ดีลอยท์ ประเทศไทย (Deloitte) เปิดผลสำรวจ Deloitte Global 2025 Gen Z and Millennials Survey พบคนรุ่นใหม่ทั่วโลก และคนไทย ให้ความสำคัญกับ “Trifacta: 3 คุณค่าหลักที่กำหนดความสุขของคนรุ่นใหม่” ได้แก่ “รายได้ (Money) – ความหมายของาน (Meaning) – ความเป็นอยู่ที่ดี (Well-being)” ทั้งยังพบว่าคนทำงานรุ่นใหม่ในไทย เรียนรู้และใช้ Gen AI อย่างแพร่หลาย เพื่อลดภาระงาน เพิ่มความคล่องตัว ความรวดเร็ว
3 คุณค่าหลักในมุมมองคนรุ่นใหม่ทั่วโลก
จากการสอบถามกลุ่มตัวอย่างคนทั่วโลก 23,500 คน ครอบคลุม 44 ประเทศทั่วโลก ในจำนวนนี้กลุ่มตัวอย่างในประเทศไทย 330 คน (เก็บข้อมูลระหว่างตุลาคม – ธันวาคม 2024) แบ่งเป็น Gen Z กลุ่มคนอายุ อายุ 18-30 ปี คือ คนกำลังจะเรียนจบ ไปจนถึงคนที่ทำงานมาแล้วในช่วงหนึ่ง และ Gen Y (Millennials) อายุ 30-42 ปี คือ กลุ่มคนทำงานแล้ว จนถึงกลุ่มวัยกลางคน พบว่า
– 90% ของ Gen Y เป็นพนักงานประจำ
– ขณะที่ Gen Z ทำงานรูปแบบหลากหลาย ทั้งงานประจำ งานพาร์ทไทม์ และฟรีแลนซ์
คนรุ่นใหม่ทั้ง 2 กลุ่มบอกตรงกันว่าเป้าหมายในอาชีพ คือ Trifecta 3 คุณค่าหลักที่ส่งผลต่อการทำงานของคนรุ่นใหม่ทั่วโลก คือ
– รายได้ (Money): 60% ของ Gen Z และ 68% ของ Gen Y บอกว่ารายได้ที่มั่นคงสัมพันธ์กับความสุข
– ความหมายในการงาน: 52% ของ Gen Z และ 59% ของ Gen Y บอกว่ามีคุณค่าการทำงานที่สอดคล้องกับตนเองทำให้มีความสุขที่ดีด้วย
– ความเป็นอยู่ที่ดี: 50% ของ Gen Z และ 60% ของ Gen Y บอกว่าองค์กรที่ส่งเสริมให้มีสุขภาพจิตดี, องค์กรที่มีโอกาสให้เติบโต และองค์กรที่มี Work-life Balance ที่ดี ส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีตามมา
จากผลสำรวจคนรุ่นใหม่ทั่วโลกดังกล่าว พบว่า การเงินสัมพันธ์กับความสุขมากที่สุด รองรองมาคือ ความหมายในการงาน และความเป็นอยู่ที่ดี โดย Gen Y ให้ความสำคัญกับคุณค่าทั้ง 3 ด้านมากกว่า Gen Z อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งอาจสะท้อนถึงประสบการณ์ชีวิตและการทำงานที่มากกว่า
Gen Z – Gen Y ชาวไทย: ใช้เงินเดือนชนเดือน – ทำงานเสริม – มีชั่วโมงการทำงานยาว สาเหตุความเครียด
สำหรับข้อมูลในประเทศไทย พบว่า
1. การเงิน: ค่าครองชีพยังเป็นประเด็นหลอกหลอนคนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง
– “ค่าครองชีพ” (Cost of Living) ยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้คนรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยความกังวล 3 อันดับแรกของ Gen Z และ Gen Y ในประเทศไทยที่ตรงกันคือ
– ค่าครองชีพ
– การเติบโตทางเศรษฐกิจ
– ความปลอดภัยทางไซเบอร์
นอกจากนี้ยังมีความกังวลด้านสิ่งแวดด้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และการดูแลสุขภาพ
ขณะที่ความมั่นคงทางด้านการเงินของคนไทยเทียบกับค่าเฉลี่ยโลก พบว่า Gen Z และ Gen Y ระบุว่าตนเองใช้ชีวิตแบบ “เดือนชนเดือน” (ไม่เหลือให้ออม) สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก
– 63% ของ Gen Z และ 64% ของ Gen Y ในไทยใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ซึ่งอยู่ที่ 52%
ขณะเดียวกัน Gen Z และ Gen Y ในไทย 25% ยังระบุว่าตนเองยังต้องดิ้นรนในการใช้จ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดในแต่ละเดือน ซึ่งแม้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก ซึ่งอยู่ที่ 36% แต่กลับสะท้อนถึงแรงกดดันทางการเงินที่ยังมีอยู่
นอกจากนี้ยังพบว่า 27% ของคนไทยกังวลว่าอาจไม่สามารถเกษียณได้อย่างมีความมั่นคงทางการเงิน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก อยู่ที่ 42% สะท้อนว่า คนรุ่นใหม่ไทยยังคงให้ความสำคัญกับประเด็นทางการเงินในระยะสั้น มากกว่าการวางแผนระยะยาวเพื่ออนาคต เช่น การออมเพื่อเกษียณอายุ
2. ความหมายในการทำงาน: คนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับ “Sense of Purpose” ขององค์กรและงานที่ทำ
สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อความรู้สึกถึงเอกลักษณ์ของตนเองในหมู่คนรุ่นใหม่ Gen Z และ Gen Y ไทย พบว่า 3 อันดับแรก ซึ่งมีสัดส่วนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโลก คือ
– 54% ให้ความสำคัญกับเพื่อนและครอบครัว
– 46% ให้ความสำคัญกับงานหลัก
– 32% กิจกรรมทางวัฒนธรรรม
ขณะที่ 2 ปัจจัยที่คนไทยมีสัดส่วนสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก คือ งานเสริม/อาชีพเสริม และการออกกำลังกาย
– 32% ของ Gen Z และ 27% ของ Gen Y ไทยมองหาหรือทำงานเสริม/อาชีพเสริมไปด้วย ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก อยู่ที่ 14%
– 32% ของ Gen Z และ 30% ของ Gen Y ไทยให้ความสำคัญกับการออกกำลังกาย สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกเล็กน้อย อยู่ที่ 25%
ส่วนมุมมองด้านความเชื่อของ Gen Z และ Gen Y ไทย พบว่า
– 62% ของ Gen Z และ 56% ของ Gen Y ไทย ระบุว่าพวกเขาปฏิเสธที่จะทำงานกับนายจ้างที่ดำเนินธุรกิจไม่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่อยู่ที่ 40% อย่างชัดเจน
– 37% ของ Gen Z และ 45% ของ Gen Y เห็นด้วยกับการที่จะลาออกจากงาน หากงานนั้นไม่สอดคล้องกับความเชื่อ หรือหลักที่ยึดถือเป็นสิ่งสำคัญในชีวิต โดยตัวเลขนี้อยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยโลก ซึ่งอยู่ที่ 45%
ประเด็นนี้สะท้อนถึงคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากขึ้นกับ “คุณค่าร่วม” และภาพลักษณ์ขององค์กร องค์กรต่าง ๆ จึงควรตระหนักว่า ปัจจัยด้านค่านิยมและความเชื่อมีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจของคนรุ่นใหม่ ทั้งในแง่ของการเลือกงานและการอยู่กับองค์กรในระยะยาว
โดยคนรุ่นใหม่เกือบทั้งหมดเห็นตรงว่า “Sense of Purpose” ความรู้สึกว่าการทำงานของตนเองมีคุณค่าและเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความพึงพอใจในการทำงานและคุณภาพชีวิตโดยรวม ดังนั้นองค์กรควรทำความเข้าใจความต้องการของคนรุ่นใหม่ เพื่อดูแล รักษา และพัฒนาศักยภาพของบุคลากร
3. ความเป็นอยู่ที่ดี: 1 ใน 3 ของคนไทยเครียด–กังวลเกือบตลอดเวลา
ปัจจัยนำสู่ความเครียด Top 5 ของ Gen Z และ Gen Y ไทย ประกอบด้วย
– การเงินในชีวิตประจำวัน
– ภาระภายในครอบครัว
– สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว
– สุขภาพส่วนตัว
– อนาคตทางการเงินในระยะยาว
จาก 5 ปัจจัยที่คนไทยกังวลมากสุด พบว่ามี 4 ปัจจัยที่ Gen Z เครียด หรือกังวลสูงกว่า Gen Y ได้แก่
– การเงินในชีวิตประจำวัน
– ภาระภายในบ้าน หรือการดูแลครอบครัว
– สุขภาพส่วนตัว
– อนาคตทางการเงินระยะยาว
ขณะที่ความกังวลที่ Gen Y สูงกว่า Gen Z คือ สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของครอบครัว เนื่องจากพ่อแม่ หรือผู้ปกครองของ Gen Y เข้าสู่วัยผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันลูกๆ เริ่มโต ดังนั้น Gen Y ซึ่งเป็นคนที่อยู่ตรงกลาง จึงรู้สึกกังวลกับสองปัจจัยดังกล่าวมากกว่า Gen Z
นอกจากนี้ยังพบว่ามากกว่า 1 ใน 3 ของคนทำงาน Gen Z และ Gen Y ระบุว่า งานเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่สร้างความเครียด โดยสาเหตุหลักมาจาก
– ชั่วโมงการทำงานที่ยาวนาน
– ไม่มีเวลาเพียงพอในการทำงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยคนทำงานรุ่นใหม่รู้สึกว่ามีงานเร่ง หรืองานด่วนเข้ามาตลอด ทำให้เกิดความเครียดที่ต้องเร่งทำงานให้ทันกำหนดส่ง
– การไม่รู้สึกถึงความหมายในงาน หรือเป้าหมายในการทำงาน
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนว่า Gen Z มีระดับความเครียดในทุกมิติเหนือกว่า Gen Y อย่างชัดเจน โดยอาจกล่าวได้ว่า Gen Y สามารถรับมือกับแรงกดดันในที่ทำงานได้มากกว่า
ขณะเดียวกันยังพบว่าหลายองค์กรทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านประสิทธิภาพการบริหารจัดการ แม้พนักงานจะมีชั่วโมงการทำงานเป็นเวลายาวนาน แต่กลับไม่สามารถทำงานเสร็จ หรือสร้างผลลัพธ์ที่ชัดเจนได้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่หลายองค์กรต้องเร่งออกแบบแนวทางรับมืออย่างเป็นระบบ
แนวทางหลักที่องค์กรทั่วโลกกำลังดำเนินการ คือ การให้หัวหน้างาน หรือผู้บริหารช่วยวางแผนงานที่เหมาะสม สร้างบรรยากาศการทำงานที่ดี องค์กรร่วมกันวางแผนจัดระเบียบงาน เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน เช่น นำเทคโนโลยี AI เข้ามา และโฟกัสการสร้างงานที่เน้นคุณค่าตามเป้าหมายขององค์กร
อย่างไรก็ตาม คนไทยรุ่นใหม่ประมาณ 80% เชื่อว่านายจ้างให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงานอย่างจริงจัง ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกอย่างมีนัยสำคัญ (61%) สะท้อนให้เห็นว่าองค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยมีการปรับตัว ให้การสนับสนุนด้านสุขภาพจิตมากขึ้น และที่สำคัญ คือ พนักงานสามารถรับรู้ได้ถึงความตั้งใจดังกล่าว
คนไทยรุ่นใหม่ใช้ Gen AI แพร่หลาย ลดภาระงาน – เพิ่มคุณภาพชีวิต
ข้อมูลจาก World Economic Forum คาดการณ์ว่าภายในปี 2030 เทคโนโลยี Automation, AI จะมาแทนที่ตำแหน่งงานประมาณ 92 ล้านตำแหน่ง แต่ขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับการสร้างตำแหน่งงานใหม่มากกว่า 170 ตำแหน่งงานทั่วโลก
แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับผลสำรวจ Deloitte Global 2025 Gen Z and Millennials Survey พบว่า
– 89% ของ Gen Z และ 81% ของ Gen Y ไทย บอกว่าเคยใช้ Gen AI ช่วยในการทำงาน
– 3 อันดับแรกที่คนไทยรุ่นใหม่ทั้ง 2 เจนเนอเรชั่นนิยมใช้ Gen AI คือ การวิเคราะห์ข้อมูล, การออกแบบและความคิดสร้างสรรค์, การสร้างเนื้อหา
– Gen Z ใช้ Gen AI ในกิจกรรมประจำวันมากกว่า ในขณะที่ Gen Y มีแนวโน้มในการใช้งาน Gen AI ที่หลากหลายกว่า และมีการใช้งานบางด้านที่สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาซอฟต์แวร์ และการสร้างเนื้อหา
จากข้อมูลข้างต้นนี้ สะท้อนถึงรูปแบบการใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวที่กำลังกลายเป็นเรื่องปกติในที่ทำงาน แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง ยังมีคำถามสำคัญว่า องค์กรและบุคลากรมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงนี้มากน้อยเพียงใด
– 1 ใน 4 ของคนทั้ง 2 เจนเนอเรชั่น ได้รับการฝึกอบรมการใช้ Gen AI แล้ว ขณะที่อีกราวครึ่งหนึ่งหรือมากกว่า วางแผนจะเข้ารับการอบรมภายใน 12 เดือนข้างหน้า
เมื่อเจาะลึกมุมมองคนรุ่นใหม่ไทยที่มีต่อ Gen AI แบ่งเป็นด้านบวกและข้อกังวล พบว่า
– ด้านบวก: 90% ของคนรุ่นใหม่ไทยมองว่า Gen AI ช่วยลดเวลาในการทำงาน ทำงานได้สะดวกขึ้น เร็วขึ้น ทำให้เกิดสมดุลชีวิตดีขึ้น
– ด้านลบ: ประมาณ 3 ใน 4 กังวลว่าอาจทำให้งานน้อยลง
– 85% เห็นว่าต้องเลือกงานที่มีความเสี่ยงน้อยจากระบบอัตโนมัติ
เป็นการสะท้อนว่า GenAI กำลังเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการทำงานขององค์กรอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในด้านข้อมูลและการวิเคราะห์ แต่ขณะเดียวกันยังเน้นให้เห็นถึงความจำเป็นในการพัฒนา Soft Skills ที่เทคโนโลยีไม่อาจทดแทนได้ เช่น การทำงานร่วมกับผู้อื่น การสื่อสาร และการตัดสินใจ
จากข้อมูลข้างต้น ในภาพรวมองค์กรต่าง ๆ ยังเผชิญกับความท้าทายในการบริหารจัดการการใช้งานเทคโนโลยีใหม่นี้ ว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่รู้สึกว่างานของตนถูกลดทอนคุณค่า
นอกจากนี้ผลสำรวจครั้งนี้ยังพบว่า 10% ของ Gen Z และ 20% ของ Gen Y ในประเทศไทยไม่ได้ทำงานในสายอาชีพที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก โดยเหตุผลหลักของการเปลี่ยนสายอาชีพ คือ
– ต้องการรายได้ที่ดีกว่า ซึ่งพบในกลุ่ม Gen Y สูงถึง 60% เมื่อเทียบกับ Gen Z ที่ 30%
– สถานการณ์ตลาดแรงงาน
– ภาระความรับผิดชอบต่อครอบครัว
– ความสนใจที่เปลี่ยนแปลง หรือโอกาสเริ่มต้นทำธุรกิจ พบว่า Gen Z สูงกว่า Gen Y สะท้อนว่า Gen Z ยังคงอยู่ในช่วงการสำรวจตัวเองและเปิดรับโอกาสใหม่ ๆ ขณะที่ Gen Y เริ่มมุ่งเน้นความมั่นคงตามประสบการณ์ที่สั่งสมมา
ขณะที่เป้าหมายทางอาชีพ Gen Z และ Gen Y ในไทย พบว่า
– อยากบรรลุอิสรภาพทางการเงิน
– เรียนรู้และพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง
– รักษาสมดุลระหว่างการทำงานและการมีชีวิตที่ดี (Work-life balance)
อย่างไรก็ตามการเติบโตเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาของตัวเอง ซึ่งปกติมักถูกมองว่าเป็นเป้าหมายสำคัญในโลกการทำงาน กลับได้รับความสนใจจากกลุ่มสำรวจคนไทยน้อยที่สุด
สำหรับการพัฒนาทักษะของตัวเองนั้น พบว่า 85% ของ Gen Z และ 83% ของ Gen Y ระบุว่าตนเองมีการพัฒนาทักษะเพื่อความก้าวหน้าในสายอาชีพอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยทั้ง 2 เจน มีแนวทางการเรียนรู้ที่ใกล้เคียงกัน
– เรียนรู้จากการทำงานจริง (On the job training)
– การเรียนรู้จากเพื่อนร่วมงานที่มีประสบการณ์
– Workshop หรือสัมมนาในอุตสาหกรรมเดียวกัน
– โปรแกรมฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ
– การให้คำปรึกษาและคำแนะนำจากคนมีประสบการณ์
– การประชุมเชิงปฏิบัติการ หรือเรียนรู้จากคนในอุตสาหกรรมเดียวกัน
ส่วนทักษะที่คนไทยรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ ได้แก่
– ทักษะด้านดิจิทัล เช่น โซเชียลมีเดียและการตลาดดิจิทัล (Gen Z: 96%, Gen Y: 90%)
– ทักษะการจัดการบริหาร (Gen Z: 96%, Gen Y: 93%)
– ทักษะความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Gen Z: 93%, Gen Y: 90%)
สำหรับมุมมองต่อทักษะที่ช่วยเพิ่มโอกาสในสายอาชีพนั้น Gen Z ในไทยให้ความสำคัญกับ 3 ทักษะหลัก ได้แก่ ทักษะด้านดิจิทัล, ทักษะจัดการเวลา และทักษะด้านการจัดการความยั่งยืน ขณะที่คน Gen Y ในไทยให้ความสำคัญกับความรู้เฉพาะทางมากกว่า
เมื่อเปรียบเทียบกับผลสำรวจระดับโลกพบว่า ทั้ง Gen Z และ Gen Y เห็นตรงกันว่า ทักษะการจัดการเวลาและความรู้เฉพาะทางตามอุตสาหกรรม เป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตในสายอาชีพ สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของแรงงานไทย ที่ยังให้ความสำคัญกับทักษะดิจิทัลในภาพรวม มากกว่าการลงลึกในอุตสาหกรรมเฉพาะทาง
คนไทยอยากเรียนต่อ แต่กังวลเรื่องคุณภาพการศึกษาและค่าใช้จ่าย
คนรุ่นใหม่ในประเทศไทยยังคงให้ความสำคัญกับการศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 31% โดยมีเพียง 16% เท่านั้นที่ระบุว่าไม่ได้วางแผนศึกษาต่อ โดยเหตุผลหลัก 3 ข้อแรกของผู้ที่ไม่ศึกษาต่อ ได้แก่
1. สถานการณ์ครอบครัวหรือส่วนตัว
2. ข้อจำกัดด้านการเงิน
3. ความต้องการเรียนรู้ในรูปแบบที่ยืดหยุ่น และสอดคล้องกับเงื่อนไขของตนเอง
ขณะที่ระบบการศึกษาในระดับอุดมศึกษาและบัณฑิตศึกษาที่คนรุ่นใหม่ไทยกังวล ได้แก่
– คุณภาพการศึกษา
– ค่าเล่าเรียนสูง
– โอกาสได้รับประสบการณ์จริงยังน้อย
– ความสอดคล้องของหลักสูตรกับความต้องการของตลาดงาน
– ทางเลือกการเรียนรู้ยังขาดความยืดหยุ่น
สำหรับแนวทางที่นายจ้าง หรือองค์กรสนับสนุนการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่ได้ มี 3 แนวทางหลัก ได้แก่
1. การสร้างโปรแกรมการเรียนรู้ภายในองค์กรโดยเฉพาะ พร้อมจัดสรรเวลาให้พนักงานเรียนรู้ได้โดยไม่กระทบกับภาระงาน ซึ่งแนวทางนี้ได้รับการสนับสนุนจากคน Gen Z (34%) เทียบกับ Gen Y (25%) โดยแสดงถึงความคาดหวังที่แตกต่างกันในกลุ่มคนรุ่นใหม่
2. การอำนวยความสะดวกในการแบ่งปันความรู้ระหว่างเพื่อนร่วมงาน
3. การเปิดโอกาสให้หมุนเวียนงานหรือเข้าร่วมฝึกงาน
นอกจากนี้ยังพบว่านอกจากการเรียนรู้จากที่ทำงาน และเพื่อนร่วมงานแล้ว คนรุ่นใหม่ในไทยยังมองหาความรู้ใหม่ ๆ ที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตในการย้ายงานในอนาคตด้วยเช่นกัน
“ทั้ง Gen Z และ Gen Y ถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร องค์กรใดที่สามารถสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมและคุณค่าที่สอดคล้องกับคนรุ่นใหม่ได้ดีกว่า จะสามารถดึงดูดหรือส่งเสริมให้พนักงานทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยเฉพาะในยุคที่ GenAI กำลังเข้ามามีอิทธิพลกับวิธีการทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ” คุณกัญญ์ทิพา เครือแก้ว ณ ลำพูน ผู้จัดการอาวุโส แผนก Organization Transformation ดีลอยท์ ประเทศไทย อธิบายเพิ่มเติม
ดร.โชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการอาวุโส แผนก Growth ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า จากที่ได้มีโอกาสติดตามรายงานฉบับนี้มาติดต่อกันเป็นปีที่ 3 จะเห็นว่าข้อมูลในแต่ละปีมีทิศทางที่ตอบคำถามด้วยตัวเองได้อย่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนตัวแล้ว ต้องการเห็นการพูดคุยกันระหว่างภาคการศึกษาและภาคธุรกิจที่จะนำไปสู่การลงทุนทางการศึกษาและการพัฒนาบุคลากรที่ตอบโจทย์มากกว่านี้