เปิดประวัติ Agoda จากต้นกำเนิดที่ภูเก็ต สู่บ้านใหม่ที่ One Bangkok เรื่องราวของแพลตฟอร์มจองที่พักยักษ์ใหญ่จุดเริ่มต้นในไทยที่หลายคนไม่รู้

  •  
  •  
  •  
  •  
  •  

หลายคนคงคุ้นเคยกับแพลตฟอร์ม Agoda แอปพลิเคชั่นที่เราใช้จองที่พักเวลาเราไปเที่ยวกันดีอยู่แล้ว แต่หลายคนอาจไม่รู้ว่า Agoda มีต้นกำเนิดอยู่ในประเทศไทยนี้เอง จากบริษัททัวร์เล็กๆในภูเก็ต เติบโตจนเป็นแพลทฟอร์มระดับโลกอย่างที่เรารู้จักกันทุกวันนี้

Agoda มีประเทศไทยเป็นศูนย์กลางงานปฏิบัติการมาโดยตลอด และตอนนี้ก็กำลังจะย้ายออฟฟิศจาก “เซ็นทรัลเวิร์ล” ไปอยู่ที่ One Bangkok แล้วในปี 2026 นี้ ในพื้นที่ 26,000 ตร.ม. ครอบคลุม 7 ชั้นบน Tower 5 ของโครงการ สำหรับรองรับพนักงานหลักพันคน

ดีลนี้นอกจากจะทำให้ Agoda กลายเป็นผู้เช่ารายใหญ่ที่สุดของโครงการแลนด์มาร์คระดับโลกแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังเป็นการปักหมุดยืนยันว่า “กรุงเทพฯ” ศูนย์กลางระดับปฏิบัติการและเทคโนโลยี โดย คุณ Omri Morgenshtern CEO ของ Agoda ได้วางเป้าหมายสำคัญที่จะปั้นให้กรุงเทพฯ กลายเป็น “Silicon Valley of Asia” หรือศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีแห่งใหม่ของภูมิภาคที่ดึงดูด Talent จากทั่วโลกด้วย

แต่สิ่งหนึ่งที่หลายคนไม่เคยรู้เกี่ยวกับ Agoda ก็คือก่อนจะมาเป็น Tech Company หมื่นล้านที่มีพนักงานหลายพันคน Agoda เคยเป็นเพียงบริษัททัวร์เล็กๆ ที่ไม่มีแม้แต่ระบบจองออนไลน์ ตั้งอยู่บนเกาะภูเก็ตเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน

นี่คือ Brand Story ของ Agoda ที่จะพาย้อนดูไปดู DNA ของความสำเร็จ จากยุค Dot Com สู่ยุค AI ในทุกวันนี้

1996 – จุดเริ่มต้นจาก Passion ของหนุ่มอเมริกันในภูเก็ต

Michael Kenny ในวัยหนุ่ม

ย้อนกลับไปในปี 1996 ยุคที่คำว่า “Startup” ยังไม่เป็นที่รู้จัก Michael Kenny ชายชาวอเมริกันผู้หลงใหลการเดินทาง ได้มาปักหลักที่จังหวัดภูเก็ต และเริ่มต้นธุรกิจเล็กๆ ชื่อว่า “Tropical Trails”

Business Model แรก Tropical Trails ทำธุรกิจเกี่ยวกับ “บริษัททัวร์จักรยานเสือภูเขา” ไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริการจองที่พักแต่อย่างใดเลย อย่างไรก็ตามด้วยว่า Kenny เติบโตมาในครอบครัวนักพัฒนาระบบ IT ทำให้เขามีสัญชาตญาณเรื่องเทคโนโลยีเป็นอย่างดี

เวลาต่อมาเมื่อโลกเริ่มรู้จักอินเทอร์เน็ตและยุค Dot Com บูมในปี 1997  Kenny ก็เริ่มมองเห็น Pain Point ใหญ่ของนักท่องเที่ยว คือ “การจองโรงแรมในเอเชียเป็นเรื่องยาก” เพราะต้องโทรข้ามประเทศ หรือเปิดสมุดหน้าเหลืองตลอดเวลา

1998 – พลิกวิกฤตเป็นโอกาสต้นกำเนิด PlanetHoliday.com

หน้าตาเว็บไซต์ Planet Holiday ในเวลานั้น

Kenny ตัดสินใจ Pivot ธุรกิจจากออฟไลน์สู่ออนไลน์ เปิดตัวเว็บไซต์ PlanetHoliday.com ซึ่งก็นับว่า Kenny เป็นรายแรกๆ ในไทยที่ทำโมเดล “Merchant Model” คือดีลกับโรงแรมเพื่อขอราคาพิเศษมาขายให้นักท่องเที่ยวฝั่งตะวันตก

แน่นอนว่าในยุคนั้นเว็บไซต์ของเขาถูกก๊อปปี้ไปมากมาย ทั้งดีไซน์และเนื้อหา แต่แทนที่ Kenny จะท้อ เขากลับมองว่า “ถ้ามีคนก๊อปปี้ก็คือมาถูกทาง”

บวกกับจังหวะประจวบเหมาะกับแคมเปญ Amazing Thailand (1998) ทำให้การท่องเที่ยวไทยบูมสุดขีด ส่งผลให้เว็บของเขาเติบโตอย่างก้าวกระโดด

2002 – ย้ายฐานเข้ากรุงฯ เพราะ “ภูเก็ตเล็กเกินไปสำหรับปลาใหญ่”

สำนักงาน Agoda กรุงเทพฯ เครดิตภาพ: https://careersatagoda.com/blog/inside-agoda-newest-customer-experience-office-bangkok/

เส้นทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ช่วงปี 2001-2002 โลกเจอวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้ง 9/11 และโรคระบาด SARS ทำให้ภูเก็ตเงียบเหงามากๆ

นั่นทำให้ Kenny ตัดสินใจย้ายออฟฟิศจากภูเก็ตมาประจำการที่ “กรุงเทพฯ” เพื่อหนีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน และเพื่อให้สามารถดึงดูด Talent เก่งๆ มาร่วมงานได้ง่ายขึ้น นี่คือก้าวแรกที่ทำให้บริษัทเริ่มมีความเป็นองค์กร Professional มากขึ้น

2005 – กำเนิดชื่อ “Agoda” และการ Scale-up ระดับภูมิภาค

Michael Kenny และ Robert Rosenstein

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นเมื่อ Kenny ร่วมมือกับ Robert Rosenstein ผู้เชี่ยวชาญด้าน IT ที่นำเว็บไซต์ PlanetHoliday.com มารวมกับ https://www.google.com/search?q=PrecisionReservations.com

ในเวลานั้น PlanetHoliday ก็จดทะเบียนบริษัทใหม่ในชื่อ Agoda Company Pte. Ltd. และย้ายสำนักงานใหญ่ไปที่ สิงคโปร์ เพื่อความคล่องตัวทางการเงินและการดึงดูดนักลงทุนสากล

อย่างไรก็ตามแม้ Headquater จะอยู่สิงคโปร์ แต่ “ทีมปฏิบัติการ” หลักยังคงอยู่ที่สำนักงาน CentralWorld ในกรุงเทพฯ ซึ่งกลายเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งมาจนถึงปัจจุบัน

2007 – จาก Local สู่ Global การเข้ามาของ Booking Holdings

เครดิตภาพ: Pavel Kapysh / Shutterstock.com

เวลาต่อมาความสำเร็จของ Agoda ก็ได้รับความสนใจจาก Priceline Group ซึ่งปัจจุบันคือ Booking Holdings ยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ จนเกิดดีลเข้าซื้อกิจการ

สำหรับดีลนั้นมูลค่าการซื้อขายเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 158 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าคำนวณตามค่าเงินยุคนั้นประมาณ 4-5 พันล้านบาท ซึ่งถือว่ามีมูลค่ามหาศาล

แต่ถ้าเทียบกับปัจจุบัน ต้องบอกว่า Agoda เติบโตไปไกลกว่านั้นมาก แม้จะไม่มีการเปิดเผยตัวเลขรายได้แยกเฉพาะเจาะจง แต่มีการคาดการณ์ว่ารายได้ต่อปีของ Agoda อยู่ที่หลักหลายหมื่นล้านบาท และนับเป็นแบรนด์ที่สร้างการเติบโตได้สูงที่สุดในพอร์ตโฟลิโอของ Booking Holdings โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย

วันนี้ Agoda ให้บริการกว่า 38 ภาษา มีพนักงานกว่า 8,000 คนทั่วโลกมีสำนักงานกว่า 60 แห่งใน 25 ประเทศโดยกว่า 4,000 คนประจำอยู่ที่ไทยในจำนวนนี้มีคนไทยเกินครึ่ง และนับเป็นเบอร์ 1 ในตลาดเอเชีย

2026 – สู่บ้านหลังใหม่ที่ One Bangkok

วันนี้ Agoda เติบโตจากทัวร์จักรยานเล็กๆ ที่ภูเก็ตและกำลังจะก้าวเข้าสู่บทใหม่ในฐานะ Tech Giant ที่ขับเคลื่อนด้วย Data และ AI อย่างเต็มรูปแบบ

การย้ายบ้านจากออฟฟิศที่เซ็นทรัลเวิลด์ สู่ One Bangkok ในปี 2026 ไม่ใช่แค่การขยายพื้นที่ แต่คือการประกาศศักยภาพในฐานะ Campus Office ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย เพื่อรองรับ Talent รุ่นใหม่ และเทคโนโลยีแห่งอนาคต

โดย คุณ Omri Morgenshtern CEO ของ Agoda ได้เผยเหตุผลสำคัญเบื้องหลังการย้ายครั้งนี้ว่า เกิดจาก “ความเชื่อมั่น” ในอนาคตของประเทศไทยที่จะก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยี (Tech Hub) หรือ “Silicon Valley of Asia”

นอกจากนี้ การย้ายมาที่นี่ยังตอบโจทย์วัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการ “ทำงานร่วมกัน” (Collaboration) อย่างเข้มข้น เนื่องจาก Agoda ไม่ใช้นโยบาย Work From Home ดังนั้นการมีพื้นที่ออฟฟิศที่เชื่อมต่อกัน (Connected Floors) และเอื้อให้พนักงานได้เจอหน้าและระดมสมองกันจริง ๆ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนนวัตกรรมต่อไปในอนาคต


  •  
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE