บริษัทแคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) เดินหน้าปฏิวัติตลาดงานพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน imageFORCE Series 4 รุ่นใหม่ที่มาพร้อมเทคโนโลยี AI และฟีเจอร์ 4 แกนหลัก พร้อมโชว์ศักยภาพ “Made in Thailand” จากโรงงานปราจีนบุรี
แคนนอนมาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเครื่องพิมพ์ในภูมิภาคเอเชียด้วยการเปิดตัวเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน Canon imageFORCE Series 4 รุ่นใหม่ที่ผสานนวัตกรรม AI ล้ำสมัยเข้ากับ 4 แนวคิดหลัก ได้แก่ ความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัยข้อมูล การเชื่อมต่อครอบคลุม และการพัฒนาอย่างยั่งยืน
ความท้าทายตลาดงานพิมพ์ยุค Hybrid Work
ในยุคที่รูปแบบการทำงานเปลี่ยนแปลงไปสู่ Hybrid Work นายฮิโรชิ โยโกตะ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร อธิบายว่า “ความน่าเชื่อถือ ความมั่นคงปลอดภัย และการเชื่อมต่อออนไลน์ ได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในธุรกิจทุกประเภท” สะท้อนถึงความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่ต้องการโซลูชันที่ตอบโจทย์การทำงานแบบผสมผสานระหว่างที่บ้านและออฟฟิศ
โรงงานไทย ฐานการผลิตระดับโลก
จุดแข็งสำคัญของแคนนอนคือการมีโรงงานผลิตในจังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งปัจจุบันผลิตเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน 20 รุ่น และกำลังเพิ่มการผลิต imageFORCE Series อีก 9 รุ่นภายในปี 2568 นายมาโกโตะ นากามูระ ประธานบริษัทแคนนอนปราจีนบุรี เผยว่าโรงงานใช้ระบบอัตโนมัติทันสมัยและวัสดุรีไซเคิลกว่า 30%
การวิเคราะห์: การมีฐานการผลิตในประเทศไทยเป็นข้อได้เปรียบเชิงแข่งขันที่สำคัญ ช่วยลดต้นทุนการขนส่ง ควบคุมคุณภาพได้ดีกว่า และสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
4 ฟีเจอร์หลักที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่
- Reliability (ความน่าเชื่อถือ)
ระบบวิเคราะห์ AI แบบเรียลไทม์สามารถวิเคราะห์ประสิทธิภาพและแจ้งเตือนการบำรุงรักษาเชิงรุก พร้อมเทคโนโลยี E2 Analysis ที่ช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาจากระยะไกลก่อนที่จะเกิดขึ้น
- Security (ความปลอดภัย)
ระบบความปลอดภัยแบบ 360° ประเมินความปลอดภัยอย่างต่อเนื่องและแนะนำการตั้งค่าที่เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมองค์กร
- Connectivity (การเชื่อมต่อ)
รองรับการใช้งานร่วมกับบริการ Cloud ชั้นนำ เช่น Google Drive, Dropbox, OneDrive รวมถึง Microsoft Teams และ SharePoint Online
- Sustainability (ความยั่งยืน)
ใช้วัสดุรีไซเคิลสูงถึง 30% พร้อมเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน
การครองตลาดอย่างต่อเนื่อง
แคนนอนรักษาตำแหน่งอันดับ 1 ในตลาดเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันเลเซอร์ A3 และ A4 ในภูมิภาคเอเชียมาแล้ว 7 ปีซ้อน ด้วยส่วนแบ่งตลาดเครื่องถ่ายเอกสารขาวดำ 28% และเครื่องถ่ายเอกสารสีกว่า 20%
นายพงศพร กรอบสนิท ผู้ช่วยผู้อำนวยการส่วนงานบิสซิเนส อิมเมจจิ้ง โซลูชั่น เผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ตลาดเครื่องถ่ายเอกสารสีคาดว่าจะมียอดจำหน่ายสูงถึง 25,000 เครื่องในปี 2568 เพิ่มขึ้น 127% จากปี 2562 อีกทั้งยังมีผู้ใช้งานกว่า 60% มองว่าการพิมพ์ยังจำเป็นในการสื่อสารกับลูกค้า
นวัตกรรมเด่นที่น่าจับตา
เทคโนโลยี D² Exposure ใช้อุปกรณ์การผลิตจอแสดงผล OLED ในการพิมพ์ มอบคุณภาพระดับพรีเมียมด้วยความละเอียดสูงถึง 4,800 x 2,400 dpi
เทคโนโลยี E2 Analysis ระบบวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI ที่ช่วยในการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (Predictive Maintenance) ลดเวลาหยุดชะงักและค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซม
4 รุ่นใหม่ที่เตรียมเปิดตัว
- imageFORCE C5100 – เครื่องพิมพ์ A3 สีความเร็วสูง พร้อมระบบ AI อัจฉริยะ
- imageFORCE 6100 – เครื่องพิมพ์ A3 ขาวดำ ตอบสนองทีมงานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
- imageFORCE C7165 – เครื่องพิมพ์สี รุ่นเรือธงประสิทธิภาพสูงสุด
- imageFORCE C3150 – เครื่องพิมพ์สี ดีไザน์กะทัดรัดสำหรับออฟฟิศขนาดกลาง (วางจำหน่ายพฤศจิกายน 2568)
บทวิเคราะห์: กลยุทธ์ที่คาดการณ์อนาคตได้
แคนนอนแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจลึกซึ้งในเทรนด์ตลาดผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงตอบสนองความต้องการปัจจุบัน แต่ยังคาดการณ์ความต้องการในอนาคตได้อย่างแม่นยำ การผสานเทคโนโลยี AI เข้ากับฟังก์ชัน Predictive Maintenance เป็นการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาด เนื่องจากช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานให้กับองค์กรลูกค้าในระยะยาว
การเน้นความยั่งยืนผ่านการใช้วัสดุรีไซเคิล 30% และเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน สอดคล้องกับรายงาน Quocirca ที่ระบุว่า 69% ของลูกค้าคาดหวังให้พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจมีส่วนร่วมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ฐานการผลิตในประเทศไทยที่สามารถผลิตได้ 29 รุ่น (20 รุ่นปัจจุบัน + 9 รุ่นใหม่) แสดงถึงความมั่นใจในศักยภาพแรงงานไทยและเป็นการวางตำแหน่งประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการผลิตเทคโนโลยีการพิมพ์ของภูมิภาค
การรักษาส่วนแบ่งตลาดในระดับสูงต่อเนื่อง 7 ปี ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค สะท้อนถึงความสามารถในการปรับตัวและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการที่แท้จริงของตลาด
ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม การเปิดตัว imageFORCE Series 4 คาดว่าจะกระตุ้นการแข่งขันในตลาดเครื่องพิมพ์ไทย โดยเฉพาะในกลุ่ม AI-enabled printing solutions และอาจเป็นแรงผลักดันให้คู่แข่งรายอื่นเร่งพัฒนาเทคโนโลยีที่คล้ายคลึงกัน เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่กำลังเติบโต