การโปรโมตภาพยนตร์ “Jurassic World Rebirth” ในกรุงเทพฯ ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในการผสานกลยุทธ์การตลาดระดับโลกเข้ากับบริบทท้องถิ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจตลาดและความกล้าที่จะฉีกกรอบการโปรโมตแบบเดิมๆ
สร้างประสบการณ์เหนือความคาดหมาย (Experiential Marketing at its Best) การยกขบวน “สไปโนซอรัสบุกเรือ” กลางแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ใช่แค่การโชว์โมเดลไดโนเสาร์ธรรมดา แต่เป็นการสร้าง Best Moment ที่น่าจดจำและกระตุ้นความรู้สึกร่วมของสาธารณชน การใช้สถานที่แลนด์มาร์กอย่างแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้แคมเปญนี้มีเอกลักษณ์และเป็นที่พูดถึงในวงกว้าง พร้อมกับสร้าง Free media ผ่านกระแสบนโซเชียลฯ ทั้งยังสื่อถึงขนาดที่ “ใหญ่” ของภาพยนตร์ได้อย่างชัดเจนตั้งแต่การโปรโมตและการเผยแพร่หนัง
พลังของ Influencer Marketing ข้ามชาติ
ผ่านการเชิญเซเลบฯ และอินฟลูเอนเซอร์จาก 8 ประเทศเข้าร่วมกิจกรรมล่องเรือ ไม่เพียงแต่ขยายการรับรู้ไปยังกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย แต่ยังสร้าง “Word-of-Mouth” ที่ทรงพลังผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียของบุคคลเหล่านี้ มากไปกว่านั้น การที่พวกเขาได้สัมผัสประสบการณ์ “สั่น” และตื่นเต้นกับเหตุการณ์จำลอง จะถูกถ่ายทอดออกไปในแบบฉบับที่เข้าถึงง่ายและน่าเชื่อถือกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิม
Localize อย่างชาญฉลาด (Smart Localization)
การใช้กรุงเทพฯ เป็นฉากหลังของกิจกรรมโปรโมต เช่น มีฉากหลังเป็นวัดอรุณ สะพานแขวน และแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นการเน้นย้ำว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในโลเคชันหลักของการถ่ายทำ พร้อมทีมงานไทยกว่า 500 ชีวิต เป็นการ “ตีโจทย์” การตลาดที่ชาญฉลาด เพราะนอกจากจะสร้างความรู้สึกผูกพันและภาคภูมิใจให้กับคนไทยแล้ว ยังเป็นการโปรโมตการท่องเที่ยวไทยไปในตัว แสดงให้เห็นว่า Universal เข้าใจถึงคุณค่าของ “ความเป็นไทย” ในเชิงการตลาด อีกทั้งยังเป็น การสร้างกระแสก่อนเข้าฉาย (Pre-Release Buzz) แคมเปญนี้ประสบความสำเร็จในการสร้างกระแสและแรงกระเพื่อมก่อนภาพยนตร์เข้าฉายจริง ทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นและรอคอยที่จะได้ชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์
ข้อมูลน่ารู้เกี่ยวกับการถ่ายทำ Jurassic World Rebirth ในประเทศไทย
ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการถ่ายทำภาพยนตร์ “Jurassic World Rebirth” โดยถูกใช้เป็นสถานที่หลักในการถ่ายทอดบรรยากาศของโลกยุคดึกดำบรรพ์และสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยไดโนเสาร์ ทีมงานถ่ายทำใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนในประเทศไทย และมีการจ้างงานบุคลากรชาวไทยจำนวนมาก
สถานที่ถ่ายทำหลัก:
- อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง: โดยเฉพาะที่ หาดสน (Sunset Beach) และเกาะกระดาน (Koh Kradan) ซึ่งเป็นเกาะที่มีหาดทรายขาวละเอียดและน้ำทะเลใสสะอาด เหมาะสำหรับการจำลองเป็นเกาะที่ห่างไกล หรือแหล่งทำรังของไดโนเสาร์
- อุทยานแห่งชาติเขาพนมเบญจา จังหวัดกระบี่: บริเวณที่มีป่าฝนหนาทึบ น้ำตกห้วยโต้ (Huai To Waterfall) และระบบถ้ำที่ลึกลับ ซึ่งเป็นฉากหลังที่น่าตื่นเต้นสำหรับการเผชิญหน้ากับไดโนเสาร์
- อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จังหวัดพังงา: โดดเด่นด้วยหน้าผาหินปูนสูงตระหง่านและอ่าวสีมรกตอันเป็นเอกลักษณ์ สถานที่นี้ถูกใช้สำหรับฉากการไล่ล่า รวมถึงฉากที่มีโมซาซอรัส และการถ่ายทำทางอากาศเพื่อแสดงรูปแบบการอพยพของไดโนเสาร์
นอกจากนี้ ยังมีบางฉากที่ถ่ายทำในพื้นที่อื่นๆ เช่น กรุงเทพฯ ภูเก็ต และเชียงใหม่ เพื่อสนับสนุนงานโปรดักชันและโลจิสติกส์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้สร้างงานและรายได้จำนวนมากให้กับประเทศไทย โดยมีการจ้างงานชาวไทยกว่า 2,245 คน ซึ่งรวมถึงทีมงานเบื้องหลัง (กว่า 500 ชีวิต) และผู้ให้บริการท้องถิ่นต่างๆ งบประมาณกว่า 400 ล้านบาท (ประมาณ 12 ล้านเหรียญสหรัฐ) ถูกลงทุนในประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในการรองรับการผลิตภาพยนตร์ระดับฮอลลีวูด
การเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำและกิจกรรมโปรโมตนี้ ไม่เพียงแต่ช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศในสายตาชาวโลก แต่ยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย