ตลอดช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายองค์กรทั่วโลกต่างได้สัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อคนรุ่นใหม่อย่าง Gen Z เริ่มเข้ามามีบทบาทในที่ทำงานมากขึ้น กลุ่มคนรุ่นนี้มีทั้งแนวคิด ทักษะ และแรงบันดาลใจที่แตกต่างจากรุ่นก่อน ๆ อย่างชัดเจน
สิ่งที่ทำให้คนเจนนี้ไม่เหมือนใคร ไม่ได้มีแค่เรื่องเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้ใครหลายคนต้องพลาดโอกาสสำคัญในช่วงวัยเรียนและช่วงเริ่มต้นทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการเรียนแบบเจอหน้ากัน หรือการฝึกงานในบริษัทที่มีทีมเวิร์กจริงๆ
กลายเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้คน Gen Z หลายคนต้องเผชิญกับความรู้สึกเหงา ขาดแรงกระตุ้น และไม่กล้าลองอะไรใหม่ๆ เพราะเจอกับการถูกปฏิเสธซ้ำๆ จากการสมัครเรียนหรือสมัครงานผ่านโลกออนไลน์ ขณะเดียวกัน องค์กรเองก็ต้องเจอกับความท้าทายใหม่ ในการสร้างแรงจูงใจและรักษาคนรุ่นใหม่ให้อยู่กับทีมได้นานขึ้น
5 กลยุทธ์พัฒนาทีม Gen Z ปรับตัวอย่างไรให้ทำงานด้วยกันรอด
แม้จะมีเสียงวิจารณ์ว่าคน Gen Z ขาดทักษะสื่อสาร หรือดูไม่ค่อยกระตือรือร้นเท่าที่ควร แต่จริงๆ แล้ว องค์กรอาจไม่ได้จำเป็นต้องตัดสิน หรือรีบตัดใจจากคนกลุ่มนี้ สิ่งสำคัญกว่าคือการลองเปลี่ยนมุมมอง หาวิธีใหม่ๆ ในการสนับสนุนและดูแลพวกเขาให้เหมาะกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
1. บริหารด้วย ‘Empathy’ เข้าใจ ไม่ตัดสิน
ผู้นำที่ดีต้องไม่ปล่อยให้ภาพจำในแง่ลบต่อคน Gen Z มาชี้นำการบริหาร ควรตั้งคำถามอย่างจริงใจ อะไรคือสาเหตุเบื้องหลังพฤติกรรมที่ไม่ปกติ เช่น หากพบว่าพนักงานใหม่ดูเงียบหรือเก็บตัว อาจเป็นเพราะขาดทักษะในการสื่อสารกับผู้อื่นจากประสบการณ์ในช่วงโควิด การเปิดพื้นที่ให้พูดคุยในเชิงเข้าใจจึงสำคัญกว่าการตัดสิน
2. เปิดโอกาสใช้ทักษะเทคโนโลยี
ในช่วงที่ต้องอยู่บ้าน คนรุ่นใหม่จำนวนมากพัฒนาทักษะดิจิทัลอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อวิดีโอ สร้างสรรค์คอนเทนต์ หรือการเขียนโค้ด ธุรกิจที่มองเห็นและสนับสนุนการใช้ศักยภาพเหล่านี้ ไม่เพียงดึงดูดใจคนรุ่นใหม่ แต่ยังพลิกโฉมวิธีการทำงานให้ทันสมัยและสร้างนวัตกรรมได้อย่างแท้จริง
3. สร้างพื้นที่สนทนาแบบ Low-Pressure
Gen Z เติบโตมากับการสื่อสารแบบ ‘asynchronous’ เช่น ข้อความ แชต หรืออีเมล การเดินเข้าหาเจ้านายตามนโยบาย ‘open door’ อาจไม่ใช่ทางเลือกที่พวกเขาคุ้นเคย ผู้นำยุคใหม่ควรสร้างโอกาสในการพูดคุยที่ผ่อนคลาย เช่น นัดจิบกาแฟ หรือพูดคุยแบบ one-on-one ผ่านวิดีโอคอล โดยไม่จำเป็นต้องเป็นการประเมินผลงานเสมอไป เพียงแค่ตั้งใจฟังความคิด แรงบันดาลใจ และมุมมองของคนรุ่นใหม่ ก็เพียงพอที่จะสร้าง Engagement ในทีม
4. สร้างวัฒนธรรมองค์กรผ่านกิจกรรมสังคม
ย้อนคิดถึงวันแรกเริ่มทำงานของแต่ละคน—เครือข่ายทางสังคมและความสนิทสนมในที่ทำงานมีส่วนสำคัญต่อความสุขและความสำเร็จ แต่กับ Gen Z ประสบการณ์นี้อาจหายไป ผู้นำควรมีบทบาทสร้างกิจกรรมเพื่อการพบปะพูดคุย เช่น กีฬาสีในออฟฟิศ งานเลี้ยงประจำเดือน หรือแม้แต่การตั้ง ‘Culture Committee’ โดยเปิดโอกาสให้ Gen Z ร่วมออกแบบกิจกรรมตามความสนใจของพวกเขาเอง
5. วางแผนพัฒนาอย่างเป็นระบบ
ที่ผ่านมา หลายองค์กรอาศัยการโค้ชหรือแนะนำกันแบบไม่เป็นทางการ แต่กับ Gen Z การมี ‘Formal Development Plan’ เป็นเรื่องจำเป็น ตั้งแต่หลักสูตรอบรมภายใน/ภายนอก โปรแกรมพี่เลี้ยง (Mentorship) กลุ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์ หรือเวิร์กช็อปเสริมทักษะการพูดต่อหน้ากลุ่ม ซึ่งช่วยเติมเต็มความมั่นใจและศักยภาพของคนรุ่นใหม่ให้พร้อมต่อการเติบโตในองค์กร
หน้าที่ของผู้นำในวันนี้ไม่ใช่เปลี่ยน Gen Z ให้เหมือนกับคนรุ่นก่อน แต่คือการปลดล็อกศักยภาพและผลักดันให้พวกเขาเติบโตเป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดของตนเอง องค์กรที่เข้าใจและปรับตัวได้ จะได้เปรียบทั้งในเรื่องการดึงดูด รักษา และสร้างทีมที่แข็งแกร่งพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงทุกยุคสมัย
Source: WSJ