ในโลกธุรกิจที่หมุนเร็ว การจะรักษาประสิทธิภาพการทำงานให้อยู่ในระดับสูงอยู่เสมอถือเป็นความท้าทายใหญ่ของคนทำงานทุกคน และล่าสุด คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้ออกมาเปิดเผยผลสำรวจ Work Trend Index Annual Report 2025 ที่สำรวจคนทำงานกว่า 31,000 คนจาก 31 ประเทศทั่วโลก รวมถึงเก็บข้อมูลเชิงลึกจากการใช้งาน Microsoft 365 ซึ่งเผยให้เห็นถึงปัญหาเร่งด่วนที่องค์กรต่างๆ โดยเฉพาะในประเทศไทย กำลังเจออยู่พร้อมทั้งวิธีปรับตัว
คนทำงานไทยกำลังเผชิญอะไรอยู่?
ผลสำรวจล่าสุดของ Microsoft ได้ชี้ให้เห็นถึง “จุดเดือด” ของคนทำงานที่น่าสนใจหลายเรื่องเรื่องแรกคือ “Thailand Capacity Gap” หรือ “ช่องว่างทางประสิทธิภาพ”
รายงานพบว่า “ผู้นำองค์กรไทยกระตือรือร้นกว่าค่าเฉลี่ยของโลก” เพราะ 75% ของผู้นำองค์กรในประเทศไทยต้องการเห็นองค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่มีเพียง 53% สะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาศักยภาพขององค์กรอย่างรวดเร็ว แต่ในทางกลับกัน พนักงานไทยถึง 88% บอกว่าหมดพลังแล้ว “ตอนนี้ไม่สามารถทำอะไรไปมากกว่านี้ได้แล้ว ไม่มีเวลาและพลังงานที่จะรับมืองานที่เพิ่มขึ้น” ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 80% นี่คือ “ช่องว่างทางประสิทธิภาพ” ที่เห็นได้ชัดเจนระหว่างความคาดหวังของผู้นำกับความเป็นจริงของคนทำงาน
อีกปัญหาที่คนทำงานเจอซึ่งสำรวจพบจากรายงานก็คือการโดน “ขัดจังหวะ” มากจนเกินไปหรือ Interruptions Overload
ผลสำรวจยืนยันว่าคนทำงานโดยเฉลี่ยถูกแจ้งเตือนจากอีเมล แชท หรือแอปพลิเคชันต่างๆ สูงถึง 275 ครั้งต่อวัน! หรือคิดง่ายๆ คือ ทุกๆ 2 นาที เราจะถูกดึงความสนใจออกจากงาน ทำให้สมาธิกระเจิงและไม่สามารถโฟกัสกับงานสำคัญได้เต็มที่
และอีกเรื่องก็คือการ “ประชุม” ที่กินเวลาที่ดีที่สุดในการทำงานเพราะช่วงเวลาที่คนทำงานมีพลังงานและความคิดสร้างสรรค์สูงสุดคือ 09.00-11.00 น. และ 13.00-15.00 น. แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ “50% ของเวลาทำงานในช่วงนี้หมดไปกับการประชุม”
นี่หมายถึงโอกาสมหาศาลในการสร้างสรรค์งาน คิดกลยุทธ์ หรือพัฒนาไอเดียใหม่ๆ ถูกใช้ไปกับการประชุมที่อาจไม่ก่อให้เกิดประสิทธิผลเท่าที่ควร จากปัญหาเหล่านี้ Microsoft มองว่าถึงเวลาแล้วที่องค์กรต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดและวิธีการทำงานสู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “Frontier Firm Mindset”
“Frontier Firm Mindset” แนวคิดแห่งอนาคต
Microsoft เสนอแนวคิดที่เรียกว่า “Frontier Firm Mindset” วิธีคิดขององค์กรแห่งอนาคตที่นำเทคโนโลยีมาใช้แก้ปัญหาในการทำงานได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ และหัวใจสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่องค์กรแห่งอนาคตก็มีอยู่ 3 เรื่องด้วยกัน คือ
1. ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI
จากหลัก Pareto Principle ที่ว่า 80% ของผลลัพธ์มักมาจาก 20% ของเนื้องาน องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จะนำหลักการนี้มาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยจะโฟกัสให้คนทำงานทุ่มเทไปกับ 20% ของเนื้องานหลักที่สร้างผลลัพธ์80% ของทั้งหมด ส่วนงานจุกจิก ซ้ำซ้อน หรืองานประจำอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์เพียง 20% จะถูกมอบหมายให้ AI Agent และระบบอัตโนมัติต่างๆ เข้ามาจัดการแทน
วิธีนี้ช่วยให้คนสามารถใช้เวลาและพลังงานไปกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และการลงมือทำจริง ทำให้องค์กรทำงานได้ ‘ฉลาดและเฉียบคมกว่าเดิม’ แทนที่จะแค่ ‘ทำงานหนักกว่าเดิม’
2. ปรับมุมมองผังองค์กรใหม่
จากเดิมที่โครงสร้างองค์กรส่วนใหญ่เป็นแบบตายตัวตามแผนก (Organizational Chart) ซึ่งอาจทำให้การทำงานข้ามแผนกติดขัดดังนั้น Frontier Firm จะเปลี่ยนมาใช้ Work Chart ซึ่งเป็นโมเดลที่ยืดหยุ่นและเน้นผลลัพธ์มากกว่า
เมื่อ AI Agent สามารถเข้าถึงความรู้ความสามารถจากทุกส่วนขององค์กรได้โดยไม่จำกัดแผนกการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงสามารถปรับเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง และ เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ ทำให้ทีมขนาดเล็กสามารถรวมตัวกันทำงานได้ตามเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว โดยนำ AI เข้ามาช่วยเติมเต็มทักษะที่ขาดหายไปและขับเคลื่อนงานให้เร็วขึ้น
3. บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน
ในโลกการทำงานยุคใหม่ที่ AI มีความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด องค์กรควรปรับมุมมองและบริหารจัดการ AI Agent ให้เสมือนกับ “พนักงานคนหนึ่งในทีม” AI Agent สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ เรียนรู้ พัฒนา ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ การเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน
การเพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้าง “ทีมมนุษย์และAI” ที่ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีมนุษย์เป็นผู้กำหนดทิศทาง และ AI Agent เป็นผู้ช่วยขับเคลื่อนงานและ Workflow ต่างๆ ให้สำเร็จ นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตขององค์กรในอนาคต
องค์กรไทย เอา AI มาใช้ในแบบ Frontier Firm ได้อย่างไร?
ในงานแถลงข่าว Microsoft ได้เชิญผู้บริหารตัวจริงจาก 3 องค์กรชั้นนำในประเทศไทย มาร่วมแบ่งปันประสบการณ์และ Journey การนำ AI มาปรับใช้
คุณลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์, Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) (SCBX Group) เล่าว่า SCBX ไม่ได้มองแค่การนำเทคโนโลยีมาใช้ แต่เป็นการ “เปลี่ยนความคิดและวัฒนธรรมองค์กร” ทั้งหมด เพื่อให้พนักงานเชื่อว่า AI คือเครื่องมือที่จะมาเสริมสร้างคุณค่าให้กับตัวพนักงานและลูกค้า SCBX โดยเน้นสร้าง DNA องค์กรให้เป็น AI-First ผ่าน 2 กลยุทธ์หลักคือ
- Data Foundation ที่แข็งแกร่ง เริ่มจากการสร้าง DataX ซึ่งรวบรวมข้อมูลทุกอย่างขององค์กรมาไว้ที่เดียว ทำให้ทุกคนเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้
- การพัฒนาคน (People Development): มีการสร้าง Literacy Program พัฒนาความรู้ และสร้าง AI Champion ขึ้นมาในองค์กร ด้วยทิศทางที่ชัดเจนจากผู้บริหารระดับสูง (Top-down) นอกจากนี้ยังมีการจัด AI Enablement Committee เพื่อกำหนดกลยุทธ์ AI และจัดกิจกรรมอย่าง AI Battle แข่งขันการสร้างโซลูชั่น AI หาผู้ชนะไปดูงานต่างประเทศ หรือ AI Showcase ทุกวันศุกร์ให้เหล่า AI Nerd มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน นอกจากนี้ยังเปิดโอกาสให้ CEO ของแต่ละบริษัทในกลุ่ม (ที่มีพนักงานกว่า 30,000 คน) สามารถตัดสินใจพัฒนา AI ของตัวเองได้ด้วย
คุณสัญญา จินดาประเสริฐ, Enterprise Digital Director บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) (SCGC) เน้นในเรื่องของการ “จุดประกายให้พนักงานเป็น AI Explorer”
คุณสัญญา เล่าว่าสิ่งที่ยากที่สุดคือการเริ่มต้น แต่เมื่อปีก่อนได้ริเริ่มโครงการ AILY ซึ่งย่อมาจาก “Everything with AI” โดยมีเป้าหมายที่จะทำให้พนักงานทั้ง White Collar และ Blue Collar จำนวนกว่า 5,000 คนเรียนรู้ AI และกลายเป็น AI Explorer คือการจุดประกายให้พวกเขาไปค้นหาสมบัติ ด้วยตัวเอง SCGC ใช้เวลา 3 เดือนในการ Execute โครงการนี้ โดยทุกคนต้องเรียนรู้และสอบเรื่องประโยชน์และจริยธรรมของ AI ให้ผ่าน 100% รวมถึงต้องลงมือปฏิบัติจริงในการทำงาน
คุณสัญญาเล่าว่าสิ่งที่ได้คือ “Mindset ที่เปลี่ยนไป” พนักงานรู้ว่า AI จะช่วยให้ทำงานดีขึ้น เร็วขึ้น ฉลาดขึ้น และเห็น Use Case ที่ไม่คาดคิด เช่น พนักงานในคลังสินค้าที่อายุ 50-60 ปี อัดเสียงสรุปงานส่งให้ AI แล้วส่งต่อให้กะต่อไปทำงานต่อ หรือบางคนใช้ AI เขียนโปรแกรม Optimize การทำงาน แนวคิดคือ การทำให้เกิด Innovation Outcome ที่ดีขึ้น โดยใน ปัจจุบัน SCGC กำลังพัฒนา AI Agent เพื่อรวบรวมข้อมูลภายนอก (Informatic Information) ที่มีความยาก เพื่อนำข้อมูลจากหลายแหล่งมาไว้ที่ส่วนกลาง ทำให้มีข้อมูลพร้อมใช้ในการประมวลผลและตัดสินใจได้มีประสิทธิภาพ
ด้าน ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย, ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เล่าถึงการใช้ AI แก้ปัญหาการทำงานและตอบโจทย์ราชการ ในฐานะหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบการยกร่างกฎหมาย ตรวจร่าง และให้ความเห็นทางกฎหมาย ซึ่งมีความท้าทายเรื่องงบประมาณ และการทำให้การให้ความเห็นทางกฎหมายมีประสิทธิภาพ รวมถึงการแก้ปัญหาภายในเพื่อให้ข้าราชการมี Work-Life Balance ด้วย
ดร.ณรัณ เล่าว่าจุดเปลี่ยนสำคัญคือช่วงโควิด-19 ที่เร่งให้ต้องก้าวสู่ Digital Transformation เมื่อเห็นความจำเป็นในการนำเทคโนโลยีมาช่วยในการแก้ปัญหา กฤษฎีกาเป็นหน่วยงานแรกๆ ที่ใช้ Microsoft Teams ในการประชุมคณะรัฐมนตรีเลยทีเดียว สำหรับงานหลักคือการประชุมและการจดรายงานการประชุม เดิมเจ้าหน้าที่ต้องอัดเทป ถอดเทปทำรายงานประชุมที่ยาวมาก แต่ตอนนี้ใช้ Copilot มาช่วยสรุปการประชุมได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ปัจจุบัน กฤษฎีกากำลังนำ AI มาใช้กับ Workflow ต่างๆ เช่น การเปลี่ยนข้อมูลกฎหมายจาก PDF เป็น Structured Data ทำให้การนำ AI มาใช้เป็นไปอย่างรวดเร็ว และมีโปรเจกต์กับหน่วยงานรัฐเพื่อสร้าง Agentic AI ที่ช่วยเปรียบเทียบกฎหมายต่างๆ เพื่อลดความผิดพลาดในการออกกฎหมายใหม่ๆ ด้วย
หลักการสู่ Frontier Firm Mindset
ผู้บริหารทุกท่านเน้นย้ำถึงเรื่องความรับผิดชอบและการควบคุม AI ที่สำคัญมากๆโดยเฉพาะ Human in the loop ที่มีความสำคัญเสมอ แม้ AI จะเก่งแค่ไหน แต่คนยังต้องตรวจสอบและตัดสินใจขั้นสุดท้าย โดยเฉพาะงานสำคัญๆ จะต้องออกแบบให้มี Human Interlude หรือการแทรกแซงของมนุษย์ หรือมีคนร่วมพิจารณาเสมอ เพื่ออนุมัติผลลัพธ์ที่ AI สร้างขึ้นมา เพราะไม่มีทางที่เทคโนโลยีจะมาแทนที่คนได้ทั้งหมด ความรับผิดชอบยังคงอยู่กับผู้ใช้งานเสมอ
อีกเรื่องคือ ความโปร่งใสและข้อมูลลับ ต้องมี Policy ที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เน้นเรื่อง ความโปร่งใสในการใช้ข้อมูลเช่นการได้รับ Consent จากลูกค้าเสมอและการจัดการ Confidential Data (ข้อมูลลับ) ให้ปลอดภัย เช่น การใช้ Internal App เพื่อให้ข้อมูลไม่รั่วไหล
สุดท้ายที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องวัฒนธรรมองค์กรและผู้นำ เพราะทุกบริษัทที่ต้องการนำ AI มาใช้ต้องมี วัฒนธรรมองค์กรที่ยอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆรวมถึงการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงก็เป็นสิ่งที่จำเป็น รวมไปถึงการมีวิธีคิดโครงการที่ไม่ต้องรอให้โปรเจกต์ซับซ้อนใหญ่โต แต่ให้เริ่มจากสิ่งที่ง่ายๆ และเป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในองค์กรก่อน
งานในครั้งนี้ Microsoft แสดงความมั่นใจว่า “Frontier Firm Mindset” จะเป็นอนาคตของการทำงาน ที่ AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่เครื่องมือ แต่เป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวข้ามขีดจำกัดเดิมๆได้ และยังเป็นโอกาสสำคัญที่จะยกระดับศักยภาพและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในโลกที่หมุดเร็วมากขึ้นอย่างทุกวันนี้