‘ช่วงกลางชีวิตยาวขึ้น-ขาดความผูกพัน-ต่อต้านอัลกอริทึม’ Mintel เผยแนวโน้มผู้บริโภคทั่วโลกปี 2026 ที่แบรนด์ต้องคิดว่าจะตอบโจทย์อย่างไร

  • 5
  •  
  •  
  •  
  •  

มินเทล (Mintel) ผู้ให้บริการด้านข้อมูลเชิงลึกทางการตลาด เปิดเผยรายงาน Mintel 2026 Global Consumer Predictions ซึ่งชี้ทิศทางสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภคที่จะเกิดขึ้นภายในปี 2030 และต่อเนื่องไปในอนาคต

รายงานฉบับนี้นำเสนอแนวโน้มใหญ่ 3 ประการ ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับบุคคลและสังคม ตั้งแต่วิธีที่เรามอง “วัยของชีวิต” ไปจนถึง “ความสัมพันธ์” และ “ความไว้ใจต่อเทคโนโลยี”

The New Young (คนรุ่นใหม่ในความหมายใหม่)

เมื่ออายุขัยของมนุษย์ยาวนานขึ้น จุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องเดินตามเส้นเดิมอีกต่อไป “ช่วงกลางชีวิต” กลายเป็นช่วงเวลาที่ยืดออกและมีความยืดหยุ่นมากกว่าเดิม ผู้คนเริ่มหลุดออกจากกรอบความคาดหวังตามอายุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน หรือการเกษียณ ภายในปี 2030 การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรจะชัดเจนขึ้น และส่งผลต่อทุกระบบ ตั้งแต่การศึกษา การวางแผนการเงิน ไปจนถึงวิธีที่ผู้คนมองคุณค่าของชีวิต

ชีวิตในอนาคตจึงไม่ได้ถูกแบ่งเป็นช่วงวัยที่ตายตัว แต่กลายเป็นเส้นทางที่ต่อเนื่องและปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลา ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับ “ตอนนี้” มากขึ้น พร้อมใช้จ่ายเพื่อประสบการณ์ที่เติมเต็มชีวิตในขณะที่ยังมีพลังและเวลาเพลิดเพลินกับมัน แบรนด์ที่มองตลาดเพียงในกรอบวัยหนุ่มสาวหรือวัยเกษียณอาจพลาดโอกาสใหญ่ เพราะ “ช่วงกลางชีวิต” กำลังกลายเป็นช่วงเวลาทองของการเริ่มต้นใหม่

เราจะได้เห็นผู้คนวัย 30–60 ปีลุกขึ้นมาเปลี่ยนชีวิตอีกครั้ง บางคนย้ายประเทศ เปลี่ยนอาชีพ กลับมาออกเดต หรือทำตามความฝันที่เคยพักไว้ แบรนด์ที่เข้าใจผู้บริโภคกลุ่มนี้จะมีโอกาสสร้างคุณค่าใหม่ ผ่านผลิตภัณฑ์ บริการ และเรื่องราวที่ทำให้ “การเริ่มต้นใหม่” เป็นสิ่งที่จับต้องได้และน่าตื่นเต้น

ตัวอย่างในเอเชียแปซิฟิกเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้น ตั้งแต่บาริสตาสูงวัยในเกาหลีใต้ ไปจนถึงอินฟลูเอนเซอร์วัย 71 ปีอย่าง Lolo Drip จากฟิลิปปินส์ หรือแม้แต่ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศไทยที่วางแผนเปิดรับพนักงานอายุ 60 ปีขึ้นไปกว่า 400,000 คนภายในปี 2030 

The Affection Deficit (ภาวะขาดความผูกพัน)

การใช้ชีวิตออนไลน์อย่างต่อเนื่องเปลี่ยนวิธีที่ผู้คนเข้าสังคมไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้หลายคนรู้สึกโดดเดี่ยวและขาดการเชื่อมโยงทางอารมณ์ ภายในปี 2030 ช่องว่างระหว่าง “การถูกเห็น” กับ “การถูกเข้าใจ” จะยิ่งกว้างขึ้น ความรักและความเอาใจใส่กำลังถูกประเมินจากมุมของ “ความคุ้มค่า” การสื่อสารออนไลน์ที่รวดเร็วและง่ายกลายเป็นทางเลือกแทนความสัมพันธ์จริงที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม

แบรนด์จึงมีบทบาทสำคัญในการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างผู้คนกับความผูกพันที่แท้จริง หากอยากรักษาความสัมพันธ์ในโลกจริง แบรนด์ต้องช่วยลด “ต้นทุนของความผูกพัน” (affection cost) ทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงการเชื่อมโยงได้ง่ายขึ้น

ผู้บริโภคเริ่มมองหาวิธีแสดงความรักและความห่วงใยในรูปแบบใหม่ๆ เช่น ความสัมพันธ์ที่เลือกเอง (chosen affection) การดูแลกันในชุมชน การเลี้ยงสัตว์เลี้ยง และการรักตัวเอง สิ่งเหล่านี้ช่วยเติมเต็มความมั่นคงทางอารมณ์นอกเหนือจากความสัมพันธ์แบบดั้งเดิม

ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แบรนด์หลายแห่งสร้างนวัตกรรมใหม่โดยนิยามพื้นที่ของความผูกพันในรูปแบบต่างๆ เช่น ศูนย์รวมหลายเจเนอเรชัน (intergenerational hubs) ศูนย์สุขภาพ หรือแอปพลิเคชันสนับสนุนการสูงวัย ในจีนและญี่ปุ่น มีแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ช่วยให้ผู้สูงอายุมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมมากขึ้น ขณะที่ในอินเดีย แนวโน้มการดูแลตนเองและสุขภาวะชุมชนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

Anti-Algorithm (ต่อต้านอัลกอริทึม)

อัลกอริทึมเริ่มต้นจากความสะดวกและความชาญฉลาด แต่วันนี้ผู้บริโภคเริ่มตั้งคำถามว่า สิ่งเหล่านี้ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้นจริงหรือกลับซับซ้อนกว่าเดิม ภายในปี 2030 ด้านมืดของการปรับให้เหมาะที่สุด (optimization) จะทำให้เกิดความไม่สมดุลระหว่างความสะดวกและอำนาจในการตัดสินใจ เทคโนโลยีที่ขาดความโปร่งใสจะได้รับความนิยมลดลง เพราะผู้คนอยากควบคุมข้อมูลและอัตลักษณ์ดิจิทัลของตัวเองมากขึ้น

ผู้บริโภคยุคใหม่กำลังมองหาแพลตฟอร์มที่ให้พวกเขาเข้าใจ แก้ไข หรือแม้แต่ร่วมสร้างอัลกอริทึมที่มีผลต่อชีวิตประจำวัน กระแสนี้เริ่มเห็นชัดในเอเชียแปซิฟิก ตัวอย่างเช่น แบรนด์ The Whole Truth ในอินเดีย ที่ถอนตัวจากโซเชียลมีเดียชั่วคราวเพื่อลด “ความเหนื่อยล้าอัลกอริทึม” (algorithm fatigue) ก่อนกลับมาเน้นการมีส่วนร่วมที่มีความหมาย ในขณะที่บริษัทอย่าง Meituan ในจีนกำลังปรับสมดุลระหว่างประสิทธิภาพของระบบอัตโนมัติและแนวปฏิบัติที่ให้ความสำคัญกับมนุษย์

แบรนด์ที่ใช้พลังของอัลกอริทึมเพื่อสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์แทนการตามกระแสเพียงอย่างเดียว จะสามารถสร้างทั้งความนิยมระยะสั้นและความภักดีระยะยาว ผู้บริโภคจะเริ่มกำหนดมาตรฐานใหม่ของความไว้วางใจดิจิทัลจากประสบการณ์ที่ให้ความรู้สึกจริง แต่สุดท้ายจิตใจของมนุษย์จะยังคงเป็นตัวตัดสินว่าความสัมพันธ์ใดรู้สึกถูกต้อง ไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำงานได้ตามระบบ


  • 5
  •  
  •  
  •  
  •  
CLOSE
CLOSE