ในยุคปัจจุบันที่การตลาดมุ่งไปสู่ดิจิทัล หลายคนมองว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ต้นทุนน้อยและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เพราะการจะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำเป็นต้องมีข้อมูล (Data) ที่เพียงพอ แล้วถ้าใครคิดว่าแค่มีเพียง Data ก็สามารถทำการตลาดในรูปแบบดิจิทัลได้แล้วละก็ คงต้องกลับไปคิดใหม่ เพราะโดยธรรมชาติของคนความคิดเกิดการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น วันนี้ชอบสุนัข แต่พรุ่งนี้อาจจะเป็นทาสแมว หรือวันนี้อยากได้แต่พรุ่งนี้เปลี่ยนใจไม่อยากได้แล้ว
นั่นคือความผกผันในตัวตนของแต่ละคน ซึ่ง Data ส่วนใหญ่ที่ได้มาไม่สามารถคาดการณ์อะไรได้เลย แม้ว่าข้อมูลที่อยู่ในมือจะบอกว่า เขากำลังสนใจสิ่งใดก็ตาม ในความเป็นจริงแล้วความสนใจสามารถเปลี่ยนแปลงได้เมื่อมีปัจจัยมากระทบ เหมือนเช่นดั่งทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า Chaos Theory หรือแปลได้ว่าคือ ทฤษฎีความผกผันอย่างไร้รูปแบบจนยากต่อการคาดเดาได้
เพราะในยุคนี้คนเราเปลี่ยนแปลงความคิดตัวเองได้เร็วกว่าแสง นั่นจึงทำให้หลายครั้งที่การทำตลาดแบบ Digital กลับไม่ได้ผลอย่างที่คาดคิด เพราะการเปลี่ยนแปลงหนึ่งอย่างอาจส่งผลกระทบต่ออะไรมากมายหลายอย่างแบบทฤษฎี Butterfly Effect เด็ดดอกไม้สะเทืองถึงดวงดาว นั่นจึงเกิดการรวมตัวกันของ 2 กูรูแห่งโลกการตลาดและดิจิทัลภายใต้บริษัท Chaos Theory

โดย คุณกษมาช นีรปัทมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Chaos Theory หรือที่หลายคนรู้จักในชื่อ “พี่มาช” ชี้ว่า Chaos Theory หรือทฤษฎีไร้ระเบียบ เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงลักษณะพฤติกรรมของระบบการเปลี่ยนแปลง โดยลักษณะการเปลี่ยนแปลงนี้เรียกว่า เคออส (Chaos) จะมีลักษณะคล้ายกับว่าไร้ระเบียบ แต่จริงๆ แล้วเป็นระบบที่มีระเบียบ
ซึ่ง Chaos Theory เป็นผู้ให้บริการ Audience Intelligence ครั้งแรกในประเทศไทย เป็นการปฏิวัติบริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Intelligence) ที่ถือเป็นหนึ่งในอาวุธสำคัญในการวางแผนกลยุทธ์การตลาดในปัจจุบัน
และเพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกให้ลึกและแม่นยำยิ่งกว่าเดิม Chaos Theory จึงให้บริการด้วย 4 บริการหลักทั้ง Cognitive Platform, Psychographic Analysis, Data Analysis และ Insight Consultant

ขณะที่ คุณฉกาจ ชลายุทธ Co-Founder & Visionary Chaos Theory หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โมเล็ก” อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ ว่า สิ่งที่ Chaos Theory ทำคือการนำ Data ที่เป็น Open Data ทั้งจากใน Social Media จากทาง Pantip จากทางเว็บไซต์ต่างๆ และจากทาง Context ที่เกี่ยวกับตลาดหุ้น ราคาน้ำมัน ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เห็นถึงอารมณ์และความต้องการของผู้บริโภคที่แท้จริง
โดยใช้เวลาในการเก็บข้อมูลและออกแบบแพลตฟอร์มเป็นระยะเวลา 3 ปี จนถึงขณะนี้พร้อมให้บริการแล้ว โดยมีคลังข้อมูลมหาศาลกว่า 1,000 ล้านข้อมูล (ข้อความ,ภาพ, เสียง, วิดีโอ รวมถึงข้อมูลที่อื่นๆ ปรากฎบนโลกออนไลน์) และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งระบบของ Chaos Theory จะเน้นการหาความเข้าใจของคนเป็นหลัก มากกว่าเรื่อง Reach มีจำนวนเท่าไหร่ หรือไม่สนใจปริมาณ (Quantity) แต่จะสนใจคุณภาพ (Quality)
การทำตลาดด้านดิจิทัลมีความท้าทายในเรื่องของการวัดผล โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ซึ่งในทฤษฎีการตัดสินใจซื้อ มักจะมาจากสิ่งที่เรียกว่า “โดน” ซึ่งการโดนมักเกิดมาจาก 3 ปัจจัยหลักๆ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยจากการตัดสินใจแบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นผลมาจากจิตใต้สำนึกชนิดที่เรียกว่า ซื้อโดยไม่ตั้งใจ ซื้อแบบวู่วาม ซื้อแบบไม่ทันได้คิดอะไรทั้งสิ้น รู้ตัวอีกทีของสิ่งนั้นก็อยู๋ในมือหรือเตรียมจัดส่งแล้ว
ขณะที่ปัจจัยต่อมาจะเป็นการตัดสินใจในช่วงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะหรือเป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคต้องการพอดีสิ่งนั้นอยู่พอดี ซึ่งเทคโนโลยีของ Chaos Theory สามารถคาดการณ์ความต้องการของผู้บริโภคได้ และปัจจัยสุดท้ายเกิดจากสิ่งที่เรียกว่าพลาดแล้วจะเสียใจ เช่น Limited Edition โดยทั้ง 3 ปัจจัย จะมีความเกี่ยวข้องกับสภาวะบุคลิกของคน
ซึ่งในทางจิตวิทยาจะแบ่งบุคลิกของคนออกเป็น 5 ประเภท ที่เรียกว่า ประกอบไปด้วย Openness หรือบุคคลที่เปิดรับสิ่งใหม่ๆ Conscientiousness หรือคนที่ตั้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้บนเหตุผล Extraversion หรือคนที่ชอบเข้าสังคม Agreeableness หรือเป็นคนที่ชอบเห็นใจคน Neuroticism หรือคนที่คิดมากมีความกังวล
หลักการทำงานของ Chaos Theory จะเป็นการนำข้อมูลจาก 3 องค์ประกอบหลักทั้ง Graph Social ที่คอยจับตามความเคลื่อนไหวของโซเชียล รวมไปถึงรูปแบบการโพสต์ของกลุ่มเป้าหมาย Psychographic ที่จะช่วยให้เข้าใจถึงบุคลิกของกลุ่มเป้าหมาย และ Big Data ข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายมาประมวลผลและคาดการณ์สิ่งที่เขากำลังสนใจ และจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในอนาคต
ดังที่กล่าวไปแล้วว่า บริการของ Chaos Theory จะเน้นการให้บริการใน 4 ด้านหลัก ประกอบด้วย Cognitive Platform ซึ่งจะเป็นบริการที่มุ่งเน้นหาว่า กลุ่มเป้าหมายของลูกค้าเป็นใคร มีความน่าสนใจอย่างไร มีบุคลิกลักษณะอย่างไร และในอนาคตจะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไหร่ ตามสภาวะเศรษฐกิจหรือฤดูกาลขาย เพื่อช่วยในการบริหารจัดการขายหรือการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
Psychologic Insight มุ่งเน้นการทำนายพฤติกรรมผู้บริโภคออกเป็นเซ็กเมนท์ต่างๆ ตามหลักการของ OCEAN Model นอกจากนี้ยังมุ้งเน้นทำความเข้าใจกับความเคลื่อนไหวต่างๆ บนโลกโซเชียล (Social Movement) เมื่อมีประเด็นร้อนเกิดขึ้น ระบบจะวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้น อัตราการแพร่กระจายเร็วแค่ไหน และคาดการณ์ว่าจะจบลงเมื่อไหร่ มีปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดประเด็นไวรัลนั้น และหากจะทำให้เกิดปรากฎการณ์หรือเหตุการณ์นั้นซ้ำๆ จะต้องสร้างสภาวะแวดล้อมอย่างไรให้เหมาะสมที่จะเกิดไวรัลนั้นได้
Data Analysis บริการวิเคราะห์ข้อมูลและนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดมากกว่าเคย หรือใช้ได้เต็มประสิทธิภาพ 100% และเพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยวัตถุประสงค์หลักเพื่อชี้ชัดหรือระบุได้ว่าคนที่มาซื้อสินค้าหรือบริการเป็นใครกันบ้าง ไม่ต้องทำการตลาดแบบหว่านแหอีกต่อไป Data Research งานบริการวิจัยข้อมูล และให้คำปรึกษาในทุกเรื่องที่ลูกค้าอยากทราบเกี่ยวกับข้อมูลที่มี ว่าจะเก็บข้อมูลนั้นอย่างไร ด้วยวิธีการไหน
โดยปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายของ Chaos Theory จะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่และ Agency ในรูปแบบของ Third Data รวมไปถึงหน่วยงานราชการ ซึ่งในอนาคตมีแผนขยายการให้บริการไปสู่กลุ่มธุรกิจ SME ซึ่งความลึกของข้อมูลขึ้นอยู่กับแพ็คเกจที่ลูกค้าเลือกใช้ นอกจากนี้ยังมีแผนในการขยายธุรกิจไปสู่ภูมิภาคอาเซียนในอนาคต
คุณโมเล็กยังกล่าวเสริมว่า ด้วยระบบของ Chaos Theory จะช่วยค้นหาคำต่างๆ ที่บ่งบอกถึงอารมณ์ของผู้โพสต์ในช่วงเวลานั้นๆ แบบเป็นภาษาไทยและถือเป็นจุดแข็งของ Chaos Theory เนื่องจากภาษาไทยเป็นภาษาที่อยู่ในกลุ่มภาษาที่ซับซ้อนและยากอันดับต้นๆ ของโลก ทำให้ระบบ AI ในต่างประเทศไม่คุ้นชินกับภาษาไทย ทำให้ระบบ AI ของ Chaos Theory เข้าถึงภาษาไทยได้ง่ายกว่าระบบ AI ที่มาจากต่างประเทศ