คนทำเว็บต้องอ่าน เพราะ 70% ของโฆษณาบนเว็บไซต์ในไทยนั้นมาจากการซื้อสื่อผ่านเอเยนซี่โฆษณา ฉะนั้น คนทำเว็บฯทั้งหลายควรแบ่งเวลา วางคู่มือตำราเทคนิคมาอ่านเรื่องนี้ จะได้รู้ใจเอเยนซี่กัน !
การทำเว็บที่ดีได้อย่างยั่งยืนนั้น ส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นต้องมีโฆษณา เพื่อที่จะหารายได้มามากพอที่จะหล่อเลี้ยงชีวิต ความตั้งใจ และให้เป็นค่าเวลาของคนทำ หรืออย่างน้อยๆ ที่สุดก็เป็นค่าใช้จ่ายเบื้องต้นทั้งการเช่าโฮสต์ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ค่าไฟของคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ก
ที่จริงแล้ว เว็บดีๆ กับโฆษณานั้นไปด้วยกันได้ และแม้ว่าเราจะทำเว็บแค่ตัวคนเดียว เป็นเจ้าของคนเดียวไม่ได้เป็นองค์กรบริษัท แต่การทำเว็บดีๆ ให้มีโฆษณาจนเป็นอาชีพหลักนั้นไม่ใช่เรื่องยากยิ่งแต่อย่างใด
เอเยนซี่เลือกซื้อโฆษณาในเว็บอย่างไร?
การจะทำเว็บให้มีสมดุลระหว่างโฆษณา (เอาใจสปอนเซอร์เพื่อรายได้) กับเนื้อหา (เอาใจผู้อ่าน เพราะถ้าไม่มีผู้อ่าน ก็ไม่มีโฆษณามาลง) นั้นจัดว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง ซึ่งหากต้องเลือกจริงๆ แล้ว ในระยะยาวเจ้าของเว็บควรจะต้องแคร์ผู้อ่านหรือผู้ใช้ของตัวเองมากกว่าสิ่งใดๆ
เมื่อมองอย่างกว้างๆ แล้ว เว็บนั้นก็เป็นสื่อชนิดหนึ่งเหมือนรายการทีวี หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร เราจะเห็นว่ารายการทีวีก็มีตั้งแต่ข่าวที่วัยรุ่นขึ้นไปถึงผู้ใหญ่ดูกันทุกเพศทุกวัย กับมีรายการรถที่มีผู้ชมน้อยกว่าข่าวมากแถมส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ชาย แต่รายการเกี่ยวกับรถก็ยังขายโฆษณาได้ และโฆษณาในรายการก็ไม่พ้นรถ อุปกรณ์ น้ำมันเครื่อง ฯลฯ
หรือหนังสือพิมพ์ก็มีทั้งหัวสีที่มีสารพัดคอลัมน์อ่านได้ทุกเพศวัย และก็มีทั้งหนังสือพิมพ์กีฬา หนังสือพิมพ์พระเครื่อง ซึ่งโฆษณาที่ลงในหนังสือพิมพ์หัวสีอาจจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป แต่โฆษณาที่ลงในหนังสือพิมพ์เฉพาะทางก็ย่อมแตกต่างและเจาะลึกไปตามกลุ่มเป้าหมายของสื่อ ซึ่งก็คือกลุ่มเป้าหมายของสินค้าผู้ลงโฆษณาไปด้วยเช่นกัน
เช่นเดียวกับเว็บ ไม่ว่าจะเว็บที่มีคนเข้าชมนับแสนคนต่อวัน หรือบล็อกที่มีคนมาอ่านวันละไม่กี่พันครั้ง ก็เป็นที่สนใจของเอเยนซี่โฆษณาและเจ้าของสินค้าทั้งนั้น แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเนื้อหา นั่นคือ ถ้าเป็นเว็บที่มีเนื้อหากว้างๆ ทั่วๆ ไป ไม่มีกลุ่มเป้าหมายชัดเจน เช่น เว็บรวมลิงก์ข่าวที่น่าสนใจประจำวัน หรือเว็บรวมเรื่องตลกคลายเครียดที่อ่านได้ทุกเพศทุกวัยล่ะก็ ก็ต้องมีตัวเลขผู้เข้าชม (Unique Visitor หรือ Unique IP) และตัวเลขหน้าเว็บทั้งหมดที่ถูกเข้าชม (Page View หรือ PV) ที่มากกว่าเว็บเฉพาะทางทั่วไป ถึงจะเป็นที่สนใจของเอเยนซี่กับเจ้าของแบรนด์สินค้า และหาโฆษณามาลงได้
ข้อมูลตัวเลขหัวใจสำคัญของธุรกิจสื่อ ไม่ว่าจะเป็นสื่อแบบไหน ก็คือ เรตติ้ง แต่ถ้าเป็นสื่อเว็บล่ะก็ ข้อมูลเรื่องนี้จะละเอียดซับซ้อนและมีชื่อเรียกเฉพาะอยู่สักหน่อย แต่เป็นบันไดขั้นแรกที่คนวงการนี้ทุกคนจะต้องรู้จักและสนใจ
ข้อมูลสถิติที่ใช้กันในการจะตัดสินใจเลือกซื้อหรือไม่ซื้อ และใช้คำนวณยอดรายได้รายจ่ายค่าโฆษณากันนี้ แบ่งได้เป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ
ชนิดแรก ข้อมูลทางเทคนิคที่ระบบเซิฟเวอร์จะบันทึกและรายงานให้เราได้อัตโนมัติ ก็เช่น ยอดผู้เข้าชม จำนวนหน้าทั้งหมดที่ถูกเปิดอ่าน ผู้ชมมาจากในประเทศหรือต่างประเทศ ใช้เว็บบราวเซอร์ประเภทไหน คลิกที่โฆษณาหรือเปล่า เปิดดูคลิปหรือไม่ ฯลฯ
และต้องเกริ่นกันไว้ตั้งแต่ต้น ก็คือข้อมูลเหล่านี้มีผลโดยตรงกับเม็ดเงินที่จ่ายกันจริง ฉะนั้นมันจะต้องถูกนับถูกตรวจโดยเซิร์ฟเวอร์ของหน่วยงานที่เป็นกลาง เช่น Truehits, Google Analytic, Alexa และอีกหลากเว็บหลายระบบ
ชนิดที่สอง ข้อมูลทางประชากรศาสตร์และพฤติกรรมของผู้เข้าชมเว็บ อาจจะฟังดูหนักและเป็นวิชาการ แต่อธิบายว่าอธิบายได้ง่ายๆ ว่าข้อมูลทางประชากรศาสตร์นี่ก็เช่น เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ ระดับรายได้ ฯลฯ
ส่วนข้อมูลพฤติกรรมนี่ เรียกง่ายๆ เก๋ๆ ได้ว่าเป็นข้อมูลไลฟ์สไตล์ (Lifestyle) เช่นเดือนๆ หนึ่งทานอาหารนอกบ้านกี่ครั้ง ชอบทานอาหารแบบไหน ชอบใช้สบู่เหลวหรือสบู่ก้อน ฯลฯ สุดแท้แต่ว่าสินค้าเจ้าของโฆษณาเป็นประเภทไหนและอยากรู้อะไร
ข้อมูลชนิดที่สอง ทั้งเชิงประชากรและไลฟ์สไตล์ เป็นหน้าที่ของท่านเจ้าของเว็บหรือคนทำเว็บต้องหามาให้ได้นะครับ เช่นอาจจะจัดตอบแบบสอบถามแล้วแจกของที่ระลึกหรือชิงรางวัลใหญ่ แต่ถ้าแยบยลจูงใจกว่านั้นสุดแท้แต่จะสร้างสรรค์กลยุทธ์ออกมา
ทำเว็บให้พร้อมรับงบโฆษณาอย่างมืออาชีพ
เอเยนซี่และบริษัทใหญ่ๆ จะสนใจลงโฆษณาในเว็บไซต์ที่พร้อมรับรูปแบบโฆษณาที่เป็นมาตรฐาน ส่วนเจ้าของ/ผู้ดูแลเว็บก็ควรต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้พอที่จะ “คุยกันรู้เรื่อง”
ในเว็บไซต์ของคุณนั้นควรจะเตรียมไว้เลย 1 หน้า หน้า “Ad Info Page” นี้ควรจะมีลิงค์ปรากฏชัดเจนจากหน้าแรก เพราะนักโฆษณาหรือคนทำงานเอเจนซี่นั้นงานยุ่งมีเวลาน้อยอยู่แล้ว หากเขากำลังสนใจในเว็บคุณก็ควรจะได้ข้อมูลสำคัญพวกนี้ง่ายและไวที่สุด
ตัวลิงก์ต้องเขียนบอกไว้ชัดเจน ซึ่งที่นิยมเขียนกันก็เช่น “สนใจลงโฆษณา คลิกที่นี่”, “ติดต่อโฆษณา”, “Advertisement”, หรือ “Advertising” ที่จะบอกสิ่งที่นักโฆษณาต้องรู้ก่อนจะตัดสินใจจัดสรรงบโฆษณามาลงกับเว็บของคุณ หรือที่เรียกว่า “Ad Info Page” ที่ต้องระบุข้อมูลหลายอย่างดังนี้
- ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเว็บไซต์และผู้ดูแลเว็บ
- ข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้ชมเว็บไซต์
- ข้อมูลเกี่ยวกับค่าสถิติ ความนิยมของเว็บไซต์
- ข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบและราคาค่าโฆษณา
- ข้อมูลบุคคลติดต่อเมื่อจะลงโฆษณา
- ข้อมูลลูกค้าที่เคยลงโฆษณากับเว็บไซต์
ซึ่งแต่ละข้อมีสิ่งที่ต้องทำดังนี้
ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเว็บไซต์และผู้ดูแลเว็บ
- ชื่อเจ้าของ หรือผู้ดูแลเว็บ ประวัติย่อ (Profile) ของผู้ดูแลเว็บหรือข้อมูลบริษัท
- เลขทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ถ้ามี)
- ประวัติการก่อตั้งและดำเนินงานของเว็บไซต์ คร่าวๆ รวมถึงเกียรติประวัติหรือรางวัล (ถ้ามี)
กลุ่มผู้ชมเว็บไซต์
เพื่อให้ผู้ที่กำลังพิจารณาตัดสินใจลงโฆษณาได้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเว็บเราเป็นคนกลุ่มไหนและมีไลฟ์สไตล์ รสนิยมแบบไหน เพื่อจะได้ดูว่าตรงกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้า บริการที่จะลงโฆษณาหรือไม่
เนื้อหาของเว็บจะบ่งบอกได้ระดับหนึ่งว่ากลุ่มผู้เข้าชมของคุณเป็นกลุ่มไหน เช่น เว็บเกี่ยวกับการแต่งรถซิ่งก็มักจะมีวัยรุ่นชายที่ฐานะค่อนข้างดีเข้ามาเล่นเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเว็บสอนแต่งหน้าหรือจัดดอกไม้นั้นก็ย่อมจะมีผู้หญิงวัยมหาวิทยาลัยขึ้นไปถึงวัยทำงานเข้ามาอ่านมาดู
แต่ถึงจะรู้อย่างนี้แล้ว เอเยนซี่โฆษณาก็มักจะยังไม่พอใจ ต้องการรู้มากกว่านี้อีกเพื่อที่จะไปเตรียมทำแผนยุทธศาสตร์บริหารสื่อ (Strategic planning) ให้ลูกค้าเชื่อถือและยอมจัดงบก้อนโตให้ และเพื่อที่สุดท้ายแล้วแคมเปญโฆษณาจะได้ผลอย่างที่พูดกันว่าทั้ง “ถึงกลุ่ม” และ “คุ้มเงิน”
แต่ปกติแล้วระบบเว็บเซิร์ฟเวอร์จะเก็บไว้แค่เลขไอพี เวลาที่เข้าชม และการเข้าออกจากลิงค์ต่างๆ เท่านั้น ไม่อาจที่จะรู้ไปถึงขั้นที่ว่ากลุ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์เป็นเพศใดวัยไหน
ทางแก้ที่นิยมกันนั้นมี 2 ทาง คือ ทำระบบสมาชิก และทำแบบสอบถาม หรือจะทำทั้ง 2 อย่างก็ยิ่งเป็นการดี
ระบบสมาชิก
เช่นการมี Webboard หรือ Forum ที่ต้องลงทะเบียนเท่านั้นถึงจะอ่านได้ แต่ที่นิยมกันมากกว่าคือให้ทุกคนมีสิทธิอ่านโดยไม่ต้องสมัครสมาชิก ทั้งนี้ เพื่อดึงคนให้รู้จักและอ่าน
หลังจากนั้น เมื่อคนคุยกันมากๆ เข้าก็อยากตอบอยากถกเถียงแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ ด้วย และบัดนั้นเองผู้อ่านถึงจะต้อง Register หรือ Sign-up ลงทะเบียนสมัครสมาชิกในที่สุด
นอกจากสิทธิในการโพสข้อความแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็ควรให้สิทธิพิเศษอื่นๆ เช่น ใช้บริการหรือเครื่องมือได้มากกว่าผู้อ่านทั่วไป มีสิทธิเข้าร่วมกิจกรรม มีส่วนลดบางอย่าง หรือมีของที่ระลึกของรางวัลบ้าง
ของรางวัลหรือของที่ระลึกนี้ ส่วนใหญ่นิยมหาจากสปอนเซอร์ จะได้ทั้งประหยัดเงินเจ้าของเว็บ และโฆษณาให้สปอนเซอร์ไปด้วยในตัว ทั้งนี้อาจจะเป็นสินค้าทดลองใช้ของทางสปอนเซอร์เอง หรือเป็นแค่ของพรีเมี่ยม เช่น ปากกา พวงกุญแจ หรือถ้วยติดตราสปอนเซอร์ เพราะถ้าสมมติเป็นแบรนด์รถเก๋งหรือหมู่บ้านก็คงยากมากที่จะยอมแจกมาเป็นของรางวัลให้เว็บไซต์ไม่ใช่สื่อแมสแบบทีวีหรือหนังสือพิมพ์
แต่หากยังไม่มีสปอนเซอร์แต่มีงบและอยากแจก ก็อาจจะทำเป็นถ้วยกาแฟหรือปากกาติดตราเว็บไซต์เราเอง ติดตราและ URL ที่อยู่เว็บเอาไว้ให้ชัดเจน หากมีสโลแกนคำขวัญก็ใส่ไว้ด้วย
การสร้างฐานสมาชิกแบบนี้เป็นเรื่องระยะยาวที่สั่งสมไปตลอดอายุขัยของเว็บ ยิ่งนานยิ่งมากก็เป็นสินทรัพย์ที่มีค่ามหาศาล
ซึ่งที่สหรัฐอเมริกานั้นเวลามีดีลซื้อขายเว็บไซต์กันมูลค่าเป็นล้านๆ ดอลลาร์นั้น ส่วนสำคัญส่วนใหญ่ก็เป็นมูลค่าของฐานสมาชิกเหล่านี้นี่เอง เพราะต้องใช้เวลานานถึงจะให้ผู้ใช้คุ้นเคยและยอมรับเว็บไซต์หนึ่งๆ ถึงขนาดสมัครเป็นสมาชิกได้
รายชื่อเหล่านี้เจ้าของเว็บก็สามารถนำไปต่อยอดทางการตลาดได้สารพัด และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะดึงดูดนักโฆษณาให้มาลงทุนกับเว็บเราได้
ส่วนอื่นๆ ที่เหลือเช่นเทคโนโลยี คนทำงาน หรือดีไซน์ ล้วนพัฒนาตามทันกันได้ไม่ช้านานหากว่าเงินถึง แต่จะเป็นเว็บที่ดึงดูดคนมาเป็นแฟนประจำได้มากๆ นั้นไม่ใช่ว่าเงินจะซื้อได้ในระยะเวลาอันสั้น
แบบสอบถาม
บางครั้งเราอยากรู้เรื่องเฉพาะกิจ ถามเฉพาะอย่าง เช่น คุณเดินห้างสัปดาห์ละกี่วัน หรือบางครั้งก็อาจจะอยากสำรวจละเอียดเจาะลึกด้วยคำถามเยอะเป็นหน้าๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ได้ถามไว้ในจอสมัครสมาชิก
ทางออกคือทำแบบสอบถามออนไลน์ ซึ่งมักจะตั้งช่วงเวลาตอบไว้แค่สั้นๆ เช่นจาก 1 สัปดาห์ขึ้นไปถึงไม่เกิน 2-3 เดือน และต้องมีของรางวัลหรืออย่างน้อยก็ของที่ระลึกให้ผู้ตอบ เช่น แจกให้ 100 คนแรก และทั้งแบบที่สุ่มแจก ไม่อย่างนั้นพอครบ 100 คนไปแล้วก็คงไม่มีใครมาตอบอีก เมื่อได้ข้อมูลของกลุ่มผู้อ่านมาแล้ว ที่เหลือก็ต้องมาจัด มานำเสนอข้อมูลให้ครบถ้วนสวยงามเข้าใจง่ายแบบมืออาชีพไว้ในหน้า “Ad Info Page” ด้วย เช่นนำเสนอเป็นชาร์ตวงกลมสัดส่วนร้อยละต่างๆ และแผนภูมิรูปภาพหรือตารางก็สุดแล้วแต่ข้อมูลที่มี
ค่าสถิติความนิยมของเว็บไซต์
เพื่อให้ผู้ที่กำลังพิจารณาลงโฆษณาได้ทราบว่าจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์มีมากน้อยเพียงไร เพื่อจะได้พิจารณาเปรียบเทียบผลที่อาจได้รับกับมูลค่าโฆษณา เว็บไซต์ควรระบุข้อมูลดังต่อไปนี้
- จำนวนหน้าเว็บเพจที่ถูกเปิดชม (Page Views) เฉลี่ยต่อเดือน รวมทั้งเว็บไซต์ และแยกย่อยในแต่ละส่วนของเว็บไซต์
- จำนวนหน้าผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Unique Visitors) เฉลี่ยต่อเดือน รวมทั้งเว็บไซต์ และแยกย่อยในแต่ละส่วนของเว็บไซต์ ทั้งนี้ ค่า Unique Visitors ให้วัดจำนวน IP ที่ไม่ซ้ำกันในช่วงเวลา 1 วัน หรือหากใช้ความถี่อื่นให้ระบุด้วยว่าความถี่ในการวัดผลเป็นเท่าไร (รายวัน ราย 12 ชม. ราย 6 ชม. หรืออื่นๆ)
- จำนวนสมาชิกลงทะเบียนในระบบทั้งหมด
- ข้อมูลว่าค่าสถิติดังกล่าว ได้มาอย่างไร จากหน่วยงานกลาง บุคคลที่สาม (Third Party) หรือจากระบบสถิติภายในของเว็บไซต์เอง ถ้าเป็นระบบภายในให้ระบุด้วยว่าใช้ซอฟต์แวร์ใดทำงานอย่างไรในการวัดค่าสถิติ
รูปแบบและราคาค่าโฆษณา
- รูปแบบ ขนาด ควรเป็นไปตามมาตรฐาน ควร ระบุตำแหน่ง ของชิ้นโฆษณาให้เห็นชัดเจน และมีภาพตัวอย่างประกอบ
- ราคา ควรใช้รูปแบบการคิดราคา Cost Per Impression (CPM) คือคิดราคาต่อการแสดงผลโฆษณา โดยทั่วไปนิยมแสดงราคาต่อ 1,000 ครั้ง (CPM) เช่น ราคา 200CPM หมายถึงค่าโฆษณาเป็น 200 บาท ต่อการแสดงผลโฆษณา 1,000 ครั้งเป็นต้น แตกต่างจาก Cost Per Click (CPC) ที่คิดราคาต่อจำนวนครั้งที่มีคนคลิกโฆษณา
- อีกทางเลือกคือ Fixed Fee (คิดเหมาเป็นรายเดือน) ชิ้นโฆษณาควรยึดติดคงที่ หรือถ้าเป็นโฆษณาเวียน หลายชิ้นงานลงในตำแหน่งเดียวกันโดยสุ่มแสดงผล (Rotated Banner) ก็ต้องระบุว่า เวียนกี่ชิ้นแต่ไม่ควรมากเกินไปจนชิ้นที่อยู่คิวหลังๆ ตกจากสายตาผู้ใช้
- หรือคิดค่าโฆษณาสูงกว่าเมื่อมีธุรกรรมหรือการสั่งซื้อเกิดขึ้นจริง เรียกว่า Cost Per Lead หรือ Commission คิดราคาเมื่อผู้ชมเว็บไซต์ ซื้อสินค้า หรืออย่างน้อยแสดงความต้องการจะซื้อสินค้า เช่นหากมีผู้เข้ามาจ่ายเงินจองโรงแรมผ่านเว็บของคุณ บริษัทท่องเที่ยวก็จะแบ่งรายได้ให้คุณด้วย
- เทียบราคากับคู่แข่งที่มีเนื้อหาและกลุ่มเป้าหมายใกล้เคียงกัน และพิจารณามากน้อยตามยอดผู้เข้าชมและสถิติอื่นๆ ด้วย โดยอาจดูได้จากอันดับใน Truehits.net ซึ่งเอเยนซี่ไทยใช้พิจารณาเป็นสำคัญ เช่นในหมวดเดียวกันนั้น เว็บที่อันดับสูงกว่า ย่อมได้ค่าโฆษณาสูงกว่า
และในหลายกรณีแม้เจ้าของเว็บจะกำหนดราคา CPM CPC หรือ CPL ไว้ แต่ในที่สุดก็ต้องใช้อัตรามาตรฐานที่กำหนดมาจากเอเยนซี่มากกว่า
บุคคลติดต่อเมื่อจะลงโฆษณา
ควรประกอบด้วย
- ชื่อ
- อีเมล์ (ถ้าให้ติดต่อทางอีเมล์ ต้องมั่นใจว่าเป็นอีเมล์ที่ใช้งานได้อยู่เสมอ)
- หมายเลขโทรศัพท์ ที่ติดต่อได้
- หมายเลขโทรสาร (ถ้ามี)
- ที่อยู่ (อาจเปิดเผยหรือไม่ก็ได้ แต่การเปิดเผยจะช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ลงโฆษณา)
- เลขทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ถ้ามี) ทั้งนี้เว็บไซต์ อาจทำแบบฟอร์มสำหรับแจ้งความต้องการลงโฆษณาด้วยก็ได้ แต่ควรเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวข้างต้นให้เห็นชัดเจนด้วยเช่นกัน
ลูกค้าที่เคยลงโฆษณากับเว็บไซต์
ให้ผู้ที่กำลังพิจารณาลงโฆษณาได้รู้ว่าเคยมีสินค้าบริการแบรนด์ไหนลงโฆษณากับเว็บไซต์ของเราแล้วบ้าง ทำให้เกิดความน่าเชื่อถือได้มากขึ้น
แต่ละรายๆ นั้นควรเขียนในรูปแบบ “เรื่องราวความสำเร็จ” หรือ “Success Story” สั้นๆ เล่าถึง 3 ประเด็นคือ รายละเอียดเกี่ยวกับแคมเปญโฆษณา ระยะเวลาที่ลงโฆษณา และผลตอบรับ/ผลสำเร็จจากการลงโฆษณา
Do & Don’t
กติกา มารยาท เจ้าของสินค้ากับเอเยนซี่คาดหวังจากเจ้าของเว็บในการลงโฆษณา
- ไม่ควรวางเนื้อที่ลงโฆษณาไว้ตำแหน่งที่เห็นไม่ชัด ไม่ดึงดูดสายตา หรือดูปะปนกับเนื้อหาอย่างยุ่งเหยิง
- ไม่ควรเปลี่ยนตำแหน่งและขนาด Banner ไปมา ซึ่งถือเป็นการไม่รักษาสัญญาทางธุรกิจไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่
- ไม่ควรลง Banner ของสินค้าหรือบริการหนึ่งๆ ประกบหรือใกล้กับคู่แข่ง
- ไม่ควรให้หน้าหนึ่งๆ มี Banner โฆษณามากเกินไปจนทำลายเนื้อหาทำให้ผู้เข้าชมเบื่อหน่ายและสุดท้ายจะย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าของโฆษณาเอง ซึ่งทางออกคือให้มีการหมุนป้ายโฆษณา (Banner Rotation)
- ควรเตรียมเนื้อที่ลงโฆษณาไว้ด้วยขนาดมาตรฐาน เช่น 468 คูณ 60 pixel เพื่อให้สะดวกต่อผู้ลงโฆษณาที่ไม่ต้องมาปรับขนาด banner ยืดหดตามแต่ละเว็บ โดยเฉพาะแบรนด์ระดับโลกที่ต้องลงเว็บหลากหลายในประเทศต่างๆ
Source: Ecommerce Magazine