สถานการณ์ภาษีนำเข้าจากสหรัฐอเมริกาภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลับมาเป็นประเด็นร้อนที่สร้างความกังวลให้กับภาคธุรกิจทั่วโลกอีกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยที่กำลังจะต้องเจอกับอัตรา “ภาษีนำเข้า” ที่สูงและมีความซับซ้อนหลายชั้น ซึ่งอาจส่งผลต่อภาคการส่งออกและเศรษฐกิจของทั้งประเทศแบบเต็มๆ
จุดเริ่มต้น ภาษีทรัมป์ ประกาศช็อกโลกในเดือนเม.ย.
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนเมษายน 2568 อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ โดยมีแนวคิดที่จะเก็บภาษีพื้นฐาน 10% จากสินค้าทุกประเภทที่นำเข้าสหรัฐฯ และจะมีการคิดภาษีเพิ่มเติมในระดับตัวเลขสองหลักกับประเทศที่สหรัฐฯ มองว่ามีการได้เปรียบดุลการค้าอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือประเทศไทย
การประกาศในครั้งนั้นสร้างความตื่นตัวและกระตุ้นให้หลายประเทศเริ่มพิจารณาแนวทางการเจรจากับสหรัฐฯ เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
ล่าสุด จดหมายถึงไทย ยืนยันเก็บ 36% เริ่ม 1 ส.ค.
และในวันเดียวกันนั้น (7 กรกฎาคม 2568) สถานการณ์ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ได้ส่งจดหมายถึงประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อแจ้งการเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 36% โดยจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป จดหมายดังกล่าวระบุเหตุผลหลักคือการที่สหรัฐฯ เผชิญภาวะขาดดุลการค้ากับไทยอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีการเตือนถึงสินค้าที่ใช้ไทยเป็นทางผ่าน (Transshipment) ว่าจะถูกเก็บภาษีสูงกว่านี้ และหากไทยมีการขึ้นภาษีตอบโต้ สหรัฐฯ ก็จะตอบโต้กลับด้วยอัตราที่สูงขึ้นไปอีก
จังหวะโบ๊ะบ๊ะ! ทรัมป์ขู่ภาษี BRICS ซ้อนทับประชุมครั้งแรกของไทย
เมื่อ วันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญ 2 เหตุการณ์พร้อมกันที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยและนโยบายของทรัมป์โดย ในวันเดียวกันนั้น อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ได้ประกาศนโยบายที่สร้างแรงสั่นสะเทือนอีกครั้ง โดยระบุว่า “ประเทศใดก็ตามที่สนับสนุนนโยบายต่อต้านอเมริกาของกลุ่ม BRICS จะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 10% โดยไม่มีข้อยกเว้นสำหรับนโยบายนี้”
BRICS เป็นการรวมกลุ่มกันของประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ โดยตัวย่อ BRICS มาจาก ‘อักษรตัวแรก’ ของประเทศสมาชิกเดิม 5 ประเทศ ได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้ ปัจจุบัน BRICS มีประเทศสมาชิก 9 ประเทศ ได้แก่ บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้ เอธิโอเปีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ และอิหร่าน
และในจังหวะเดียวกันนี้เอง ข่าวการเข้าร่วมประชุมผู้นำ BRICS ครั้งที่ 17 ณ นครรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ของคณะผู้แทนไทย โดยมี นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย ได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะ ในฐานะที่ไทยเข้าร่วมประชุมในฐานะประเทศหุ้นส่วนเป็นครั้งแรก
เหตุการณ์นี้หลายคนบอกว่าเป็น “จังหวะโบ๊ะบ๊ะ” ที่ข่าวการเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ของไทยปรากฏขึ้นพร้อมๆ กับการประกาศภาษีที่เกี่ยวข้องกับ BRICS ของทรัมป์พอดี โดยประเทศไทยเพิ่งเข้าร่วมเป็น “หุ้นส่วนเต็มตัว” ในกลุ่ม BRICS อย่างเป็นทางการเมื่อต้นปี 2568 ที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มประเทศ BRICS อย่างเต็มตัวพูดง่ายๆว่าเข้าไปเป็นหนึ่งในชาติผู้สังเกตการณ์อย่าเงป็นทางการ ทำให้เป็นเรื่องที่น่ากังวลว่าไทยจะโดนภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 10% ด้วยหรือไม่
สรุปแล้ว ไทยจะโดนภาษีเท่าไหร่?
จากการวิเคราะห์นโยบายภาษีของทรัมป์ที่ประกาศออกมา ไทยอาจต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าหลายชั้นด้วยกัน
- ภาษีนำเข้าเฉพาะประเทศ (จากประเด็นดุลการค้า): 36% (ตามจดหมายล่าสุด ซึ่งเป็นไปได้สูงว่ารวมภาษีพื้นฐาน 10% ทั่วโลกไว้แล้ว)
- ภาษีเพิ่มเติมจากการเป็นหุ้นส่วน BRICS: อีก 10% (หากสหรัฐมองว่าไทยสนับสนุนกลุ่ม BRICS)
ดังนั้น หากไม่มีการเจรจาหรือเปลี่ยนแปลงใดๆ ประเทศไทยอาจต้องเผชิญกับอัตราภาษีนำเข้าสินค้ารวมสูงถึง 46% (36% + 10%) ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากลัวมากๆที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยสั่นสะเทือนไปทั้งประเทศ
ประเทศอื่นโดนเท่าไหร่ ลดหรือเพิ่มอย่างไร?
อัตราภาษี 36% ที่ไทยได้รับในขั้นต้นนั้น “เท่าเดิม” จากที่เคยประกาศไว้ และเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคและประเทศอื่นๆ ทั่วโลก พบว่ามีทั้งที่ลดลง เพิ่มขึ้น และเท่าเดิม โดยยังไม่รวมภาษี BRICS 10% ที่อาจมีผลกับบางประเทศ ด้วย
- ลาว: เก็บ 40% (ลดลง 8% จากเดิม 48%)
- เมียนมา: เก็บ 40% (ลดลง 4% จากเดิม 44%)
- กัมพูชา: เก็บ 36% (ลดลง 13% จากเดิม 49%) – เท่ากับไทย แต่กัมพูชาได้ลดเพดานลงมา
- ไทย: เก็บ 36% (เท่าเดิม)
- บังกลาเทศ: เก็บ 35% (ลดลง 2% จากเดิม 37%)
- เซอร์เบีย: เก็บ 35% (ลดลง 2% จากเดิม 37%)
- อินโดนีเซีย: เก็บ 32% (เท่าเดิม)
- บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา: เก็บ 30% (ลดลง 5% จากเดิม 35%)
- แอฟริกาใต้: เก็บ 30% (เท่าเดิม)
- ญี่ปุ่น: เก็บ 25% (เพิ่มขึ้น 1% จากเดิม 24%)
- คาซัคสถาน: เก็บ 25% (ลดลง 2% จากเดิม 27%)
- มาเลเซีย: เก็บ 25% (เพิ่มขึ้น 1% จากเดิม 24%)
- เกาหลีใต้: เก็บ 25% (เท่าเดิม)
- ตูนิเซีย: เก็บ 25% (ลดลง 3% จากเดิม 28%)
- เวียดนาม: เก็บ 20% (ลดจาก 46% แลกภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐลดเหลือ 0%)
ที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ เวียดนาม ซึ่งประธานาธิบดีทรัมป์เคยเปิดเผยว่าบรรลุข้อตกลงที่จะเก็บภาษีเพียง 20% แลกกับการที่เวียดนามจะเปิดตลาดสินค้าอเมริกันและเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ 0% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเจรจามีส่วนสำคัญในการกำหนดอัตราภาษีมากๆ
การเจรจาของไทย ความหวังจาก “พิชัย ชุนหวชิร”

คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ “กรรมกรข่าวคุยนอกจอ” โดยระบุว่า การประกาศอัตรา 36% สำหรับไทยในครั้งนี้ อาจเป็นผลจากข้อจำกัดด้านเวลาในการพิจารณาของสหรัฐฯ เนื่องจากข้อเสนอที่ปรับปรุงล่าสุดของไทยที่ส่งไปเมื่อวันที่ 6-7 กรกฎาคม อาจยังไม่ถูกนำมาประกอบการพิจารณาอย่างเต็มที่
คุณพิชัยได้เปิดเผยถึงข้อเสนอหลักของไทยในการเจรจาเพื่อลดอัตราภาษี ได้แก่ การลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ โดยประมาณ 90% ของรายการสินค้าจะได้รับการลดหย่อน และส่วนใหญ่ในนั้นจะเป็น 0% รวมถึงการเสนอแผนการลดการได้ดุลการค้าของไทยกับสหรัฐฯ ภายในระยะเวลาที่สั้นลง จากเดิม 10 ปี เหลือ 7 ปี
คุณพิชัยแสดงความเชื่อมั่นว่าข้อเสนอใหม่ของไทยดีพอที่จะทำให้สหรัฐฯ พิจารณาและเปลี่ยนแปลงอัตราภาษีให้ลดลงได้ก่อนวันที่ 1 สิงหาคม โดยคาดหวังว่าอัตราภาษีของไทยจะอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันได้ เช่นเดียวกับญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือมาเลเซีย ซึ่งอยู่ในช่วง 20 กว่าเปอร์เซ็นต์นั่นเอง
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและแนวทางการรับมือ
หากการเจรจาไม่เป็นผล และไทยต้องเผชิญกับภาษีนำเข้าสูงถึง 46% จริง ผลกระทบจะเกิดขึ้นในหลายมิติเลยไม่ว่าจะเป็น
“ภาคการส่งออก” ที่สินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ จะมีราคาสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ผู้ประกอบการอาจต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น หรือต้องปรับราคาสินค้า ซึ่งอาจทำให้เสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับประเทศคู่แข่งที่ได้ภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า เช่น เวียดนาม ได้
ยกตัวอย่างเช่น หากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หรือชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยต้องเสียภาษี 46% ขณะที่คู่แข่งเสียเพียง 20% หรือ 25% ความได้เปรียบทางการค้าก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว
“ภาคอุตสาหกรรม” โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูง เช่น ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ อาหารแปรรูป และข้าว จะได้รับผลกระทบโดยตรง อาจนำไปสู่การลดกำลังการผลิต การชะลอการลงทุน หรือแม้กระทั่งการย้ายฐานการผลิต
“การลงทุนจากต่างประเทศ” ก็จะได้รับผลกระทบเต็มๆเช่นกันเพราะนโยบายภาษีที่สูงอาจทำให้สหรัฐฯ หรือนักลงทุนต่างชาติรายอื่นๆ พิจารณาชะลอหรือย้ายการลงทุนออกจากไทยไปยังประเทศที่มีนโยบายภาษีที่เอื้ออำนวยกว่า และแน่นอนว่า จะส่งผลกระทบกับ “เศรษฐกิจโดยรวม” เพราะการส่งออกที่ชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP ของประเทศ และอาจกระทบต่อการจ้างงานและกำลังซื้อภายในประเทศได้
ถ้าลดภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯเหลือ 0%
ในทางกลับกัน ข้อเสนอของไทยที่จะลดภาษีนำเข้าสินค้าบางชนิดจากสหรัฐฯ ลงเหลือ 0% ก็มีทั้งโอกาสและความท้าทายซ่อนอยู่
ในแง่ “โอกาส” ก็อาจเกิดขึ้นกับ “ผู้บริโภค” ที่จะสามารถซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ ได้ในราคาถูกลง เช่น เครื่องจักร เทคโนโลยี ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ หรือสินค้าเกษตรบางชนิด ซึ่งอาจช่วยลดต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค
ในแง่ “การลงทุน” อาจดึงดูดการลงทุนจากสหรัฐฯ เข้ามาในไทยมากขึ้น เพื่อผลิตสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนจากสหรัฐฯ หรือเพื่อเข้าถึงตลาดภูมิภาค
แต่แน่นอนว่าการลดภาษีสินค้าบางชนิดจากสหรัฐเหลือ 0% ก็อาจส่งผลกระทบได้มากเช่นกันเช่น “ธุรกิจไทยที่ผลิตสินค้าประเภทเดียวกับที่สหรัฐฯ” อาจเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากสินค้าราคาถูกลงจากสหรัฐฯ ทำให้ต้องเร่งปรับตัว ลดต้นทุน หรือพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้เหนือกว่า
ตัวอย่างเช่นหาก “เนื้อสัตว์จากสหรัฐฯ” เข้ามาในไทยด้วยภาษี 0% เกษตรกรผู้เลี้ยงปศุสัตว์ในไทยอาจได้รับผลกระทบจากราคาที่แข่งขันยาก หรือหากเครื่องจักรจากสหรัฐฯ เข้ามาถูกลง ผู้ผลิตเครื่องจักรในไทยอาจต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อความอยู่รอด
แนวทางการปรับตัวของไทย
เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ ประเทศไทยจำเป็นต้องมีแนวทางการปรับตัวที่ชัดเจน โดยเฉพาะการ “เร่งเจรจาอย่างเข้มข้น” และต่อเนื่อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่เป็นประโยชน์สูงสุดกับประเทศไทย และลดระดับภาษีให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้
ที่สำคัญประเทศไทยจำเป็นต้อง “กระจายความเสี่ยง”ลดการพึ่งพาตลาดส่งออกใดตลาดหนึ่งมากเกินไป โดยเร่งหาตลาดใหม่ๆ และขยายการค้ากับประเทศอื่นๆ อาจจะเป็นกลุ่มประเทศ BRICS และตลาดในภูมิภาคก็ได้
เราอาจจะต้อง “เสริมสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ” ให้มากขึ้นเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภายใน โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรมและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศให้มีความแข็งแกร่งและสามารถแข่งขันได้ แม้เผชิญสินค้านำเข้าราคาถูกลง
พยายามยกระดับคุณภาพและมูลค่าเพิ่ม ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพสูงขึ้น สร้างนวัตกรรมและมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้สามารถแข่งขันได้แม้ต้องเผชิญกับภาษีที่สูงขึ้น หรือการแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้านำเข้ารวมถึง “ปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทาน” (Supply Chain) เพื่อลดการพึ่งพาตลาดที่ได้รับผลกระทบสูง
สถานการณ์ภาษีทรัมป์เป็นความท้าทายครั้งสำคัญและซับซ้อนสำหรับภาคธุรกิจและเศรษฐกิจไทย ผู้ประกอบการและนักการตลาดทุกคนต้องเตรียมพร้อมรับมือ วางแผนกลยุทธ์อย่างรอบคอบ และติดตามความคืบหน้าของการเจรจาอย่างใกล้ชิด เพื่อลดผลกระทบและพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสในการปรับตัวและสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในระยะยาว
ที่มา แนวหน้า, กรรมกรข่าวคุยนอกจอ, ประชาชาติธุรกิจ