองตรงกันว่า เหตุผลที่ผ่านมาการแก้คอร์รัปชันยังไม่ไปไหน เพราะสังคมเน้นโฟกัสไปยังการวิ่งจับคนโกงเป็นหลัก ซึ่งการแก้แท้จริง จะต้องออกแบบระบบใหม่ที่ทำให้การทุจริตเกิดได้ยากขึ้น ทั้งการมีข้อมูลกลางและเปิดเผยข้อมูลการทำงานของรัฐให้ประชาชนได้เห็นมากขึ้น

ปิดท้ายงาน THE STANDARD ECONOMIC FORUM 2025 ด้วย Closing Speech นครินทร์ วนกิจไพบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบรรณาธิการบริหาร บริษัท เดอะสแตนดาร์ด จำกัด สรุปสถานการณ์จากทั้งภายนอกและในประเทศ สร้างความรู้สึกต่อทุกภาคส่วนว่าคงจะทนต่อไปอีกไม่ได้แล้วกับปัญหาที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ สิ่งนี้เร่งให้ทุกภาคส่วนต้องขยับอย่างจริงจัง สิ่งที่แต่ละคนสะท้อนออกมาสามารถเอาไปดำเนินการต่อในระดับประเทศได้จริง และสุดท้ายแม้จะมีปัญหามากมาย แต่ประเทศไทยก็ยังคงมีความหวังอยู่
[ข่าวประชาสัมพันธ์]
